เฟดเดอร์บรอย
วันที่ 5 พฤษภาคม 2553
"ไทยเบฟเวอเรจ" เพลย์เมกเกอร์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ประกาศลั่นเดินเกม "กินรวบ" ในทุกเซ็กเมนท์ โดยเฉพาะเซ็กเมนท์เบียร์พรีเมียม
กิจกรรมต่างๆ จึงต้องเดินหน้าอย่างเข้มข้นด้วยเม็ดเงินระดับพันล้าน โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ที่จะโหมกระหน่ำด้วยกระแสอีเวนท์ใหญ่อย่าง World Cup 2010
ตลาดรวมของเบียร์ในปัจจุบัน แบ่งเป็นตลาดเบียร์สแตนดาร์ด 12% หรือราว 12,000 ล้านบาท อีก 84% หรือราว 84,000 ล้านบาทเป็นของเบียร์อีโคโนมี และอีก 4% เป็นตลาดเบียร์พรีเมียม มูลค่าราว 4,000 ล้านบาท
หากพิจารณาพอร์ตเบียร์ของไทยเบฟฯ จะเห็นว่าปัจจุบันครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์แล้ว โดยเซ็กเมนท์ใหญ่อยู่ที่เบียร์อีโคโนมี แต่มีความจำเป็นต้องทำให้แต่ละเซ็กเมนท์มีความแข็งแกร่ง พร้อมๆ กับการแย่งแชมป์เบียร์อีโคโนมีคืนจากค่ายสิงห์
การเปิดแนวรุกในเซ็กเมนท์เบียร์พรีเมียมของไทยเบฟฯ จึงมีความหมาย เพราะถึงแม้จะมีตัวเลขไม่สูงแค่ 4% แต่แนวโน้วของตลาดเบียร์ในเซ็กเมนท์นี้มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ตามกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น
ข้อสำคัญมาร์จิ้น "สูงกว่า" เบียร์เซ็กเมนท์อื่น
จึงเป็นเหตุผลให้ใครต่อใครต่างอยากจะลงชิงชัยในตลาดเบียร์พรีเมียม
ดังนั้นหลังเล็งเห็นช่องว่างที่จะ "แทรกตัว" ในตลาดเบียร์พรีเมียม ไทยเบฟฯ จึงส่งเบียร์เฟดเดอร์บรอยมาเสริมทัพในตลาดนี้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยหวังแย่งส่วนแบ่งการตลาดเบียร์พรีเมียมจากเบียร์สัญชาติฮอลแลนด์อย่างไฮเนเก้น ซึ่งผูกขาดตลาดเบียร์เซ็กเมนท์นี้อยู่กว่า 90%
ขณะที่ค่ายสิงห์ก็ได้ส่งเบียร์อาซาฮี ลงชิงชัยในตลาดนี้เช่นกัน
จะว่าไปแล้ว เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการไทยเบฟฯ เริ่มเห็นโอกาสของตลาดเบียร์พรีเมียมอย่างจริงจังเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา จึงดึงนักการตลาดมือดีจากค่าย เป๊ปซี่ อย่าง ชาลี จิตจรุงพร มาช่วยทำการตลาดให้กับเบียร์เฟดเดอร์บอยด์ ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการไทยเบฟฯ
2 ปีของการทำตลาดถือว่า "สอบผ่าน" เพราะเบียร์เฟดเดอร์บรอยซึ่งมีจุดแข็งที่รสชาติแบบเยอรมัน มีความเบาของเบียร์ที่ดื่มได้ทุกโอกาส สามารถเบียดแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากเบียร์ไฮเนเก้นมาได้ราวๆ 2-3%
ถึงจะเป็นสัดส่วนไม่มาก แต่เป็นการ "ออกสตาร์ท" ที่น่าพอใจ
จึงต้องจับตาต่อถึงแผนรุกตลาดของเบียร์เฟดเดอร์บรอย โดยเฉพาะในปีนี้ที่ไทยเบฟฯ ตั้งเป้าเติบโตของยอดขายเบียร์เฟดเดอร์บรอยจาก 3 % เป็น 4-5% ให้ได้
"เติบโตเพียง 3% มองว่ายังน้อยไปน่าจะเติบโตได้มากกว่านี้ เราตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 4-5% เพิ่มขึ้นจากเมื่อครั้งเริ่มทำตลาดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมยังอยากเห็นตัวเลขเติบโตของเฟดเดอร์บรอยในระดับ 2 หลัก หรือราวๆ 10% ด้วยซ้ำ" ชาลี บอกเช่นนั้น
จากความเชื่อที่ว่าในปีนี้ ตลาดเบียร์มีโอกาสที่จะ "ดีดกลับ" จากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ผู้บริโภคเริ่มคลายเข็มขัดจากที่เคยรัดติ้ว ที่เคยดื่มเบียร์ราคาถูกก็จะหันมาดื่มเบียร์ราคาแพงขึ้น จึงน่าจะทำให้ตลาดเบียร์พรีเมียมเติบโตขึ้น
ที่สำคัญปีนี้ยังเป็นปีที่พิเศษ เพราะมีรายการกีฬาระดับโลกอย่าง World Cup ทำให้คน "ดื่มเบียร์ เชียร์บอล มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายเบียร์ให้มากขึ้น
"ตลาดเบียร์พรีเมียมปีที่แล้วตกลงมา 10-11% เพราะคนหันมากินเบียร์ที่อยู่ในตลาดระดับกลางๆ ลงมา เพราะต้องการประหยัด แต่ปีนี้ตรงกันข้ามเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น บวกกับมีแข่งขันฟุตบอลโลกตลาดก็น่าจะโตได้ราวๆ 10-12% ส่วนตลาดรวมของเบียร์ก็น่าจะโตได้ 3-5% หากไม่มีปัจจัยอื่นๆ มากระทบ โดยเฉพาะปัญหาการเมืองที่จะทำให้คนไม่อยากออกจากบ้าน"
ในการทำตลาดของเบียร์เฟดเดอร์บรอย ชาลีให้ข้อมูลว่า จะรุกตลาด Below the line มากขึ้น เพราะสินค้ากลุ่มแอลกอฮอล์ไม่สามารถโฆษณาสินค้าได้โดยตรง ด้วยข้อจำกัดทางด้านกฎหมายของประเทศไทย
วิธีทำการตลาดของเฟดเดอร์บรอยจึงเน้นผ่านการสร้าง Brand Experience และสร้างความแตกต่างจากเบียร์ช้างให้ชัดเจน
โดยขณะที่เบียร์ช้างสื่อให้เห็นถึง "ความเป็นไทย" และเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มีอายุ เฟดเดอร์บรอยจะเน้นความ "ต่าง โดน เท่ห์" กลุ่มเป้าหมายหลักจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ อาทิ นักศึกษา และคนทำงานที่มีอายุระหว่าง 20-35 ปี ที่มีความมั่นใจ รักอิสระ ชอบความสนุกอย่างมีสาระ รักความท้าทาย มองหาสิ่งใหม่ๆ เติมเต็มชีวิต และมีไลฟ์สไตล์มีระดับในแบบของตัวเอง
