Group Blog
 
 
สิงหาคม 2548
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
22 สิงหาคม 2548
 
All Blogs
 
7 วัน 6 คืน ละลายเงินสองหมื่น (กว่า) ที่ฮ่องกง ตอนที่ 1

เท้าแตะพื้นดินถิ่นเป็ดย่าง

ทริปนี้เป็นครั้งที่ 2 สำหรับการเดินทางไปเยือนแดนฮ่องกงสวรรค์ของนักช็อปและนักชิมทั้งหลาย การเดินทางครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2547 คณะผู้ร่วมเดินทาง 5 คน ระยะเวลา 5 คืน 4 วัน บินดราก้อนแอร์ไฟลท์สองทุ่มไปถึงเที่ยงคืน

ครั้งนี้ไปกันแค่ 2 คน เพราะที่เหลือเตรียมเก็บเงินสำหรับทริปเยือนแดนโสมในปีหน้า ส่วนเรา 2 คนนั้นมีความเห็นว่าทริปปีหน้าก็ไว้ปีหน้าค่อยว่ากัน ส่วนปีนี้ยังไงก็ต้องไปช็อปและชิมที่ฮ่องกงกันก่อน ว่าแล้วมี่ก็แว๊บๆ มาสืบค้นข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับทริปฮ่องกงของเพื่อนๆ ชาว BP ท่านอื่นๆ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ได้ข้อมูลมามากกกกกเกินกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะอ่านมันทุกกระทู้ เก็บทุกๆ เรื่องราว

ทริปนี้มี่เซ็ตเวลาไว้ 7 วัน 6 คืน หลายๆ คนคงจะคิดว่ามันจะไปทำอะไรกันตั้ง 7 วัน ช้านเที่ยวแค่ 3 วันก็เหลือแหล่แล้ว แหะแหะ.. มี่เป็นประเภทไปแล้วเอาให้คุ้มค่ะ ขออยู่เป็นชาวบ้านชาวเมืองเค้าซักพักก็แล้วกัน ทริปนี้มี่กับเพื่อนยังคงใช้บริการสายการบินดราก้อนแอร์เพราะราคาเหมาะสมและบริการใช้ได้ เราตั้งงบประมาณกันไว้ที่ 20,000 – 25,000 บาท

รายละเอียดค่าใช้จ่ายหลังจากสิ้นสุดการเดินทาง สรุปได้ดังนี้ค่ะ
(อัตราแลกเปลี่ยน 1 $ = 5.29 , 1 RMB = 5.15)

ค่าใช้จ่ายที่เป็น Fixed cost
ค่าตั๋วเครื่องบิน + ภาษีสนามบินไทย 7,200.00 บาท
ค่าที่พัก (6 คืน) 3,385.60 บาท
ค่ารถแอร์พอร์ตบัส (ไป-กลับ) 349.14 บาท
ค่าวีซ่าเข้าเสินเจิ้น 793.50 บาท
ค่าอาหารการกิน (คนละ) 1,348.95 บาท
ค่าบัตร Octopus แบบ 150$ รวมใช้ไป 1,587 บาท
รวม 14,664.19 บาท

ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
ค่าช็อปปิ้งในฮ่องกง 3,983.90 บาท
ค่าช็อปปิ้งในเสินเจิ้น 1,545.00 บาท
ค่ารูดบัตร Visa 3,450.70 บาท*
*อันนี้ไม่ได้อยู่ในงบเพราะบังเอิญเห็นร้าน Levi’s ลดราคากระเป๋าลายน่ารัก อดใจไม่ไหวจริงๆ ค่ะ
รวม 8,979.6 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นสำหรับทริปนี้ 23,643.79 บาท

ทีนี้ก็มาดูบันทึกกันเดินทางของมี่กันเลยค่ะ เริ่มต้นออกเดินทางในวันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม 2548 โดยสายการบินดราก้อนแอร์ไฟลท์ KA 281 เครื่องออก 10.55 น. เดินทางถึงฮ่องกงเวลา 14.55 น.

