อากาศที่นี่เริ่มร้อนอบอ้าวขึ้น ทั้งๆที่ยังอยู่ในช่วงของหน้าหนาวแท้ๆ วันนี้... วันอาทิตย์แล้ว วันอาทิตย์ที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ วันอาทิตย์ที่ผมยังคงเรื่อยๆเฉื่อยๆเหมือนทุกๆวัน และก็เหมือนวันอื่นๆที่อารมณ์ผมปรวนแปรไปต่างๆนาๆ07.45 น. นี่ไม่ใช่เวลาตื่นนอนของผม ปกติเวลาประมาณนี้ผมจะเพิ่งนอนไปซักสองชั่วโมงแล้ว แต่มันอยู่ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมก็เลยเข้านอนสายไปสักสองชั่วโมง คงไม่เป็นปัญหาหรอกนะจริงๆช่วงก่อนรุ่งสาง ผมรู้สึกเหงาๆ และมีความรู้สึกความต้องการตามธรรมชาติของชายหนุ่มวัยสามสิบทั่วไป แต่ความรู้สึกเหงาและอ้างว้างมีมากกว่า มันเลยไปผลักดันให้ความรู้สึกตามธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น แปลงไปเป็นความคิดถึงถึงความรักที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นวัยเรียนตอนปลาย แน่นอนมันจบไปนานมากแล้ว แต่ความรักในคราวนั้นยังคงประทับใจ เพราะสี่ปีที่มันดำรงอยู่ แม้จะมีเรื่องให้ต้องยุ่งยากใจ แต่ก็มีเรื่องที่แสนงดงามให้จดจำมิใช่น้อย สิบปีแล้วที่เรารู้จักกัน หกปีแล้วที่เลิกร้างกันไป ราวสามเดือนที่แล้ว เราได้กลับมาพบกันใหม่ หลังจากที่ต้องจากกันไปอยู่ห่างไกลกันคนละประเทศ ผมได้ทดลองเปิดทั้งใจและกาย เข้าไปสัมผัสกับความสัมพันธ์แบบเดิมอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจกลับไปรื้อฟื้นมันได้อีก ใช่ ผมไม่สามารถรักเขาได้เหมือนเดิม ก็บอกลาด้วยใจหาย แต่คงดูใจร้ายใจดำในสายตาของอีกฝ่าย ที่รอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยวิธีที่ยากลำบากผิดวิสัยคนมีเงินเขาทำกัน เพียงเพื่อมาให้ผมทดสอบความรู้สึกเพียงวันสองวัน แล้วก็ถูกผมหันหลังให้อย่างเย็นชาเหมือนเมื่อหกปีที่แล้ว ต่างกันเพียงว่าคราวนั้นผมเสียใจเมื่อรู้ว่าเขามีใครเข้ามาเพิ่มในหัวใจ แต่คราวนี้แม้เขาจะมีใครๆผมไม่ได้สะทกสะท้านเลยผมนึกถึงคนที่รักผมมากๆ คนถัดมา คราวนี้เป็นรักในวัยทำงาน เป็นรักที่ได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างดี ทุกเช้าที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องไปทำงานหรือออกนอกบ้าน จะต้องมีการบอกกล่าว หอมกลิ่นความรักด้วยการสัมผัสที่แก้มเบาๆทุกคราวทุกครั้ง ในยามเย็นจะต้องมีเสียงโทรศัพท์ถามไถ่ว่าวันนี้อยากกินอะไรจะซื้อเข้ามาให้ไม่เคยขาด งานบ้านงานเรือนแม้ผมจะขี้เกียจและถูกกระตุ้นให้ช่วยทำอยู่บ่อยครั้งนั้น ผมก็ทำด้วยความเต็มใจบ้าง หน้ามุ่ยๆบ้าง แม้ในยามค่ำคืนก็มีคนนอนอยู่ข้างๆให้อุ่นกาย