กิจกรรมที่สร้างภาพลักษณ์ให้กับเบียร์เฟดเดอร์บรอยจึงมักเป็นกิจกรรมหรูหรา ทันสมัย อาทิ สร้างประสบการณ์ให้กับนักดื่มผ่านช่องทางร้านอาหาร เกรด A และ B เน้นโฆษณาผ่านช่องทางใหม่ๆ อย่างเวบไซต์ซึ่งเป็นช่องทางที่กลุ่มคนรุ่นใหม่เข้าถึงได้มากที่สุด ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมความเป็นเบียร์เยอรมัน
ปลายปีนี้ไทยเบฟฯ ยังมีแผนเปิดลานเบียร์เฟดเดอร์บรอยย่านใจกลางเมืองประมาณ 100 แห่งเพื่อให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะในย่านศูนย์การค้าดังๆ ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ต่อจากนี้ไปคงจะจัดกิจกรรมโดยนำคอนเสิร์ตจากต่างประเทศมาเล่นมากขึ้น พร้อมไปกับการออกบูธ เพื่อทำให้เบียร์ดูมีความเป็นอินเตอร์มากขึ้น รวมทั้งการจัดรูปแบบงานที่เหมือนกับเทศกาลเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมันคืองาน Oktoberfest ก็น่าจะทำให้คนรู้จักเบียร์ยี่ห้อนี้เยอะขึ้น ชาลีเปิดกลยุทธ์ให้ฟัง
แผนต่อมาคือ การนำนวัตกรรมทางความคิดใหม่ๆ มาใช้ เรียกว่าเป็นการแต่งตัวใหม่ให้กับเฟดเดอร์บรอย เพราะจะมีการออกแพ็คเกจใหม่ "เฟดเดอร์บรอยขนาด 5 ลิตร" จำหน่ายเฉพาะในร้านอาหาร ผับ เกรด A ตลอดจนการจับมือกับพันธมิตรอย่างรถมินิ คูเปอร์
ชาลีอธิบายว่า เป็นการต่อยอดความทันสมัยที่รถมินิ คูเปอร์ ให้ความรู้สึกเช่นนั้นอยู่แล้ว โดยเขาจะมีกิจกรรมที่เรียกว่า Mini Club Man เมื่อมีกิจกรรม ทั้งเบียร์เฟดเดอร์บรอยและมินิ คูเปอร์ ก็จะไปด้วยกัน
"เราจะจัดทั้งหมด 8 ครั้ง 8 ผับ เรียกกิจกรรมนี้ว่า Advanture Party"
เขายังเห็นว่า กิจกรรมต่างๆ ที่ทางพรีเมียมเบียร์น้องใหม่โดดลงมาเล่นเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง น่าจะมีส่วนในการกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มตามเป้าหมาย โดยไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์เหมือนกับเบียร์ช้างที่แยกออกมาเป็นซับเซ็ต คือ เบียร์ช้างคลาสสิค ช้างไลท์ และช้างดราฟท์ เนื่องจากเฟดเดอร์บรอยยังมีส่วนแบ่งการตลาดไม่มากเมื่อเทียบกับเบียร์ช้าง
ถ้าเราทำเฟดเดอร์บรอยให้มีหลายๆ รูปแบบเหมือนเบียร์ช้างที่มีทั้งคลาสสิค ไลท์ และดราฟท์ แบบนี้มันต้องใช้เวลาพอสมควร ที่สำคัญแบรนด์ต้องใหญ่มาก ลงทุนเยอะ มีกิจกรรมต่อเนื่อง อย่างเฟดเดอร์บรอยยังถือว่าเป็นแบรนด์เล็กๆ จึงต้องใช้อีกโมเดลในการขับเคลื่อน นั่นคือ การอัดกิจกรรมลงไปอย่างต่อเนื่อง เล่นกับผู้บริโภคให้เข้าถึงตรง และแรง
ถ้าจะวัดความสำเร็จจากสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนี้ว่าประสบความสำเร็จไหม ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณการจำหน่าย แต่อยู่ที่ว่าคนพูดถึงเรากันเยอะไหม ถ้าคนพูดถึงเยอะนั่นคือความสำเร็จ ชาลีสรุป
นอกจากนี้ แม้เฟดเดอร์บรอยจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมาแล้วกว่า 2 ปี และมาร์เก็ตแชร์ยังมีสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับไฮเนเก้น แต่ไทยเบฟฯ กลับมอง "คนละมุม" ว่า การที่สามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากไฮเนเก้นมาได้ และคนดื่มไฮเนเก้นก็สามารถดื่มเฟดเดอร์บรอยได้อีก
มันอยู่ที่ใครวางหมากได้ดีกว่ากัน เรื่องการแข่งขันของตลาดเบียร์มันอยู่ที่การสร้างภาพเป็นหลัก ซึ่งเราพยายามทำอยู่ในขณะนี้ ชาลีบอกและว่า
หากหันมามองแนวทางการทำตลาดของเบียร์ช้าง เรียกได้ว่าลอยลำไปแล้วจากความแข็งแกร่งของแบรนด์ช้างซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ทำให้แทบไม่ต้องทำการตลาดเรื่องแบรนด์มากนักเมื่อเทียบกับเฟดเดอร์บรอย เพียงแต่ตอนนี้เบียร์ช้างหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการสร้างภาพลักษณ์ใหม่มากขึ้นเท่านั้น
ภาพลักษณ์ใหม่ที่ว่านี้ ชาลีขยายความว่า เบียร์ช้างพยายามที่จะสลัดภาพความเป็นสินค้าแอลกอฮอล์ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสินค้าก็บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นสินค้าแอลกอฮอล์ โดยกลยุทธ์ของเบียร์ช้าง คือ การเน้นกิจกรรมที่เน้นความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น (corporate social responsibility : CSR) ภายใต้แนวคิด...The One คนไทยหัวใจเดียวกัน
"ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาเบียร์ช้างเงียบเหงาไปบ้าง ปีนี้ช้างเลยอยากจะโชว์ โดยอิงกับเหตุการณ์ที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์ เช่น ตอนนี้ช้างก็มีโครงการคัดเลือกหนุ่มสาวกว่า 600 คนให้เหลือเพียง 6 คน เพื่อมาร่วมทำกิจกรรมต่างๆกับเบียร์ช้างโดยกิจกรรมนั้นจะสื่อถึงความเป็นไทยให้มากที่สุด"
หนุ่มสาวทั้ง 6 คนจะกลายมาเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์เบียร์ช้างทั้ง 3 แบบ ตรงนี้จะช่วยสื่อภาพลักษณ์ของเบียร์ช้างให้คนเห็นว่าทำอะไรเพื่อสังคมและจะมีการบันทึกสถิติโลกด้วย โดยผ่านกลุ่มหนุ่มสาวตัวแทนทั้ง 6 คน ชาลีระบุ
