Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
20 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
นี่แหละคนญี่ปุ่น

ในที่สุดก็กลับมาบินอีกครั้งหลังจาก หยุดไปเพราะกระดูกนิ้วเก้าเท้าขวาหักไปสองเดือนเต็ม กลับมาคราวนี้ แบบงง งง ไม่ได้บินนาน แถมservice ก็เปลี่ยน แต่ไม่ได้เปลี่ยนให้ดีขึ้นนะ 555 ลด cost กันอย่างมากมาย บริษัททำทุกวิถีทางเพื่อประหยัด สงสัยมาตราการสุดท้าย คงจะเป็นบินฟรี ไม่มี ค่าแรงรึเปล่าก็ไม่รู้ 555


หยุดไปแค่สองเดือน โอ้แม่เจ้า ทำไมชั้นต้องไปสอบอะไรอีกมากมาย อีก ตั้ง 3 อย่าง เซง สอบไปก็ไม่ได้ทำเอาชั้นฉลาดขึ้นได้หรอกเหอๆๆ บริษัทญี่ปุ่นก็แบบนี้ สอบไป เทรนไป ย้ำคิดย้ำทำอยู่นั้นแหละ ซึ่งไม่เหมาะกับนิสัยพี่ไทยอย่างเราเลย เพราะเราเล่น ขี้เกียจ แสนสบาย คือ ไทยแท้ 555


วันนี้ไปเจอเรื่องเกี่ยวกับคนญี่ปุ่นเลยเอามาฝากซึ่งจะบอกว่าใครคิดจะทำงานกับคนชาตินี้รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย เพราะมันคือความจริง 555


ข้อแรก ...
อย่าเดินแตกแถว หรือแซงคิวเป็นอันขาด ไม่ว่าจะซื้อของ บะหมี่ แม้แต่อะไรก็ช่างที่คนกำลังรอคิวกันอยู่ รวมถึงสวนสนุก เพราะ....
คุณจะโดนเหยียดหยามด้วยสายตา เจือความอาฆาตอยู่ คนญี่ปุ่นไม่ชอบพูด แต่จะให้รู้สำนึกเองว่า ที่มรึงทำอยู่นี่ "ผิดแล้วโว้ยย" โดยการสอดสายตา มองด้วยหางตา และหากคุณเป็นคนต่างชาติ ความผิดที่มีอยู่ในชีวิต ก็จะเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ แต่ไม่ต้องคิดมากครับ ...ในสมองคนญี่ปุ่น (ไข่ในหิน) ถ้าฟังไม่ออก จะจินตนาการไว้ก่อนว่า คนต่างชาติพวกนี้ ไม่จีน ก็เกาหลี รอดตัวไปครับ ถ้าเราไม่ได้เกิดมาหัวแดง ตาสีฟ้าอ่ะนะ อันนี้คนญี่ปุ่นแถวๆ นี้เค้าเทิดทูนกันครับ ฮา ฮา ถ้าใครได้มีโอกาสมาเหยียบเกาะไข่ในหินนี้ ก็อย่าลืมกฎข้อนี้ครับ สำคัญๆ

ข้อสอง ....
พูดขอโทษให้อยู่ในกมลสันดานของคุณให้ได้ แล้วชีวิตคุณจะมีความสุขถึงแม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกผิด หรือสำนึกได้ก็ตามที คำขอโทษเหมือนคำทักทายครับ นิดๆ หน่อยๆ ก็ขอโทษมันไม่ได้มาจากใจครับ มันมาจากปาก ฉะนั้นอย่าคิดว่า "ซุมิมาเซ็น" (ขอโทษ) และ "โกะเมงนะไซ" (ขอโทษ) จะมาจากใจนะ ถ้าให้แน่ ต้อง "โมชิวะเกะโกะไซมาเซ็น" (กราบขอประทานโทษ) สิ กร้ากกกกกกก จะขอโทษแบบไหน ความจริงแล้วไม่เกี่ยวหรอก
แค่จะบอกว่า บางทีที่เราได้ยินบ่อยๆ นั่น มันอาจจะเป็นแค่คำพูดติดปากคิดว่า วันๆ นึง คนญี่ปุ่นพูดคำขอโทษเกินสิบครั้งแน่ (กรณีที่ออกไปพบปะผู้คน ไม่ใช่เก็บตัวอยู่กับบ้านอ่ะนะ) ฉะนั้นเรียนรู้ที่จะพูดขอโทษ คุณก็จะอยู่ในสังคมญี่ปุ่นสุขขึ้น อีกเยอะ ...นะจะบอกให้