เสียงลมหายใจและเสียงกรนอ่อนๆนั้นทำให้อุ่นใจ ยามเจ็บยามไข้ต่างคอยช่วยดูแลกัน ใครเมามายกลับมาก็ยังมีคนคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว... พอนานเข้าปีที่สี่ ผมคงรู้สึกชินหรือหน่ายกับบรรยากาศแบบนั้น พาลให้เผลอไผลไปกับอะไรที่มันหวือหวาน่าตื่นเต้น จนความสัมพันธ์ที่มีร่วมกันต้องจบลงไปอย่างน่าเสียดายและน่าเสียใจ แม้ในช่วงแรกความทุกข์ระทมจะทำให้บรรยากาศหลังจากนั้นน่าสลดหดหู่ แต่มันก็เหมือนกับต้นไม้ที่ขาดน้ำในฤดูแล้ง พอเวลาผ่านไป ฝนที่พร่างพรมก็พาให้ความชุ่มชื่นคืนกลับอีกครั้ง ใบไม้ใบใหม่ก็เผยผลิ ใบเก่าที่ร่วงโรยไปก็ให้มันเน่าสลายไปตามกาลเวลา... เรากลับมาพูดคุยกันได้เหมือนเคย แม้ความสัมพันธ์จะเปลี่ยนแปลงไป มีสิ่งต่างๆมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของผมพอๆกับเขา เราต่างเจอมรสุมชีวิตเหมือนกัน ไม่มีใครมีความสุขในชีวิตใหม่ ทุกคนต่างล้มเหลว เราต่างไม่เคยโทษกัน เราต่างคิดว่าเป็นความผิดของตน ทั้งที่ความผิดทั้งหมดมันควรจะเป็นของผมฝ่ายเดียว เช้านี้ผมตัดสินใจโทรหาเขา เสียงงัวเงียที่ปลายสายบอกให้รู้ว่าคนทางโน้นยังอยู่บนเตียงนอน เตียงเดิมที่ผมคุ้นเคยอยู่หลายปี... ยินเสียงโทรทัศน์เล็ดลอดเข้ามาในบทสนทนา พร้อมเสียงยามเช้าในแบบที่คุ้นเคยที่ยังคงก้องอยู่ในความทรงจำ ผมทักทายไปด้วยเสียงอันแจ่มใส ไม่นานปลายทางก็จูนเสียงได้เป็นปกติ เราคุยกันไปชั่วโมงกว่า ด้วยเรื่องสัพเพเหระ ส่วนมากจะเน้นหนักไปที่ชีวิตลุ่มๆดอนๆและโลดโผนของทางโน้นมากกว่า หลายเรื่องเป็นเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะผ่านทางเพื่อนฝูงของเขา หรือบทสนทนาของเราในคราวก่อนๆ ระหว่างที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นกับเขา ทั้งเรื่องงาน เงิน และอุบัติเหตุ มีคนหลายหน้าหลายนามที่ผ่านเข้ามาเยี่ยมเยือนทั้งกายและใจ แน่นอนผมไม่ห่วงเขาในเรื่องนี้ เพราะหนึ่งผมไม่มีสิทธิ์ไปจำกัดสิทธิ์อันชอบธรรมนั้น และสองผมคิดว่าเขาจัดการกับความรู้สึกของตัวเขาเองกับคนเหล่านั้นได้ดีกว่าผม ซึ่งหลังจากแยกกันมา มีคนผ่านเข้ามาในชีวิตและหัวใจผมน้อยราย แต่ก็ทำให้หัวจิตหัวใจของผมปั่นป่วนและชอกช้ำอยู่พอสมควร หลังจากผมวางสายไป แต่เหมือนว่าผมยังไม่ได้พูดในสิ่งที่ต้องการพูดเลย ผมคิดจะส่งข้อความไปให้เขาหลังจากนั้น ถามตัวเองว่าดีหรือเปล่า ถ้าจะถามเขาว่า ยังรักผมอยู่ไหม? ใช่ ครับ เช้านี้ผมคิดถึงเขาถึงขนาดที่มีความคิดว่าจะเป็นอย่างไรหนอ ถ้ากลับไปคบกันอีก ในแบบห่างๆอย่างห่วงๆ แต่สุดท้าย ผมก็ยังจะเก็บคำถามนั้นไว้ก่อนดีกว่า เผื่อวันไหนที่ผมได้เจอเขาอีก