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมด้านกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ที่เบียร์ช้างจะเข้าไปสนับสนุนถึง 12 ทีม เช่น ขอนแก่น ชลบุรี ราชประชา บุรีรัมย์ เป็นต้น นอกเหนือจากการเป็นสปอนเซอร์ในทีมพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ
ชาลีอธิบายต่อว่า กิจกรรมที่ได้ทำมาทั้งหมดมีผลอย่างมากต่อยอดขายของกลุ่มเบียร์ เพราะยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลมาจากการที่คน "จดจำ" แบรนด์ได้มากขึ้น วัดได้จากรายงานที่ไทยเบฟฯให้ทาง IPSOS (Thailand) ไปศึกษาเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม 2552 พบว่า ผู้บริโภคจดจำแบรนด์สินค้าภายหลังจากการใช้สื่อโฆษณาในรูปแบบต่างๆ โดยช้างดราฟท์ มีการจดจำแบรนด์เพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 22% เบียร์ช้างจาก 25% เป็น 32%
ขณะเดียวกันคู่แข่งในตลาดเองก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ไทยเบฟฯ ต้องออกมาเล่น โดยเฉพาะในกลุ่มเบียร์ในตลาดอีโคโนมี ที่สัญญาณการแข่งขันยังรุนแรงอยู่
ล่าสุดเบียร์ลีโอของค่ายสิงห์ เบอร์หนึ่งในตลาดอีโคโนมีเข้ามาเล่นในตลาดนี้มากขึ้น โดยนำกลยุทธ์เรื่องราคา 3 ขวด 100 บาท กลับมาตีตลาดเบียร์ช้างในแถบต่างจังหวัดตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ค่ายไทยเบฟฯ จึงแก้เก้อว่า การใช้กลยุทธ์เรื่องราคาเป็นอะไรที่เรียบง่ายที่สุด ใครๆ ก็สามารถทำได้
จะบอกว่าเราเพลี่ยงพล้ำให้กับลีโอไหม มันก็เร็วเกินไปที่จะบอก แต่เราเองพยายามเน้นเรื่องคุณภาพมากกว่า เน้นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ เพราะเราผ่านจุดการเล่นเรื่องราคาไปแล้ว อย่างตอนนี้ก็เข้าไปสนับสนุนทีมฟุตบอลมากขึ้น เพราะนั่นคือแนวทางในการสร้างแบรนด์ และสร้างภาพพจน์ใหม่ๆ ชาลีบอก
ในส่วนของงบการตลาดเฉพาะในกลุ่มเบียร์ช้างทั้ง 3 ซับเซ็ต ได้แก่ ช้างคลาสสิก ช้างดราฟท์ และช้างไลท์ ทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 800-1,000 ล้านบาท ซึ่ง 1 ใน 4 ของงบทั้งหมดจะเป็นงบที่ใช้ในกิจกรรมที่รับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR ส่วนเฟดเดอร์บรอยจะใช้งบเพียง 80-90 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากเน้นลงไปเล่นกับผู้บริโภคโดยตรง ไม่ต้องลงทุนผ่านมีเดีย
กิจกรรมรุกรอบด้านก็เพื่อเป้าหมาย "ทวงแชมป์" เจ้าตลาดเบียร์คืนจากคู่แข่งให้ได้ใน 2 ปี
"ยอดขายเบียร์ช้างปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีมาร์เก็ตแชร์กว่า 40% ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการสร้างภาพให้กับแบรนด์ โดยมีเป้าหมายว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะกลับมาทวงแชมป์คืนให้ได้"
นอน แอลกอฮอล์ ครบวงจร
หลังจากที่กลุ่มแอลกอฮอล์ทำได้ครบทุกเซ็กเมนท์แล้ว โดยลึกๆ เจ้าสัวเจริญยังต้องการให้ไทยเบฟฯ เป็นผู้ผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ครบวงจร
เพื่อตอบสนองความต้องการของทุกคน ในทุกที่ทุกโอกาส ไม่ว่าจะอยากดื่มเบียร์ น้ำ โซดา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เกลือแร่ หรือน้ำผลไม้ ฯลฯ
ตอนนี้กลุ่มเครื่องดื่มที่ปราศจากแอลกอฮอล์ของไทยเบฟฯ ประกอบด้วย โซดาช้าง กาแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่มแบล็คอัพ เครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ เครื่องดื่มเกลือแร่พาวเวอร์พลัส น้ำผลไม้ฟรุ๊ตเน็ต
รวมทั้งน้องใหม่อย่าง "น้ำดื่มตราช้าง" ที่ไทยเบฟฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะให้น้ำดื่มช้างเป็น Total Drinking Water Solution หมายถึง การเป็นน้ำดื่มสะอาดใสที่มอบความมั่นใจให้ผู้บริโภค
ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ (2553-2558) กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเติบโตให้ได้ 10% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาทของรายได้รวมในกลุ่มเครื่องดื่มทั้งหมด ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 2,000 ล้านบาท
มารุต บูรณะเศรษฐกุล รองกรรมการผู้จัดการไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง บอกว่า ในปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายน้ำดื่มช้างไว้ที่ 1,800 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 10% ของมูลค่าตลาดรวมที่มีประมาณ 18,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายราว 800 ล้านบาท โดยเห็นว่าตลาดน้ำดื่มในไทยยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไทยมีอัตราการบริโภคน้ำดื่มบรรจุขวดสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจัยที่จะทำให้รายได้ในส่วนของน้ำดื่มช้างเพิ่มขึ้นคือ แคมเปญสื่อสารการตลาดให้น้ำดื่มช้างเป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ซึ่งไทยเบฟได้ใช้งบราว 100 ล้านในสื่อต่างๆ เช่น หนังโฆษณาทางทีวี หนังสือพิมพ์ นิตยสาร สื่อกลางแจ้ง และจะใช้รายการขาย (Trade deal & promotion) ที่ดึงดูดใจ เพื่อผลักดันน้ำดื่มช้างผ่านเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