กระเป๋าเดินทาง ติดสติ๊กเกอร์สีสดใส กันคนหยิบผิดค่ะ คราวก่อนโดนหยิบผิดไป ตกใจแทบแย่



บัตรที่นั่งค่ะ ได้มาแล้วแนบติดไว้กับตั๋วเครื่องบิน



เครื่องลำที่เราจะนั่งค่ะ



15.00 น. โดยประมาณ (เวลาฮ่องกง) เราก็เดินทางถึงสนามบินเช็ปแลปก็อก



เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วออกมาที่ Arrival Hall จะเจอเคาน์เตอร์ Airport Express ซื้อบัตร Octopus แบบ 150 HKD

Tips: ตั้งแต่ลงเครื่อง ถ้าเห็นแผนที่หรือเอกสารแผ่นพับอะไรในแบบภาษาที่อ่านได้ให้หยิบติดมือไปก่อน



ส่วนนี้เป็นส่วนที่ญาติๆ จะมารอรับผู้โดยสารค่ะ



สามารถเห็นจากจอได้เลยว่าญาติของตัวเองเดินมาแล้วหรือยัง



ถัดจากเคาน์เตอร์ AE จะเห็น McDonald กับ Cafe de Coral ค่ะ หิวก็หาอะไรทานได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้โดยสารขาออกซะมากกว่า



เมื่อซื้อบัตร Octopus เสร็จแล้วเดินเลี้ยวไปทางขวามือ จะเป็นทางไปลานจอดรถ Airport Bus คอยดูป้ายบอกว่าไปทาง Bus Terminal ขึ้นรถสาย A21 ค่ารถคนละ 33 HKD ตลอดสาย

ขนกระเป๋าขึ้นรถเสร็จสรรพ มี่ก็รีบวิ่งขึ้นไปจับจองที่นั่งหน้าสุดชั้นบนเลยค่ะ จะได้เห็นวิวชัดๆ



ฝนตกตลอดทาง



ถ้าฟ้าใสคงสวยค่ะ



กำลังจะข้ามสะพานแล้ว



ทำไมถนนเค้าไม่เหมือนบนสะพานแขวนบ้านเราเลยแฮะ



สะพานอีกอัน เห็นไกลๆ แต่เต็มๆ



กำลังจะลอดเข้าอุโมงแล้วค่ะ



เข้ามาแล้ว



โผล่ออกมาใหม่ ที่ไหนเนี่ย



อืม.. มีน้ำ มีตึก มีเรือ



ว๊าวววว ถนนว่างดีจังเลย



มากลางวันก็ดีอย่างนี้นี่เอง ระหว่างทางก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ของฮ่องกง บ้านเมืองเค้ามองไปทางไหนก็มีแต่ตึกสูงๆ รูปร่างหน้าตาเหมือนๆ กันเต็มไปหมด มี่ก็กดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ เหมือนไม่เคยเห็น

Tips: บนรถจะมีป้ายไฟบริเวณคนขับคอยบอกว่าถึงป้ายไหนแล้ว



เกือบ 5 โมง เราก็เดินทางมาถึง Tsim Sha Tsui มี่ลงที่ป้ายสถานี MTR Tsim Sha Tsui ตรงข้ามกับ Watson แล้วลากกระเป๋าไปทางท่าเรือ Star Ferry เพราะเราจองห้องพักไว้ที่ Sunny Guesthouse ชั้น 6 ในตึก Mirador Mansion วางแผนกันไว้ว่าพอเช็คอินเข้าที่พักเสร็จก็จะไปท่าเรือ Star Ferry เพื่อจองนั่งเรือสำเภาจีนโบราณในวันพฤหัสที่ 18 กันเลย แต่ปรากฎว่าพอลากกระเป๋าขึ้นไปถึงชั้น 6 เราก็ต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน เจ้าหน้าที่ของ Sunny Guesthouse บอกว่าห้องเต็ม เราแจ้งเค้าไปว่าได้จองห้องพักล่วงหน้าเป็นเดือนๆ ไว้กับคุณภุชงค์ คนไทยที่เป็นเจ้าของที่นี่ แต่เค้าบอกว่าไม่รู้จักคนชื่อนี้ เราแจ้งเค้าไปอีกว่าคุณภุชงค์บอกว่าให้เราติดต่อคนชื่อ Tommy เป็นคนดูแลที่นี่ เค้าบอกเค้าเป็นคนดูแลที่นี่แต่ไม่ได้ชื่อ Tommy เค้าเดินเข้าเดินออกไม่สนใจเรา มี่พยายามกดโทรศัพท์หาคนที่ชื่อ Tommy ที่ได้เบอร์มาจากคุณภุชงค์ แต่ก็ไม่มีใครรับสาย