และยังรู้สึกว่าที่ผมรู้สึกคิดถึงเขาและอยากกลับไปหานั้น ไม่ใช่เพียงแค่เหงาชั่วครู่ชั่วคราว หรือเป็นเพียงเพราะความรู้สึกความต้องการตามธรรมชาติของชายหนุ่มวัยสามสิบทั่วไปมันเรียกร้อง แปลก!!! ที่ผมไม่คิดถึงคนที่ผมเคยรัก ซึ่งคือคนที่ 3 ที่ได้ร่วมชีวิต ที่ความสัมพันธ์ปีกว่าๆได้จบลงไปมาได้หนึ่งปีเต็มๆแล้ว ซึ่งความจริงปีกว่าๆที่ใช้ชีวิตร่วมกันนั้นมีเรื่องต่างๆทั้งสุขและเศร้ามากมาย แต่คงเป็นเพราะผมต้องการจะลืมประสบการณ์อันเลวร้ายที่ยังฝังใจ และพยายามทำให้มันหายไปจากความทรงจำให้ได้ก่อน เมื่อนั้นความดีที่เคยมีต่อกัน อาจจะทำให้ผมต้องมานั่งนอนคิดถึงเขาในอีกหลายปีข้างหน้าก็เป็นได้ 17.30 น. ขณะที่ผมกำลังช่วยแม่หุงข้าว ล้างจาน และทำอะไรนิดๆหน่อยๆทานในมื้อเย็น ก็มีภาพของบุคคลคนหนึ่งแว่บเข้ามาในใจ ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่ทำให้ผมมีความรู้สึกเกิดขึ้นมากมายในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา คงเป็นเขา(คุณ)นั่นหล่ะครับ ที่อาจกำลังอ่านอยู่ แต่วันนี้ที่ผมระลึกถึงเขา(คุณ) มันไม่ใช่ความรู้สึกบ้าคลั่งอย่างที่เขา(คุณ)เคยรู้สึกแล้ว ผมมานึกถึงเขา(คุณ)ด้วยความเสียดายและกลัว กลัวว่าสุดท้ายเขา(คุณ)จะกลายเป็นเหมือนใครบางคนที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านเลยไป เหมือนใครบางคน ซึ่งมันมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้นผมเคยรักเพื่อนสนิทผมมาก แต่วันหนึ่งเขาก็กลายเป็นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆทั่วไป ที่ผมมอบให้เขาคือเพื่อนคนพิเศษ เขาเคยอยู่ตรงนั้นมาเนิ่นนานร่วมสิบปี แต่เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนเขาเลือกที่จะเดินออกไปยืนปะปนกับคนอื่น ซึ่งผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปพันธนาการเขาไว้ เพียงแต่ยังเก็บที่ตรงนั้นเอาไว้ อยากกลับเขามาเมื่อไรผมก็คงดีใจ... มันน่าอึดอัดใจที่จะรู้สึกว่ารักเพื่อนคนหนึ่งมากในขณะที่เขาไม่ได้ต้องการขนาดนั้น และไม่อยู่ให้ผมรัก สิ่งที่ทำได้ก็คือค่อยๆปรับความรักที่ผมมีต่อเขาให้เท่ากับที่เขามีต่อผม ซึ่งก็ยากทั้งการปรับลงมา และยากที่จะรู้ว่าเขารักผมอยู่เท่าไร... ผมไม่รู้ว่าผมปรับมันอย่างไร รู้แต่เพียงว่าช่วงเวลาที่เพื่อนหายไปจากชีวิตนั้น มันก็เหมือนบ้านที่เปิดทิ้งไว้ไม่มีใครใส่ใจ ขโมยขโจรก็มาลักทรัพย์สินหายไปหมด กลับมาสำรวจจิตใจตัวเองอีกที ผมก็ไม่รู้ว่าความรักที่ผมมีต่อเพื่อนคนนี้ได้หล่นหายถูกใครขโมยไปตอนไหนมากมายถึงเพียงนี้ ที่เหลืออยู่นั้น เห็นแล้วก็แทบใจหาย