นอกจากนี้ยังมีแคมเปญร่วมกับโซดาช้าง ภายใต้ชื่อ ช้าง พาลุยบอลโลก พาผู้โชคดี 5 คู่ไปชมฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งแคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 20 พฤษภาคม และยังมีการจัดโครงการเพื่อสังคม ภายใต้ชื่อ มหัศจรรย์ น้ำดื่มช้าง ล้านขวด ล้านน้ำใจ ระหว่างเดือนเมษายน - มิถุนายน 2553
ส่วนแผนต่อไปไทยเบฟฯ จะทำการตลาดในกลุ่มของเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งจะเน้นการทำตลาดในต่างประเทศเป็นหลัก
------------
สิงหาคม 2551
ไทยเบฟ ปั้น เฟดเดอร์บรอย เติมเต็มยุทธศาสตร์ Premiumization
ดูเหมือนว่า เป้าหมายสำคัญของการออกเบียร์พรีเมียมตัวใหม่ เฟดเดอร์บรอย ของค่ายไทยเบฟเวอร์เรจ ไม่ได้ขีดวงอยู่แค่การมีส่วนแบ่งในตลาดเบียร์พรีเมียมที่มีไฮเนเก้นครองตลาดอยู่ให้ได้ 5% ในปีแรก
แต่เบียร์ตัวนี้ยังเป็นตัวเติมเต็มให้การวางยุทธศาสตร์ Premiumization ของไทยเบฟ สมบูรณ์แบบมากขึ้น เพราะเบียร์ตัวนี้เป็นตัวแรกที่มีการปูทางและสร้าง DNA ให้เป็นพรีเมียมอย่างแท้จริง เพื่อที่จะเป็นแฟลกชิพ ในการ
ยกระดับให้เบียร์แบรนด์อื่นๆ ในพอร์ตให้มีอิมเมจที่สูงขึ้น ไม่ติดอยู่กับวังวนของการเป็นเบียร์ราคาถูกเพียงอย่างเดียว.... การสวมบทบาทเบียร์ตัวแรกในการตะลุยเปิดตลาดพรีเมียมของเฟดเดอร์บรอยในครั้งนี้ จึงมีการทุ่มเทอย่างเต็มที่โดยเฉพาะงบการตลาดที่ใช้ในปีแรกนี้ถึง 200 ล้านบาท เพื่อแลกกับภาพพจน์และส่วนแบ่งตลาด
5% โดยมีไฮเนเก้นเป็นด่านทดสอบที่สำคัญในการยกระดับภาพพจน์ในครั้งนี้
ไทยเบฟเวอร์เรจ มีการวางยุทธศาสตร์ในเรื่องของการยกระดับของแบรนด์ในพอร์ตทั้งเหล้าและเบียร์และเริ่มลงมีปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมมาตั้งแต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา การลงรายละเอียดในส่วนของเบียร์ที่เห็น
โดดเด่นก็คือ การทำ Brand Development ในส่วนของแบรนด์ช้าง ที่เริ่มมีการออกเบียร์ตัวใหม่ๆ ที่มีภาพพจน์เกาะกับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นช้างไลท์ หรือ ช้างดราฟท์ ที่ทำตลาดในเช็กเม้นต์เบียร์สแตนดาร์ด
ด้วยการที่เบียร์ช้าง อยู่ในตลาดแมส และมีภาพของการเป็นเบียร์ราคาถูก มานาน การยกภาพพจน์ในส่วนดังกล่าวน่าจะต้องใช้เวลาพอสมควรการก้าวข้ามมาในแอเรียที่ไทยเบฟยังไม่เคยเข้ามาทำตลาดอย่างเบียร์
พรีเมียม จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่มาพร้อมกับการปั้มแบรนด์ เฟดเดอร์บรอยขึ้นมาเบียร์ตัวนี้เป็นแบรนด์ที่ไทยเบฟ สร้างขึ้นมาเองโดยใช้มาตรฐานของเบียร์เยอรมันมาเป็นตัวชูโรงในเรื่องของคุณภาพของสินค้า ที่ทำตามกฎ
ปฏิบัติของการเป็นเบียร์คุณภาพของเยอรมันคือ ต้องมีส่วนประกอบสำคัญจากธรรมชาติ 4 อย่างเป็นส่วนผสม คือ น้ำ ฮอป ยีสต์ และ มอลต์โดยมีดีกรีอยู่ที่ 4.7 ดีกรี ซึ่งเป็นปริมาณแอลกอฮอล์ที่ใกล้เคียงกับเบียร์
พรีเมียมทั่วไป
แม้ตลาดเบียร์พรีเมียม จะมีสัดส่วนในแง่ของวอลุ่มแค่ประมาณ 5% ของตลาดเบียร์ปริมาณกว่า 2,000 ล้านลิตร หรือคิดเป็น 5% ของตลาดเบียร์ แต่ความน่าสนใจของตลาดนี้ อยู่ที่ในเรื่องของการสร้างภาพพจน์ซึ่งการเข้าสู่ตลาดเบียร์ในเซ็กเม้นต์นี้ นอกจากจะทำไทยเบฟกลายเป็นบริษัทเบียร์ที่มีสินค้าครบพอร์ตตั้งแต่อีโคโนมี่จนถึงพรีเมียมแล้วในอนาคตอันใกล้ ยังทำให้พอร์ตคนดื่มของค่ายนี้ ขยายมาสู่กลุ่มคนที่เป็นคนรุ่นใหม่ๆในเมืองมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งตรงกับยุทธศาสตร์ที่ไทยเบฟวางเอาไว้พอดี การทุ่มเทในการสร้างแบรนด์เฟดเดอร์บรอยซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่ในรอบหลายปีของไทยเบฟจึงมีออกมาอย่างเต็มสรรพกำลัง
อย่างไรก็ตาม ไทยเบฟ อยู่ในตลาดแมสมานาน จึงยังคงมีภาพเก่าๆ ที่ติดตัวมา การทำตลาดของเฟดเดอร์บรอยในช่วงแรกจึงแทบจะไมมี่ภาพของไทยเบฟเข้ามาเจือปน ชนิดที่เรียกได้ว่า เป็นการข้ามไปสู่แอเรียใหม่
โดยไม่มีพี่ใหญ่อย่างเบียร์ช้างเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุน ซึ่งข้อแตกต่างในการทำตลาดระหว่างเบียร์พรีเมียมกับเบียร์ในตลาดล่างมีค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะในเรื่องของภาพพจน์ของแบรนด์ที่ต้องเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม
เป้าหมาย
เฟดเดอร์บรอย เริ่มมีการทำ ซอฟต์ลอนช์ ไปเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ด้วยการเข้าไปจัดกิจกรรมในผับของกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Trendy เพื่อที่จะสื่อถึงภาพพจน์ และบุคลิกของแบรนด์ ที่เป็นเบียร์สำหรับกลุ่มคน
ที่อินเทรนด์มีอายุระหว่าง 21-29 ปี ผ่านทางกิจกรรม เฟดเดอร์เวนเจอร์ ที่เป็นการมอบประสบการณ์ความสนุกสไตล์ผจญภัยแบบเท่ๆ มีเสน่ห์