ข้อสาม ...
"โอะทสึคะเรซัง" ซามะ อะไรก็ว่าไป ...แปลเป็นไทยง่ายๆ ที่ภาษาไทยไม่ใช้กัน "ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อย" หลังจากทำกิจกรรมอะไรก็ตามเสร็จสิ้น
คนญี่ปุ่นของแท้ต้อง "โอะทสึคะเรซัง" แม้กระทั่งกรณีหลังถ่ายหนังโป๊ เสร็จก็ยัง "โอะทสึคะเรซัง" ทำให้คิดเลยเถิดไปว่า หลังจากทำการบ้านเสร็จแล้วคนญี่ปุ่นแท้ๆ เนี่ย เค้า "โอะทสึคะเรซัง" กันมั้ยครับ ฮา ฮา
นั่นไม่สำคัญเท่าไหร่ การพูด "โอะทสึคะเรซัง" หรือคำขอบคุณเหล่านี้ ถือเป็นการระลึกถึงความเหน็ดเหนื่อย การหยิบยื่นสิ่งดีดีให้กันด้วยคำพูด
หาใช่การกระทำไม่ ! เราจะได้ยินคำนี้บ่อยมาก ถ้ามีโอกาสแทรกตัวเข้าสู่สังคมญี่ปุ่นจริงๆ คุณๆ ทั้งหลายที่ปรารถนาจะมีความสุขในสังคมนี้
ต้องพึงจดจำคำเหล่านี้ และรู้จักใช้มัน ชีวิตคุณก็จะเป็นสุขขึ้น

ข้อสี่ ....
"โออิชี้" อร๊อย อร่อย คำนี้แสดงถึงอะไรหลายอย่างในวัฒนธรรมการพูด การชอบพูดมาก เว่อร์ เกินความจริงเป็นที่สุด หรือให้สั้นๆ กระทัดรัดได้ใจความแบบไทย ใช้ว่า "ตอ.แ.ห.ล" คงไม่ผิดนัก คนญี่ปุ่นจะสามารถรับรู้รสอร่อยได้ แม้กระทั่งยังไม่เคี้ยว ! แค่เอาตะเกียบเข้าปาก ก็อร่อยแล้ว
โออิชี้ โออิชี้ หรือแม้กระทั่ง อุมั่ย ซึ่งเป็นญาติกับ โออิชี้ เราก็จะได้ยินอยู่บ่อยๆ ถ้ามีโอกาสได้สัมผัสลึกล้ำลงไปมากกว่านั้น ทีวีทุกช่องที่มีรายการเกี่ยวกับอาหาร พาไปชิม แหลก จะมีคำนี้ชูโรงเสมอ โออิชี้ โออิชี้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้อร่อยเว่อร์ขนาดนั้น ! ผมเคยดูทีวีรายการนึง ในรายการนั้นแนะนำร้านนึงในเขตที่ผมอยู่ด้วยความอยากรู้ อยากเห็น หรือจะเรียกสอดรู้ สอดเห็นก็ได้ ก็ไปชิม มันอร่อยจริงไหม โออิชี้ จริงหรือเปล่า?
สั่งเมนูที่ไปออกทีวีวันนั้นมากินทันที ได้ผลสรุปเป็นเอกฉันท์ว่า "มรึงตอ.แห.ล" นี่หว่า
จะว่าไงดีครับ นอกจากจะไม่ได้อร่อยมากขนาดนั้นแล้ว ยัง "เค็มสาาดดดดดดดดด" กันเลยทีเดียว แบบนี้เข้าทำนองคุณหลอกดาวได้ไหมครับ ฮา ฮา แบบนี้ใช้ "มาสซุ่ย" (ไม่อร่อย) แทนจะไหวมั้ยน้อง นั่นแหละครับ ถ้าอยากไม่อยากเป็นทุกข์ และสุขกับชีวิตเล็กๆ บนเกาะนี้ต้องเรียนรู้ที่จะ โออิชี้ กับอะไรง่ายๆ แล้วถ้าเลเวลความตอ..แห.ล ของคุณมากขึ้น ชีวิตคุณก็จะสุขเป็นล้นพ้นครับ ฮา ฮา