ซึ่งก็แทบจะไม่แตกต่างกับอีกกรณี กับใครคนหนึ่งที่ผมเคยมอบความรักให้ในช่วงปีที่ผ่านมา แม้ความสัมพันธ์จะเป็นความสัมพันธ์แบบที่เขาจะบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องรักกัน เพียงแต่ผมแอบเถียงอยู่ในใจ ผมจำเป็นต้องรักคุณ เพราะการมีความสัมพันธ์ทางกายนั้นผมจำเป็นต้องให้หัวใจของผมออกหน้า ไม่ว่ากับคุณหรือกับใคร เพราะการที่ผมต้องทิ้งบางอย่างไว้ข้างหลังเพื่อไปไหนกับคุณนั้น เหตุผลเดียวที่ผมทำสิ่งนั้นได้ คือความรัก หลายเดือนที่อยู่ๆเขาก็หายไป เขาคงคิดว่า เมื่อไม่จำเป็นต้องรักกัน ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องคิดถึงหรือใส่ใจความรู้สึกกัน แน่นอนว่าผมกระวนกระวายใจและคิดถึง แต่ทราบมาตั้งแต่ต้นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรักอยู่แล้ว ฉะนั้นเขาก็ไม่ผิดที่จะเงียบหายไป ที่จะไม่มีคำว่าคิดถึง หรือความห่วงใยใดๆส่งมาให้... ช่วงเวลาที่เขาหายไป ต่อให้ผมพยายามเก็บรักษาความรู้สึกรักนั้นไว้เพียงใด แต่ก็ไม่รู้ว่าได้เผลอปล่อยให้ขโมยมาหยิบไปตั้งแต่เมื่อไร ต่อเมื่อเขากลับมาเอ่ยคำ Hello ขึ้นมาอีกครั้ง ถึงได้รู้ตัวว่ามันไม่ได้ขลังเหมือนอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว ผมกลัว กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับเขา(คุณ) ซึ่งเขา(คุณ)อาจจะดีใจก็ได้หากมันจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเช่นนั้นผมก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าได้เลยว่าโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นค่อนข้างสูงทีเดียว ถ้าเขา(คุณ) ต้องการอย่างนั้น ผมจะแนะวิธีให้เขา(คุณ)ง่ายๆ หนึ่ง เขา(คุณ)ก็แค่ทำตัวเหินห่างออกไป สองก็แค่ทำให้ผมแน่ใจว่าสิ่งที่ผมเรียกว่าความรักเนี่ย ไม่ได้มีคุณค่าหรือความหมายสำหรับเขา(คุณ)เลย และสาม ไม่ต้องแสดงออกถึงความคิดถึง ห่วงใย และปรารถนาดีต่อกัน แค่เพียงเท่านี้ก็คงช่วยให้ผมพยายามตีตัวออกห่างและไม่รบกวนเขา(คุณ)แล้วหล่ะครับความรักคืออะไรหนอ ความรักเกิดจากอะไรครับ แล้วความประทับใจ ความไหลหลงเนี่ย มันจะกลายเป็นความรักไม่ได้บ้างเชียวหรือ ผมคงอ่านนิยาย หรือดูหนังรักมากเกินไป แล้วที่เขาพูดกันให้เกร่อใน Sleepless in Seattle ว่า Its magic เนี่ย คงเป็นอีกหนึ่งเรื่องโกหกที่ฮอลลีวูด หรืออเมริกาได้หลอกหลวงประชาคมโลกเหมือนที่เคยทำมาตลอดใช่ไหมครับ แต่ช่างเถอะครับ ถึงตอนนี้ ผมคงไม่คิดจะถามแล้วหล่ะครับว่ารักคืออะไร หรือกระทั่งถามว่ารักผมบ้างไหม เพราะการที่จะได้ยินคำว่ารักจากปากปราชญ์นั้นคงยากยิ่งกว่าการรีดเลือดจากปูเสียอีก