มี่กับเพื่อนเริ่มอึ้ง โกรธและตกใจ มี่โทรกลับมาหาคุณภุชงค์ที่เมืองไทย เค้าบอกว่าไม่น่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ได้ และบอกให้มี่ใจเย็นๆ เดี๋ยวเค้าจะติดต่อ Tommy เอง ขอให้มี่กับเพื่อนรออยู่ที่นั่นก่อน เรารออยู่ซักพักก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ เราจึงฝากกระเป๋าไว้ที่นั่นแล้วขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น 12 ซึ่งเป็นที่ที่เราเคยพักในปีก่อน ภาวนาในใจขอให้มีห้องว่าง โชคยังดีที่มีห้องว่างอยู่ 3 ห้อง แต่เป็นห้องใหญ่ซึ่งราคาก็สูงตามไปด้วยคือคืนละ 280 เหรียญ ปรึกษากันดูแล้วไม่อยากเดินหาที่อื่น ก็เลยตัดสินใจจองพักที่นี่ โดยขอย้ายห้องเป็นห้องเล็กทันทีถ้ามีห้องว่าง ได้กุญแจแล้วเราก็ลงไปลากกระเป๋าจากชั้น 6 มายังชั้น 12 กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เวลาก็ล่วงไปทุ่มกว่าๆ แล้ว ฝนก็ตก เราจึงไม่ได้เดินไปท่าเรือเพราะคิดว่าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวน่าจะปิดแล้ว ก็เลยเดินอยู่รอบๆ ที่พัก

ห้องพักที่เราได้ มี 2 เตียงกับหมอน 4 ใบ คาดว่าน่าจะเป็นห้องสำหรับ 4 คน แต่ถ้าตัวใหญ่คงนอนลำบากเหมือนกัน



มีโทรศัพท์ ตู้เหมือนตู้กับข้าว 1 ใบ มีทีวีด้วย แต่มีแค่ 3 ช่อง ไม่เป็นไร แทบไม่ค่อยได้ดูอยู่แล้ว



ห้องน้ำเล็กมาก เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับ Hostel ค่ะ อันนี้ต้องทำใจ



เดินข้ามถนนมาฝั่ง Watson เดินตรงเข้าไปถนน Haiphong จะเจอกับร้านขายน้ำผลไม้ร้านนี้ เรียกชื่อไม่ถูก มี่ลองซื้อน้ำที่เค้าเรียกกันว่า Coconut Milk (มั้ง) มาชิมดู อืม..เหมือนเอามะพร้าวที่จะใช้คั้นกะทิไปปั่นๆ อ่ะค่ะ รสชาดนมๆ กะทิๆ แปลกๆ ดี