ข้อห้า...
"ไฮ่" ชีวิตนี้คุณควรไฮ่ มากกว่ารับ จะอะไรก็ตาม เวลาสนทนากับคนญี่ปุ่น คุณควรจะสวนกระแส แทรกตอบเป็นระยะไป ไฮ่ เอ่ ไฮ่ อะโน... โซเดสก๊ะ บลาๆ ถึงแม้จะผิดกับขนบธรรมเนียมประเพณีไทยอันดีงามก็เถอะ เมื่อรักจะมาอยู่บนเกาะ(ร้าง)แห่งนี้แล้ว ถ้าเป็นหญิงไทยใจงาม เรียนรู้ขนบจบจากในวัง คุณควรเปลี่ยนตัวเสียใหม่ครับ การพูดแทรก ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับชาวยุ่นปี่ เพื่อสื่อให้คู่สนทนารู้ว่า คุณยังฟังอยู่ และยังคงสนใจในสิ่งที่เค้าพูด หาได้ปล่อยปละละเลยละทิ้ง ให้พล่ามอยู่ฝ่ายเดียว อารมณ์มรึงพล่าม กรูก็ต้องพล่ามด้วยเป็นระยะไป
ฉะนั้น คุณควร "ไฮ่" มากกว่าเงียบเฉย ละทิ้งความรู้สึกของคู่สนทนาไป ยิ่งคุณแทรกสอดไฮ่ เข้าไปมากเท่าไหร่ คู่สนทนาชาวยุ่นของคุณก็มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น เท่ากับว่า คุณกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องที่สนทนากันอยู่มากขึ้นเท่านั้น เรียนรู้ที่จะไฮ่ แล้วชีวิตก็จะสุขขึ้น และยิ่งๆ ขึ้นไปครับ
จบแล้วง่ะ ไว้ว่างๆ จะมาเขียนฮาวทูให้อ่านกันต่อไป โอะทสึคะเรซามะเดส

ข้อหก ...
รู้หรือไม่ เวลาขึ้นบันไดเลื่อนคุณควรชิดขอบ อย่ากร่างเป็นจิ๊กโก๋ปากซอยนี่ทางกรู อาจจะโดนกระทืบได้ครับ ที่เมืองยุ่น ขึ้นบันไดเลื่อนต้องชิดซ้าย หรือขวาด้วยนะอันนี้ตามภูมิภาค จำไม่ได้แน่ชัดว่า คันโตชิดขวา คันไซชิดซ้าย หรือคันไซชิดขวา คันโตชิดซ้าย (เขตคันโต แถวๆ โตเกียว กับแถบคันไซ แถบโอซาก้า) อย่ากระนั้นเลย ไม่ต้องไปจำหรอก ตามกระแสฝูงพี่ยุ่นไปเป็นพอครับ เวลาขึ้นบันไดเลื่อนจะชิด และเหลือทางไว้ให้คนอื่นไปก่อนทางที่เหลือเค้าเรียกว่าทางกรูด่วน คือ กรูด่วน กรูขอไปก่อน สำหรับใครต้องการใช้ชีวิตอย่างเชื่องช้า ลากตีนเดิน กรุณาชิดด้วยครับ
อารมณ์คล้ายๆ กับ "ชิดในเพ่ ชิดใน" ถ้าไม่ไว อย่าล้ำเส้นครับ ฮา ฮา ไม่หลีกจะโดนกดดัน หรือโดนตะโกนด่า จามะ จามะ (เกะกะ) นะจะบอกให้ ... พี่ยุ่นเค้าอารมณ์รุนแรงงง ขอโบกกกกกก

ข้อเจ็ด...
"เป็นเมียพี่ ต้องอดทน" หลายคนอาจจะสงสัย ทำไมเป็นเมียพี่ต้องอดทน ท่านแม่บ้านหลายท่านอาจจะกำลังประสบปัญหา ผัวบ้างาน กลับบ้านดึกดื่น ไม่ทำการบ้าน และ สารพัดปัญหา บลาๆ ไป นั่นแหละ พี่ๆ ซารารีมัง (มนุษย์เงินเดือน) แถวๆ นี้ เค้าออกบ้านตั้งแต่ตีสี่ตีห้า กลับบ้านห้าทุ่มเที่ยงคืน หนักกว่านั้น ทำงานล่วงเวลาจนถึงเช้า โดยไม่ได้เงินเพิ่มสักเยน มันเป็นความสำนึกรัก รับผิดชอบต่องาน (ที่มากเกินไป) รักจะเป็นแม่บ้านพี่ยุ่น ต้องทำใจ ผัวจะบ้างานหนัก เห็นงานดีกว่าเมีย บางคนหอบงานมาทำที่บ้านด้วย โห..ทุ่มเทสุดๆ อยู่กันสองสามปีแรกอาจสุขสม อยู่นานเข้าอาจคิดหนัก กรูมาแต่งกับมันทำไม อย่ากระนั้นเลย วันนี้ทีวีไดเรคขอเสนอ เวลาว่าง ยามผัวไม่อยู่ เราควรจะเอาเวลาไปเผาผลาญโดยการฝึกทำกับข้าว เข้าคอร์สถ่ายรูป ...หรือลองไปซื้อเกมส์พี่วีมาเล่น เล่นโยคะเพื่อสุขภาพ คุยกับเพื่อนบ้านหน้าปากซอย ตั้งสมาคมแม่บ้าน รู้หรือไม่ เดี๋ยวนี้พี่วีต่ออินเตอร์เนตได้แล้วด้วยสะดวกหนัก เราควรจะหาโปรแกรมไปเที่ยว พักผ่อนสมอง ซื้อทัวร์ไปเที่ยวรอบโลก โดยให้ผัวก้มหน้าทำงานของมันไป
ในเมื่อมรึงไม่สนกรู กรูก็ไม่สนมรึง ฮา ฮา แต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้จึงต้องทำให้แม่บ้านหลายท่านต้องจำทนรับกรรมที่ไม่ได้ก่อต่อไป