คุณชาลี จิตจรุงพร รองผู้อำนวยการสำนักการตลาด บริษัทไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เฟดเดอร์บรอย ตามภาษาเยอรมัน แปลว่า เบียร์ขนนก ซึ่งจะถูกใช้เป็น Identity ที่สร้างความแตก
ต่างจากเบียร์พรีเมียมที่มีอยู่ในตลาดซึ่งขนนกสีแดง จะแสดงความหมายถึงความเป็นเบียร์ของคนที่ชอบความแปลกใหม่ ชอบการผจญภัย ตื่นเต้นแต่ไม่ไร้สาระ ซึ่งกลยุทธ์การสร้างแบรนด์เฟดเดอร์บรอย จะประกอบไป
ด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือ หนึ่ง ตัวโปรดักต์ ที่เป็นเบียร์พรีเมียมที่มีความแตกต่างในเรื่องของการเป็นเบียร์ที่ผลิตตามมาตรฐานของการเป็นเบียร์เยอรมัน สอง ชื่อแบรนด์ ที่จะถูกใช้ผ่านการทำกิจกรรมการตลาดในรูปแบบต่างๆ และสาม กิจกรรมการตลาดที่แปลกใหม่ เข้าตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย
การเป็นผู้ท้าชิงที่เข้ามาใหม่ในตลาด มีข้อได้เปรียบตรงที่รู้ว่า ผู้นำตลาดเขาทำตลาดแบบใหม่ เพื่อนำมากำหนดเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างความแตกต่าง อย่างในความเป็นพรีเมียมเบียร์ จะถูกรับรู้
ด้วยสีของขวดที่เป็นสีเขียวที่ลีดเดอร์เขาสามารถยึดตรงนั้นไปได้สำเร็จแล้ว เราจึงต้องหันมาสร้างความแตกต่างผ่านความรู้สึก อย่างตัวขนนกสีแดง เมื่อเห็นสัญลักษณ์นี้ จะทำให้นึกถึงความท้าทาย
แปลกใหม่ ของเฟดเดอร์บรอย ซึ่งจะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการรับรู้แบรนด์ของเรา
ตลอด 2-3 เดือนของการทำซอฟต์ลอนช์ เฟดเดอร์บรอยสามารถ ล็อก ผับที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเที่ยวได้ตามเป้าที่วางไว้ หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วยการลอนช์หนังโฆษณาทางทีวีปลายเดือน
กรกฎาคมนี้ จะมีการรุกเข้าทำกิจกรรมในส่วนของ ออฟ เทรด หรือช่องทางโมเดิร์นเทรดมากขึ้น โดยมีการเตรียมการตั้งกองโชว์ การดิสเพลย์สินค้า รวมถึงการเตรียมพริตตี้ไว้ 200 คน เพื่อเข้าไปสร้างสีสันในผับเป้า
หมายหลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ในตลาดเบียร์พรีเมียม ไฮเนเก้น ครองความเป็นผู้นำตลาดค่อนข้างจะทิ้งห้าง มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในมือร่วม 90% เนื่องจากคู่แข่งขันรายอื่นๆ แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวในแง่ของการทำกิจกรรมการตลาด แม้
ลีดเดอร์จะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก็น่าจะมีช่องว่างพอให้กับรายใหม่ๆ ที่มีความพร้อมในเรื่องของงบการตลาด ส่วนจะทำได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย ทั้งในเรื่องของภาพพจน์ กิจกรรมการตลาด และ
รสชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนในการชี้ผลแพ้ชนะในการแข่งขันด้วย
การถูกวางให้เป็นแบรนด์แรกในการนำพาภาพพจน์ของเบียร์ในพอร์ตตัวอื่นๆ ให้โดดเด่นขึ้น คงเป็นเครื่องการันตีได้ในระดับหนึ่งว่า งานนี้ ไทยเบฟ เต็มที่กับที่มั่นใหม่ที่มีการเดิมพันด้วยยุทธศาสตร์ระยะยาวของบริษัท... ®
------------------
ตุลาคม 2551
ประสบการณ์ 21 ปีในตลาดน้ำดำ ชาลี จิตจรุงพร อดีตผู้บริหารเป๊ปซี่ ไทย เชื่อมั่นว่า เขาจะบุกเบิก FEDERBRAU เบียร์น้องใหม่สูตรเยอรมันของค่ายไทยเบฟฯ ให้อยู่ในใจผู้บริโภคได้ แม้ว่าภารกิจครั้งนี้ของเขาต้องเปลี่ยนจากผู้นำมาเป็นผู้ตามที่ต้องวิ่งไล่ตามคู่แข่งอย่างไฮเนเก้น ที่ครองตลาดกว่า 90%
อะไรทำให้คุณตัดสินใจมาทำงานที่ไทยเบฟฯ ประสบการณ์ที่เป๊ปซี่ทำให้ผมสามารถนำมาใช้กับสินค้าอื่นๆ โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวกับน้ำ เบียร์กับเป๊ปซี่ สินค้าอาจจะต่างกัน แต่ว่ามันก็มีความคล้ายกันหลายอย่าง
ด้วยประสบการณ์ที่เป๊ปซี่ เอามาใช้เป็นประโยชน์เผยแพร่หลายและแชร์กับคนอื่นได้มันสนุกดี มาทำกับสินค้าที่ใหม่ซึ่งเราเคยทำแต่สินค้าที่เป็นเบอร์หนึ่ง 20 กว่าปี และสินค้าใหม่ทำให้เรานั้นอยากจะลอง มันท้าทาย
POSITIONING : สิ่งแรกที่คุณชาลีทำในไทยเบฟฯ ชาลี : ต้องมีทีมเวิร์คที่ดีก่อน ก็เหมือนกับทีมฟุตบอล ผมอาจจะอยู่กองหน้า อีกคนอาจอยู่กองหลัง ถ้ากองหลังไม่ส่งบอลให้กองหน้า กองหน้าจะยิงได้อย่างไง แต่ถ้าเราไม่มีทีมเวิร์คเราจะเข้าใจกันได้อย่างไรสำหรับคนที่มีประสบการณ์มาแล้วจะมีข้อได้เปรียบอยู่บ้าง แต่ว่าการปรับตัวก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าบอกว่าประสบการณ์เราเข้มข้น แต่เราไม่ปรับตัวแล้วจะทำงานกับใครก็ลำบาก
POSITIONING : คนแบบไหนที่จะเหมาะกับการทำตลาดเบียร์ FEDERBRAU หรือ คุณชาลีคิดว่า Culture องค์กรควรเป็นแบบไหน ชาลี : ต้องเป็นคนที่เข้าใจบทบาทของผู้บริโภค คนอายุ 70 ปี ก็สามารถทำ FEDERBRAU สำเร็จได้ ถ้าเขามีความคิดเหมือนคนอายุ 20-30 ปี และตอนนี้ทีมงานก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ แล้ว แนวคิดในการทำตลาดเบียร์ และน้ำอัดลมก็คล้ายๆ กัน ไม่ต่างกันมาก ต่างกันที่ช่วงอายุของลูกค้า น้ำอัดลมลูกค้าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นวัย 12-18 ปี ส่วนเบียร์เริ่มที่ 21-22 ปี