คงมีแต่คนเขลาๆอย่างผมเท่านั้นหล่ะที่พร่ำเพ้อคำๆนี้ได้อย่างคล่องปาก แต่ผมจะคอยสังเกตเป็นระยะเอาเองว่าเขา(คุณ) พยายามทำทั้งสามข้อที่ผมแนะนำนั่นหรือเปล่า ซึ่งไม่ผิดครับถ้าจะทำเช่นนั้น และถ้าตั้งใจเช่นนั้นก็ทำให้ชัดเจนไปเลยนะครับ ผมยิ่งเป็นประเภทที่มักจะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ด้วยถ้ามันแค่คลุมเครือ ถึงวันนี้ผมก็ยังแอ่นอกแฟ่บๆพูดได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า ยัง รัก เขา(คุณ)อยู่เช่นเคย ไม่ว่าเขา(คุณ)จะมองว่ามันเป็นแค่ความประทับใจ หรือเพียงแค่ไหลหลงก็ตาม ผมยังจัดสรรตำแหน่ง คนพิเศษ ไว้ให้เขา(คุณ)เช่นเคย แน่นอนผมเองก็เห็นแก่ตัวที่อยากที่จะถูกวางไว้ในฐานะ คนพิเศษ เช่นกันหากมันจะเป็นไปได้... ผมขอใช้เวลายาวๆเพื่อดูหัวใจและการกระทำเป็นเครื่องตัดสินใจว่าจะยังรักต่อไปไหม ผมบอกตรงๆว่าในทุกๆความสัมพันธ์ผมมักมีความหวังอยู่เสมอว่ามันจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้ามันจะแย่หรือจบลง ผมก็ทำใจรับได้อยู่แล้วครับ ใช่ว่าผมไม่เคยเจอ ลองกลับไปอ่านข้างบนอีกซักรอบสิครับ ดูเหมือนความผิดหวังจะเป็นมิตรที่คุ้นเคยกับผมทีเดียว แต่ก่อนที่จะผิดหวังผมขอแค่ให้ผมได้มีความรักในหัวใจ ก็ถือเป็นการแลกที่คุ้มค่าแล้วครับ23:42 น. เมื่อเย็นผมเพิ่งนึกถึงเขาไปหยกๆ ไม่คิดว่าก่อนที่วันอาทิตย์หม่นๆจะผ่านพ้นไปจะได้เห็นว่าเขาโผล่ขึ้นมา online หลังจากไม่ได้พบกันนานหลายเดือนทั้งในชีวิตจริงและในไซเบอร์สเปซ คนที่เคยเอ่ยว่า เราไม่จำเป็นต้องรักกัน... แม้วันนี้เขาจะไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายก่อน แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายเลยที่จะเอ่ยปากทักทายเขาก่อนด้วยคำว่า คิดถึง ซึ่งออกมาจากใจ แม้ความรักของผมจะเจือจาง แต่ความคิดถึงนั้นยังคงเป็นของจริง เป็นคำสัตย์ ที่ผมพร้อมจะพูดเสมอที่รู้สึกอย่างนั้น ไม่ว่าจะกับเขาหรือกับใคร... เราทักทายกันนิดหน่อย แล้วก็ตามมาด้วยประโยคนี้ ประโยคคลาสสิค มา กทมฯ ก็บอกมานะ จะได้นัดกินข้าวกัน ผมอาจจะชินชากับนัดลักษณะนี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลยในรอบ 7-8 เดือนที่ผ่านมานี้ แต่ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ว่าอาจจะได้เจอคนที่ผมเคยรัก(อยู่ข้างเดียว) หลังจากที่ไม่ได้เจอกันเลยถึง 8 เดือน ทั้งๆที่ผมนั่งรถสิบกว่านาทีก็ถึงบ้านเขาแล้ว และปีใหม่ที่ผ่านมาผมก็ไปจนถึงหน้าบ้านเขาเพียงเพื่อไปหย่อน ส.ค.