เดินกันไปที่ถนน Peking ลัดเลาะไปถนน Hankow เลี้ยวไปถนน Ashley เดินไปเดินมาเจอร้านอาหารที่เคยทานกัน ชื่อร้าน Hing Fat เอาล่ะคืนนี้ขอฝากท้องที่นี่แล้วกัน ว่าแล้วก็เข้าไปนั่งในร้าน พนักงานเดินมาถามประมาณว่าจะทานอะไร เราสองคนมองหน้ากันงงๆ แย่แล้ว คราวก่อนที่มามีเพื่อนคนหนึ่งพูดกวางตุ้งได้ การสั่งอาหารจึงไม่ลำบาก ส่วนมี่เองพูดจีนกลางได้นิดหน่อย แต่อ่านไม่ค่อยออกเนี่ยสิ ลำบากอยู่ คำศัพท์ต่างๆ ที่ท่องๆ มาหายไปไหนหมดไม่รู้ ได้แต่มองหน้าเค้าแล้วก็พยายามจะบอกว่า Wanton Soup เค้าก็งง มี่ก็เอ๊ะ เราออกเสียงผิดหรือเปล่าหว่า หันมาหาเพื่อนบอกว่าแย่แล้วล่ะ สงสัยมี่ออกเสียงไม่ถูก เค้าพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็หายไป เราก็อ้าว จะไปไหนล่ะนั่น ช้านยังไม่ได้สั่งเลย จะได้กินไม๊เนี่ย เค้ากลับมาอีกทีพร้อมพนักงานอีกคน คราวนี้มี่กับเพื่อนแทบจะกรี๊ดลั่นร้าน เพราะพี่คนที่มาใหม่เค้าถามว่า “จะกินอะไรกันคะ” รอดแล้วเรา ก็เลยได้สั่งข้าวหน้าเป็ดพร้อมกับเกี๊ยวกุ้งไป พี่เค้าบอกเราว่าทำงานอยู่ที่ฮ่องกงมา 8 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ร้านนี้ไม่นานเท่าไร



ร้านนี้จะมี 2 ฝั่งค่ะ มี่เข้าทางฝั่งขวาค่ะ



หน้าตาข้าวหน้าเป็ดจานแรกที่เราได้ลิ้มรสค่ะ



ตามมาด้วยเกี๊ยวกุ้งค่ะ



มื้อนี้จ่ายไป 45 เหรียญค่ะ พออิ่มหนำสำราญใจ ก็เริ่มมีเรี่ยวแรงออกเดิน เราเดินเล่นกันอยู่แถวๆ นั้น ได้เสื้อผ้า Bossini มานิดหน่อย เพราะแบบสวยๆ ไม่ค่อยมีแล้ว แถมไซส์ที่มี่จะใส่ได้ก็แทบจะไม่เหลือ ได้เสื้อ Jacket สีฟ้าของ Esprit มา 1 ตัว มีไซส์ XS พอดี เดินกันต่ออีกซักพักก็ลงความเห็นว่ากลับดีกว่า ฝนก็ตกไม่หยุดซักที ก่อนกลับแวะ 7-Eleven แถวๆ ที่พัก ได้น้ำผลไม้ Hello Kitty มา 2 ขวด ขวดละ 7.9 เหรียญ (มี่เป็นสาวก Hello Kitty เค้าน่ะค่ะ)

วันนี้เวลาหมดค่ะ ยังไม่ทันได้ทำอะไรซักเท่าไหร่เลย พรุ่งนี้มีโปรแกรมไปเสินเจิ้นค่ะ




Create Date : 22 สิงหาคม 2548
Last Update : 13 กรกฎาคม 2549 23:41:31 น. 1 comments
Counter : 2142 Pageviews.

 
ถามคุณมี่หน่อยค่ะ ตึก mirador mantion อยู่แถวไหนค่ะ ถ้าลง A21 มาแล้วต้องเดินทางไหนต่อ พอดีวางแผนจะไปฮ่องกงเดือนตุลาค่ะ พักที่ตึกนี้ Kowloon new hostel
e-mail : loma25171@hotmail.com


โดย: เจี๊ยบ IP: 203.157.14.247 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:56:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

luvammie
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ช่างฝัน ฝันเพ้อเจ้อไปเรื่อย ไม่รู้จักโต ชอบอ่านหนังสือจินตนิยาย เอาแต่ใจตัวเอง คลั่งไคล้สีชมพู สีม่วง สีฟ้า และเฮลโลคิตตี้เป็นที่สุด ชอบฟังเพลงร็อค พังค์ โดดๆ ในคอนเสิร์ต รักการทำขนมและเดินทางท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้ได้โลโก้และชื่อแบรนด์เป็นของตัวเองแล้ว อิอิ "The Baker Witch" แม่มดคนนี้ทำขนมไม่เก่ง แต่รักที่จะทำ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนาคะ


Friends' blogs
[Add luvammie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.