POSITIONING : ประสบการณ์ 21 ในเป๊ปซี่ คุณชาลีนำมาใช้กับการทำตลาดเฟดเดอร์บรอยอย่างไรบ้าง ชาลี : ประสบการณ์ก็คือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่าอะไรควรจะเริ่มทำก่อนทำหลัง การแข่งขันของเป๊ปซี่ และตลาดเบียร์มันไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่ว่าจะใช้กลยุทธ์ไหน และใช้เมื่อไหร่ ซึ่งประสบการณ์ทำให้เรารู้ว่าต้องแข่งอย่างไง ต้องทำแต้มอย่างไร นั่นคือหลักการที่นำมาใช้ และไม่ว่าคุณจะเป็นผู้นำหรือผู้ตาม คุณต้องมีความคิดริเริ่มที่แตกต่าง เป๊ปซี่เราใช้ดนตรี กีฬา เป็นสื่อในการทำการตลาด แต่สำหรับ FEDERBRAU อาจจะไม่ใช้ดนตรีและกีฬา เพราะว่ามันเป็นของคนอื่น เรามีกิจกรรมใหม่ๆ เช่น โฆษณาผมเลือกใช้ Out Door มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ของตลาดเบียร์
POSITIONING กลุ่มเป้าหมายหลักของ FEDERBRAU ชาลี : อายุ 22-30ปี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหนุ่มสาวที่เป็นโสด เป็น First Jobber เพิ่งออกจากการดื่มน้ำอัดลม และเริ่มหัดดื่มเบียร์ทีละนิดทีละหน่อย เริ่มจากแอลกอฮอล์ต่ำก่อน แล้วค่อยเป็นเหล้าจากนั้นก็เป็นไวน์ คนดื่มเหล้าส่วนใหญ่มีอายุ 25 ปี แต่ถ้าอายุ 20 ต้นๆ จะดื่มเบียร์ เพราะกินง่ายแอลกอฮอล์ต่ำ
POSITIONING : การวาง แบรนด์โพสิชันนิ่งของ FEDERBRAU มีหลักคิดอย่างไร ชาลี : FEDERBRAU ถูกวางไว้เป็นเบียร์ระดับพรีเมียม สำหรับคนทันสมัย ชอบผจญภัยไม่โลดโผนมากนัก ถ้าพูดถึงเบียร์พรีเมียมในตลาด แม้สัดส่วนเบียร์พรีเมียมจะมีแค่ 4-5% ของตลาดเบียร์โดยรวม ซึ่งไฮเนเก้นครองตลาด 90% ถือว่าแข็งมาก เพราะเป็นยี่ห้อเดียวที่ทำกิจกรรมต่อเนื่อง ถ้าจะเอาชนะไฮเนเก้นได้ต้องสร้างอะไรที่แตกต่างไป
ไฮเนเก้นนั้น เป็นเบียร์แบบเท่ เพราะคนดื่มเบียร์ระดับพรีเมียมภาพลักษณ์ต้องมาก่อน ซึ่งเฟดเดอร์บรอยก็ต้องเท่ แต่ต้องแตกต่าง คือ จะเน้นผจญภัยไม่โลดโผนนัก เน้นเท่แบบการทำความดี ถ้าดูจากหนังโฆษณาจะเห็นการทำความดีของวัยหนุ่มสาวและคนแก่นั้นแตกต่างกัน สำหรับหนุ่มสาวนั้นภาพลักษณ์ต้องมาก่อน อย่างในหนังเขาทำความดีโดยการเก็บพาสปอร์ตที่มีคนทำหล่น แล้วส่งคืนเจ้าของ ซึ่งคาแร็กเตอร์ของตัวละครก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการทำความดีแบบนอบน้อมแต่เป็นลักษณะหนุ่มสาวที่กวนๆ นิดๆ ดูดีมีบุคลิก นี่คือแนวโฆษณา มูทแอนด์โทน ของเรา
ช่วงแรกมีอุปสรรคเยอะสำหรับการสื่อสารให้คนรับรู้ว่า FEDERBRAU ยากพอสมควร เพราะตอนนี้กฎหมายเข้มข้นมากขึ้น ไม่สามารถพูดอะไรได้ ขวดเบียร์ก็ชูไม่ได้ เราต้องเน้นเรื่องของการทำประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งการทำความดีคือการทำประโยชน์อย่างหนึ่ง
POSITIONING อะไรคือความท้าทายที่สุดของเฟดเดอร์บรอย ชาลี : FEDERBRAU คือเป็นผู้ตาม ทำอย่างไรถึงจะตามแบบไล่กวดผู้นำได้ นั่นคือความท้าทายที่สูงสุด
POSITIONING : ให้เวลาสำหรับการแข่งขันครั้งนี้อย่างไร ชาลี : ตอนนี้เราแค่เริ่มต้นไม่ได้คิดที่จะเป็นผู้นำหรอก แต่สิ่งแรกที่จะต้องทำต่อไปคือ ให้สินค้าเป็นที่รู้จักในตลาดก่อน จากนั้นก็ค่อยมาเรียนรู้ เพราะในขณะที่เราปรับเปลี่ยนคู่แข่งเขาก็เปลี่ยนเหมือนกัน เราต้องเรียนรู้ว่าเขาปรับอย่างไง และต้องเดินหน้าเขาตลอดเวลา
POSITIONING : เมื่อคู่แข่งใช้ดนตรี และกีฬาแล้ว เราจะใช้ธีมอะไร ชาลี : เราก็ไม่ต้องไปยึดหลักดนตรีและกีฬามากเกินไป แต่ต้องยอมรับว่าดนตรีและกีฬาก็เป็นไลฟ์สไตล์ของเราทุกคน เราอาจต้องยึดไลฟ์สไตล์เป็นหลัก แต่ ไม่เจาะลึกมากจนเกินไป
เราต้องทำตอนนี้ให้ดีที่สุด แต่เราเชื่อว่าเรามาจากมวยรองเรามีโอกาสเยอะ แต่เราต้องเลือกในสิ่งที่เราสามารถทำได้ เพราะว่าแบรนด์เราอายุได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น ส่วนของเขาอายุตั้ง 10 ปี เขาก็คงใช้เวลาทำนานเหมือนกัน เราก็มีตารางในการเดินทางของเรา เช่นตอนนี้เราทำดนตรีไปก่อน ซึ่งไม่สามารถบอกเป็นระยะเวลาได้ว่า จะเริ่มทำกีฬาเมื่อไหร่ เพราะขึ้นอยู่กับการแข่งขัน เช่นถ้าเขามาแรง เราก็ประเมินและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตลอดเวลา เราต้องหัดเดินก่อน ก่อนที่จะวิ่ง เพราะว่าดนตรีและกีฬาเป็นกิจกรรมที่คนให้เวลากับมันมากที่สุด เราต้องแยกให้ออกว่าสิ่งที่อยากทำ กับสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
POSITIONING : เปรียบเทียบกับคู่แข่ง จุดอ่อนจุดแข็งของเรากับคู่แข่ง ชาลี : Product แพ็กเกจจิ้งเราออกมาดี เราใช้ขวดสีเขียวเพราะเป็นสีแห่งความพร้อม เรามีจุดเด่นคือขนนก เป็นคอนเซ็ปต์โลโก้ทำให้คนเห็นชัด ซึ่งเราใช้บริษัทต่างประเทศในการออกแบบ ใช้เงินเยอะพอสมควร ในระยะสั้นนี้ 6 เดือน ข้างนอกมีคนรู้จักว่าเป็นเบียร์ขนนกแดง แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้ว น้ำเบียร์ก็เป็นเบียร์ที่อ่อนกินง่าย ซึ่งก็เหมือนกับเบียร์พรีเมียมทั้งหลาย
