พระพุทธศาสนาย้ำเตือนเราทุกคนว่า "หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้" ไม่ว่าเราจะทำอะไร
| | | |
พระพุทธศาสนาย้ำเตือนเราทุกคนว่า "หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้" ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เช่น ขับรถ ทำงาน และทำกิจกรรมอื่นๆ หากเมื่อใดก็ตาม เราหลงลืมกัลยาณมิตรของเราโดยไม่รู้ว่าเรากำลังหายใจ คำถามคือ เราจะต่างอะไรจากคนที่ตายแล้ว เพราะลืมหายใจหนึ่งวินาที ก็เหมือนกับว่าเรากำลังตายหนึ่งวินาที หากลืมหนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งวัน เราก็ตายหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งวันเช่นกันตามพุทธพจน์ที่ว่า "คนขาดสติเหมือนคนที่ตายแล้ว"
เมื่อใดก็ตามที่เรา ใส่ใจต่อกัลยาณมิตรของเราโดย "กตัญญูต่อลมหายใจของเรา" หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ซึ่งเป็นการระลึกนึกถึงกัลยาณมิตรของเราตลอดเวลาเช่นนี้ เมื่อนั้น เราจะได้รับ "ความตื่น" และ "เบิกบาน" มาเป็น "ของขวัญ" แก่ชีวิตของตนเอง และแล้วเราจะพบว่า "ความสุขที่ยิ่งใหญ่คือการได้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง"
ที่มา. โดยภัทรานิษฐ์ จีระประเสริฐ รักในหลวง (เพื่อนทางเฟชบุ๊คค่ะ)
| | | | |
Create Date : 23 มีนาคม 2554 |
|
1 comments |
Last Update : 23 มีนาคม 2554 12:21:24 น. |
Counter : 2337 Pageviews. |
|
|
|
ขอเพิ่มอีกนิดจากพระโอษฐ์ ครับ
ภิกษุ ท. ! ถ้าภิกษุเจริญอานาปานสติ แม้ชั่ว
กาลเพียงลัดนิ้วมือ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่าง
จากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดาปฏิบัติตามโอวาท
ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะป่วยกล่าว
ไปไยถึงผู้กระทำให้มากซึ่งอานาปานสตินั้นเล่า