ข้อแปด...
อย่าบ้าเห่อ... ร้านที่คนต่อแถวยาว เป็นแปดกิโล อาจจะไม่อร่อยแค่มีหน้าม้ามาต่อแถวสามสี่คน พี่ยุ่นก็บ้าต่อกันเป็นวรรคเป็นเว.รแล้วครับ
จากผลสำรวจขอมหาวิทยาลังคิงเมเทส พบว่า ...(อยู่ส่วนไหนของโลกฟระ) เมื่อมีคนเข้าไปต่อแถวรออะไรสักอย่าง อย่างตื่นตาตื่นใจ
พี่ยุ่นจะให้ความสนใจ และเข้าไปไถ่ถามและต่อแถวในที่สุด สมมติว่าร้านนั้นคือร้านไอติม และพี่ยุ่นที่เดินผ่านมานั่น ก็เพิ่งจะแดรกไอติมมาสดๆ
แต่เมื่อเห็นคนยืนต่ออย่างรอคอย พี่ยุ่นจะให้ความสนใจ ไถ่ถาม และบ้าเห่อต่อแถวไป จนได้กินไอติมร้านนั้น ถึงจะไม่อร่อย แต่พี่ยุ่นจะกัดฟันพูดอย่างหน้าชื่นตาบานว่า "โออิชี้ เน้" พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากๆ ฮา ฮา คุณหลอกดาว (มุขเก่าโค.ตรร ใครเกิดไม่ทันยุคนี้อาจไม่เก็ทนะครับ) ฮา ฮา

ข้อเก้า... ชีวิตเราควรเต็มไปด้วยความสุดยอด อันนี้อารมณ์คล้ายกับโออิชี้ครับ ทุกอย่างในชีวิตพี่ยุ่น สุโก่ยยย (สุดยอด) เสมอ สงสัยต่อมรับรสรู้สึกพี่แกจะไวจริงๆ แม้กระทั่งเห็นต้นกล้วย พี่แกยังสุโก่ยยต่อเนื่องกันอยู่สามสี่วันติด หรือเวลาที่เราไปสวนสัตว์ ตะวัดตี.นปั่นจักรยานน้ำขณะนั้นมีปลาตัวลีบๆ เล็กๆ กระโดดขึ้นมาจากน้ำ พี่ยุ่นอาจจะอ้าปากค้างง และพร้อมกับบอกว่า "สุโก่ยยยยยยยยยยยยย" กันไป แล้วคนไทยอย่างเราสองสามคนแถวนั้น
อาจหันหน้าเข้าหากันเหมือนเบียร์ช้างแล้วถามพร้อมกันว่า "มันสุโก่ยยตรงไหน?" เพื่อนคนนึงนึกขึ้นได้ ให้ความกระจ่างกับเพื่อนในวง
"มันสุโก่ยยตรงที่ พี่แกมีความสุดยอดกับอะไรได้ง่ายๆ ไง๊" ตึ่ง เราควรจะรีบถึงจุดสุดยอด แล้วจะมีความสุขสินะ เอ๊ะ ไม่เกี่ยวเฟร้ยยยยย