ยี่ห้อ FEDERBRAU ถามยากไหมในการเรียก ก็ถือว่าไม่ง่าย แต่อย่าลืมว่า ไฮเนเก้นเมื่อ 10 ปีก่อน คนก็อ่านไม่ออก แต่ด้วยการโปรโมตบ่อยๆ คนก็จำได้ สำหรับ FEDERBRAU ตอนนี้คนก็ค่อยๆ เรียนรู้
POSITIONING : ทำไมต้องให้ผู้บริโภครับรู้ว่าเป็นเบียร์ของต่างประเทศ ชาลี : ถ้าเป็นเบียร์ระดับพรีเมียม คนไทยจะชื่นชอบและยอมรับเบียร์ต่างประเทศ จะเห็นเลยว่า ราคาของเราก็เท่ากับไฮเนเก้น ต้องถือว่าเราใจกล้ามาก เพราะการเป็นแบรนด์เกิดใหม่แต่ไปยืนราคาเท่ากับคู่แข่งไม่ใช่เรื่องง่าย คนมักจะมองว่าแบรนด์น้องใหม่ต้องถูกกว่า แต่เมื่อเรามีความเชื่อมั่นในสินค้าเรา สามารถทำให้เราวางราคาประกบคู่แข่งได้
POSITIONING : ถ้าราคาถูกกว่า โอกาสการขายน่าจะง่ายกว่า ชาลี : คนที่กินเบียร์พรีเมียมต้องมีเงิน ไม่ใช่ รสนิยมสูงแต่รายได้ต่ำ ฉะนั้นเราจึงวางราคาของสินค้าให้เหมาะกับภาพลักษณ์ของเรา มันก็มีคนที่สามารถซื้อได้
POSITIONING : โปรโมชั่นก็ยาก เพราะมีกฎหมายห้ามไว้ เราแก้โจทย์นี้อย่างไร ชาลี : สิ่งที่เราทำได้คือการ Sampling ก็คือรูปแบบหนึ่งของการโปรโมชั่น ให้คนได้ทดลองสินค้า และกิจกรรม Federventure ก็สามารถสร้างการรับรู้และให้คนทดลองได้ในเวลาเดียวกัน การจัดกิจกรรมใครๆ ก็ทำได้ แต่สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอ และต้องโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น Federveture ที่มีกิจกรรมทุกอาทิตย์ การที่เราทำไปเรื่อยๆ ทำให้คนเริ่มรู้ว่าเราทำอะไร
POSITIONING : แบ่งสัดส่วนการให้น้ำหนักกับการใช้สื่อ ชาลี : ต้องเป็นสื่อที่คนหนุ่มสาวเขาดูกัน เช่น รายการ Chic Channel และชาแนลวี เพราะว่าคนกลุ่มนี้เขาชื่นชอบแฟชั่น เมื่อสื่อทีวีมีกฎเกณฑ์เยอะ เราก็หันไปใช้สื่อ Out Door มากขึ้นเพราะว่าหนุ่มสาวดูทีวีน้อยลง เวลาดูทีวี เขาก็ทำหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน เช่น ดูทีวี คุยโทรศัพท์ เล่นคอมฯ ทำให้สื่อประเภทนี้มีประสิทธิภาพน้อยลง เราต้องหาสื่ออื่นที่คนเห็นบ่อยขึ้น เช่น Out Door รถบัส สื่อประเภทนี้จะมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งผมเริ่มทำตั้งแต่เป๊ปซี่ เช่น โฆษณาบนรถไฟฟ้า มันตระการตามาก เพราะเป้าหมายแรกของเราคือต้องการให้คนเห็นแบรนด์ เป็นการสร้าง Awareness ก่อน
ตอนนี้เริ่มทำเว็บเป็นช่องทางสื่อสารที่ค่อยๆ สำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะตลาดออนไลน์โตเร็วมาก เว็บของเฟดเดอร์บรอยตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้น มีทั้งรายละเอียดสินค้า ให้คนเข้าไปโพสต์รูปได้ สามารถลงทะเบียนร่วมกิจกรรม Federventure Party ได้
POSITIONING : วางแนวทางของออนไลน์ไว้อย่างไร ชาลี : ออนไลน์เป็นสื่ออันหนึ่งที่สามารถเข้ากับวัยหนุ่มสาวได้เป็นอย่างดี แต่มันจะดีแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับกิจกรรม โดนใจหนุ่มสาวหรือเปล่า เราจะเชื่อมโยงกิจกรรม Federventure กับออนไลน์
POSITIONING : ส่วนตัวแล้วสนใจออนไลน์แค่ไหน ชาลี : ผมไปเทศกาลเมืองคานส์ ตั้งใจไปดูงานเกี่ยวกับโฆษณาออนไลน์ ได้ไอเดียมา 1-2 อย่างก็ถือคุ้มแล้ว ตอนนี้ทั่วโลกเทรนด์ไปที่ออนไลน์ เพียงแต่ว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน
POSITIONING : 6 เดือนประเมินแล้วเป็นไงสำหรับการสร้าง Awareness ชาลี : ดีขึ้นเรื่อยๆ ดูจากการตอบรับการมียอดขายที่เริ่มสูงขึ้น มาจากการสร้างการรับรู้ และการทดลองใช้สื่อใหม่ๆ ซึ่งกิจกรรมและใช้โฆษณาทุกสื่อทำหมด แต่ความแตกต่างก็คือความต่อเนื่อง FEDERBRAU เปรียบได้กับประสบการณ์ของการรับรู้คอนเซ็ปต์ เมื่อเราพูดถึงความทันสมัย และการผจญภัยที่ไม่โลดโผนหรือแบบใกล้ตัว ก็คือกิจกรรมที่เราทำทุกวัน
POSITIONING : ช่องทางขาย ทำไมต้องเป็นผับ ชาลี : ผับ เป็นช่องทางที่สำคัญสำหรับเบียร์ระดับพรีเมียม เพราะการที่เข้าผับหรือร้านอาหาร ก็เพราะอยากให้คนอื่นเห็น ยิ่งเป็นกลุ่มหนุ่มสาวแล้วหน้าตาสำคัญ ตัวสินค้าและรสชาตินั้นเป็นรอง เพราะฉะนั้นต้องวางสินค้าให้อยู่ในสถานที่ระดับสูง ส่วนช่องทางอื่นๆ นั้น ถ้าตลาดบนทำได้ดี ตลาดล่างก็ตามมาเรื่อยๆ แต่ถ้ามันดีข้างล่างข้างบนอาจไม่ตามมา
POSITIONING : จะสร้างจุดแตกต่างได้อย่างไร เมื่อคู่แข่งก็ทำกิจกรรมในผับไม่ต่างจากเรา ชาลี : ต้องขึ้นอยู่ที่ผลประโยชน์ให้กับผับ และผู้บริโภคเรียกหา ถ้ามีผลประโยชน์อย่างเดียวคนไม่เรียกหามันก็ไม่มีประโยชน์ ในช่วงต้นการขายในผับนั้นแบรนด์เดิมอาจง่ายกว่า แต่เราต้องให้เขา และเราต้องผลักสินค้าเราด้วย การกิจกรรมมีส่วนสำคัญมาก ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน กิจกรรมเฟดเวนเจอร์ พ่วงการรับรู้ด้วยการแจกของตัวอย่าง คือ รับรู้ ทดลอง ซื้อเอง ซื้อซ้ำ สินค้ามันจะขายได้
อยากให้คนทั่วไปนึกถึง FEDERBRAU ในภาพแบบไหน