ส. ลงในตู้ไปรษณีย์ ทั้งๆที่เพียงกดกริ่งเรียก ผมก็อาจจะได้เจอเขาแล้ว แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น ไม่รู้ทำไม รู้แค่ว่าผมก็เคารพในการตัดสินใจของเขา ถ้าเขาไม่อยากเจอผมนั่นก็เป็นสิทธิ์ของเขา พอๆกับที่ผมมีสิทธิ์ที่จะพูดคำว่าคิดถึง ถ้าผมอยากจะพูด ผมแค่อยากจะบอกว่าแม้บางทีอารมณ์ผมจะรุนแรงและแปรปรวน แต่ผมก็ไม่เคยคุกคามใคร เพียงแต่บางครั้งอาจจะรู้สึกอึดอัดบ้างก็เท่านั้นเอง ซึ่งไม่เคยตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้นเลย24.00 น.อากาศในยามดึกอย่างนี้ เย็นลงเยอะทีเดียว ซึ่งก็พอให้รู้สึกเย็นสบายๆ ไม่ครั่นเนื้อตัว ความปรวนแปรในจิตใจของผมคงไม่ต่างอะไรกับอากาศ รุ่มร้อนในยามกลางวัน ในยามที่มีเรื่องราวมากมายให้เผชิญหน้า และสงบเยือกเย็นในยามราตรี ในยามที่ชีวิตต้องการหย่อนกายและอารมณ์... ความบ้าคลั่งของคลื่นลมแม้ไม่น่ามอง แต่นั่นก็คือธรรมชาติของท้องทะเล ที่เราปฏิเสธการมีอยู่จริงของมันไม่ได้ แต่จงมองมันในยามที่มันสงบราบเรียบ ในยามที่มันงดงามอย่างเต็มที่ ยามใดที่ลมเริ่มแรง คลื่นลูกโตขึ้น ก็จงเมินหน้าหนีเสีย อาจจะเพียงได้ยินเสียงโครมครามเข้าหูมาบ้าง แต่คุณก็จะยังคงรักความกว้างไกลสุดลูกหูกตา รักความสดใส รักความงามและเสน่ห์ของมัน หรือแม้คุณอาจจะรักความปรวนแปรของท้องทะเลในสักวันมะดัน / 22 มกราคม 2550 / 07.23 น.ปล. ขอบคุณภาพสวยๆทุกภาพที่ผมหยิบยืมมาประดับเรื่องราวด้วยครับThanks for all fotos sourcesTitle : Who Can I Turn To ?Artist : Eileen FarrellAlbum : Eileen Farrell Sings Alec WilderThanks : P'1 (Nice No.1) for CDs WHO CAN I TURN TO ?(William Engvick / Alec Wilder)Who can I turn to, where can I goHow can I face it alone now?After the moments we've knownWho can I turn to now?Who can I sing to, how can I smileHow can I wish on a star, how?Knowing the way that you areWho can I turn to now?We walked in the spell of the summerWe kissed in the wind and the rainBut now the enchantment is overThe echo and I remainPeople are strangers who walk through the townBoast in a lonely paradeOh where are the dreams that we madeWho can I turn to now?who can I turn to now?กำลังหลงไหลไปกับเพลงนี้อย่าหาว่าผมจมปลักกับเพลงเศร้าๆเลยนะครับฟังแล้วแม้จะเหงา แต่ก็มีความสุขที่ได้ฟังเพลงที่ไพเราะถือว่าถึงคราวต้อง แลกเปลี่ยน ก็แล้วกัน
ความเหงาทำให้เราอยู่คนเดียวไม่ได้
นั่นคงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงต้องการความอบอุ่น
ใครสักคน...ที่เข้ามาเดินร่วมทาง