FEDERBRAU เป็นไลฟ์สไตล์ สนุกสนาน ความมุ่งมั่นเป็นแนวประสบการณ์ ความรู้สึกมันจะลึกกว่า เบียร์ช้างที่เป็นแนวของการสร้างแรงบันดาลใจ เพราะไลฟ์สไตล์มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนแรงบันดาลใจมันจะไม่เปลี่ยน ไลฟ์สไตล์จะเปลี่ยนเร็วกว่า แต่ตอนนี้ยุคนี้ไลฟ์สไตล์ของ FEDERBRAU คือมิวสิก ยังไม่มีกีฬา
POSITIONING : ครึ่งปีหลังกิจกรรมจะเข้มข้นขึ้นแค่ไหน ชาลี : การแข่งขันจะสูงขึ้น เพราะเป็นช่วงเทศกาล ตลาดเบียร์ 3 เดือนหลังมียอดขายสูงถึง 30% ของยอดขายรวมทั้งปี และ FEDERBRAU จะต้องออกแรงพอสมควร ในฐานะที่เราเป็นคนใหม่ต้องสู้ทุกรูปแบบ ใช้งบ 150 ล้านบาทถึงสิ้นปี ไม่งั้นสู้ไม่ได้ แต่เงินก็คือตัวเลขมันอยู่ที่คุณภาพของการใช้เงินมากกว่า ซึ่งทางไฮเนเก้นก็มีเงินเยอะมากกว่าเรา แต่ถามว่าเรากลัวหรือเปล่าเราต้องยอมรับในความแข็งแกร่งของเขา แต่ถ้าสิ่งที่เราแล้วโดนตลาด เราก็มีโอกาสไปแย่งของคนอื่นมาก็ได้ ตลาดไม่อยู่แค่ FEDERBRAU กับไฮเนเก้น ผู้บริโภคเวลาอยู่ในผับ เขาไม่ได้กินเบียร์อย่างเดียว เขากินวิสกี้ เราอาจจะดึงจากเหล้าก็ได้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สำคัญอยู่ที่ว่าสินค้าโดนหรือเปล่า
สินค้าไหนมีการแข่งขันสูงก็จะมีกิจกรรมเยอะ ดูอย่างตลาดอัดลม เป๊ปซี่กับโค้กแข่งกันมาก จนทำให้รายย่อยๆ เงียบไปเลย ตลาดเบียร์ก็ไม่ต่างกันขึ้นอยู่กับว่าใครทำได้ดีกว่า
POSITIONING : เทรนด์ปีหน้าของเบียร์จะเป็นอย่างไร ชาลี : การแข่งขันน่าจะสูง FEDERBRAU ก็มาแล้ว ส่วนไฮเนเก้น เขาก็จะมีตัวใหม่เข้ามา การแข่งขันจะสูงขึ้นภายใต้ข้อจำกัดที่มากขึ้น ก็ต้องหาแนวทางใหม่ ๆ มาใช้ในการแข่งขัน
Create Date : 12 กรกฎาคม 2553 |
|
16 comments |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 23:16:47 น. |
Counter : 238 Pageviews. |
|
|
|
ไทยเบฟฯเท200ล.ปั้นเฟดเดอร์บรอยอัดสื่อโฆษณา360องศาบูมแบรนด์
ไทยเบฟฯ ทุ่ม 200 ล้านบาท ปั้นเบียร์น้องใหม่"เฟดเดอร์บรอย" ชูคอนเซปต์ผจญภัยบุกเซกเมนต์พรีเมียม อัดสื่อโฆษณาครบ 360 องศา จ่อคิวส่งภาพยนตร์โฆษณา พร้อมโหมโรงจัดกิจกรรม "เฟดเดอร์เวนเจอร์" เดินสายโรดโชว์สถานบันเทิงย่านดัง หวังสร้างการรับรู้คอเบียร์ในวงกว้างทะลวงคนรุ่นใหม่
นายชาลี จิตจรุงพร รองผู้อำนวยการสำนักการตลาด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์ช้าง อาชา เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบ 200 ล้านบาท เปิดตัวเบียร์เฟดเดอร์บรอย เซกเมนต์พรีเมียม มีปริมาณแอลกอฮอล์ 4.7 % โดยวางคอนเซปต์เบียร์ผจญภัย เจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่มีอายุระหว่าง 22-35 ปี มีความมั่นใจ รักอิสระ ชอบความสนุกอย่างมีสาระ และที่สำคัญมีไลฟ์สไตล์อย่างมีระดับในแบบตัวเอง
ทั้งนี้บริษัทจะดำเนินการตลาดในเชิงรุกในช่วง 9 เดือน โดยเน้นการทำอะโบฟเดอะไลน์มากกว่าบีโลว์เดอะไลน์ ซึ่งจะใช้สื่อโฆษณาครบ 360 องศา ทั้งสื่อบิลบอร์ด กระตุ้นให้เกิดความอยากรู้และติดตาม นอกจากนี้ยังเตรียมจัดกิจกรรมเปิดตัวในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ทั่วประเทศโดยใช้สื่อต่างๆ อย่างครบวงจร อาทิ โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วทั้งประเทศ
นอกจากสื่อหลักต่างๆ เข้ากัน บริษัทยังเจาะเข้าถึงร้านค้าด้วยการตกแต่งร้านและจัดอีเวนต์ต่างๆ ที่จะช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็นแบรนด์ในทุกสื่อไม่ว่าจะอยู่ที่ใด นำร่องจัดกิจกรรม"เฟดเดอร์เวนเจอร์" โรดโชว์ตามสถานบันเทิงครบสูตร โดยเริ่มที่ย่านทองหล่อ และเตรียมจัดกิจกรรมตามย่านถนนข้าวสาร พระราม 3 เป็นต้น ในระหว่างเดือนมิถุนายน - สิงหาคม นี้
"การทำอะโบฟเดอะไลน์ หรือการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านโทรทัศน์ ยอมรับว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีข้อจำกัดอยู่มาก อย่างไรก็ตามเบียร์เฟดเดอร์บรอยเป็นแบรนด์ใหม่ ดังนั้นจึงต้องทำเน้นอะโบฟเดอะไลน์เป็นหลัก เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างส่วนการจะใช้กลยุทธ์มิวสิค มาร์เก็ตติงหรือสปอร์ต มาร์เก็ตติง ต้องพิจารณาอีกระยะหนึ่ง "
นายชาลี กล่าวว่า พฤติกรรมการดื่มเบียร์ของคนไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยเริ่มมองหาเบียร์ที่มีรสนุ่ม เบา และสดใหม่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ส่วนแนวโน้มตลาดเบียร์มูลค่า 1 แสนล้านบาท ปีนี้ไม่ดีมากนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ได้ดีมากนัก กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่หากเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตดีขึ้น ตลาดเบียร์ก็มีอัตราการเติบโตขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามในช่วงที่เศรษฐกิจดี ส่งผลให้เบียร์พรีเมียมสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 100 ล้านลิตรต่อปี โดยปัจจุบันเบียร์พรีเมียมมีมูลค่า 8,000 - 9,000 ล้านบาท ไฮเนเก้นเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 95%