ข้อสิบ.... ในรถไฟ เค้าไม่คุยโทรศัพท์นะ เพื่อนๆ หลายคนอาจจะชินกับชีวิตอันล้ำสมัยไฮเทคทุกคนมีมือถือ บางคนก็มีถือมือ เอ๊ะ ยังไง? นั่นแหละครับ
การรถไฟแห่งประเทศยุ่น แนะนำให้ท่านงดใช้โทรศัพท์ในรถไฟฉะนั้นมนุษย์ต่างดาวอย่างเราก็ควรจะทำตามไม่ใช่เสร่อแป๊ะ คุยโทรศัพท์เป็นวรรคเป็นเวร เพราะอาจจะเจอสายตาพิฆาตเหมือนเมื่อคราวลัดคิวได้ครับ ที่งดใช้ ก็เพราะว่าสัญญาณจากคลื่นโทรศัพท์เนี่ย อาจจะรบกวนโสตประสาทของใครบางคน ไม่ใช่ละ คือว่าอาจจะมีผลรบกวนต่อผู้ที่ใช้เครื่องมือทางการแพทย์นั่นเองครับ ... จึงเป็นมารยาททางสังคมอย่างนึงที่ควรทำ
ทำให้พี่ยุ่นไม่คุยกัน แต่ส่งเมลล์คุยกันแทน (แล้วมันต่างกันตรงไหนฟระ?) ถ้าเราไม่อยากเสร่อ ควรทำตาม รักษากฎยิ่งชีพแล้วชีวิตของท่านก็จะสุขอย่างบอกไม่ถูก ที่บอกไม่ถูกก็เพราะว่า ไม่รู้ว่ามันจะสุขยังไงนั่นเอ๊งงง ฮา ฮา

ข้อสิบเอ็ด....
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน จากผลสำรวจของสถาบันอุเอะโนะโดบุสสึโคเอ็งพบว่า ...(ได้ข่าวว่ามันเป็นสวนสัตว์นี่หว่า) ร้อยละแปดสิบของประชากรยุ่น ล้วนเก่งด้านตอ.แหลลงตับ ไม่ว่าจะเป็น สุ่โก่ยยย โออิชี้ คาวาอี้... หน้าบี้ ก็ตามที สถาบันยังพบอีกว่า เราควรจะตื่นเต้น ตอแหล และตะลึงพรึงเพริดกับอะไรให้ง่ายเข้าไว้ แล้วชีวิตเราจะสามารถซึมซับความสุขได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างที่พึงกระทำ .. ไม่ควรสุงสิง สนทนา ยิ้มร่าให้คนแปลกหน้า หรือหน้าแปลกมิเช่นนั้นคุณอาจจะเข้าข่ายโดนโบ้ยใบ้หาว่าบ้า นอกจากนี้เวลาขึ้นรถไฟในชั่วโมงเร่งด่วนเป็นธรรมดาที่มันต้องมีกระทบกระทั่งเหยียบนิ้วตีนกันขึ้นมาบ้าง กรุณาอย่าโกรธ ตีหน้าซื่อ สงบใจไว้ เพราะคนที่เหยียบตีนคุณมะกี้ จะส่งภาษามาถาม "ไดโจบุเดสก๊ะ"
(มันแปลว่ามรึงเป็นอะไรมั้ย) แต่จริงๆ แล้วพี่แกไม่ได้อยากรู้หรอกว่ามรึงจะเป็นอะไรมั้ย แค่ถามตามมารยาท บางทีเรานอนตายอยู่ พี่แกอาจจะไม่ยื่นมือมาช่วยเลยก็มี ฉะนั้น เราไม่ควรที่จะตอบว่า"กรูเจ็บตีนจะตายอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาถามกรูอีก" ควรจะเสแสร้ง และยิ้มหน้าเจื่อนๆ ตอบกลับไปว่า "ไฮ่ ไดโจบุ" (กัดฟันแล้วพูดไป กรูไม่เป็นไร) แม้ตอนนั้นเลือดจะเต็มตีน เพราะโดนส้นรองเท้ายัยเจ๊มะกี้จิกอยู่ก็ตามที แต่ถึงจะตอบไปว่ากรูใกล้จะตายแล้ว พี่ยุ่นก็จะไม่ช่วยและแตะต้องตัวคุณเด็ดขาด เราควรตอแห.ล เยียวยาตัวเอง ด้วยตัวเองดั่งที่ภาษิตไทยว่าไว้ "ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน"

ข้อสิบสอง...
วันใดวันนึงฉันจะถูกลวนลาม (แน่) อย่างที่รู้กัน เมืองใหญ่อย่างโตเกียว โอซาก้า มักจะมีการลวนลามเกิดขึ้นเสมอ ในรถไฟ ญ สาวร่างบอบบาง ถูกทาบร่างไว้โดยชายฉกรรจ์ซารารีมังสี่ห้าคน คิดดูสิ มันจะขนาดไหน รถไฟที่แน่นขนัด แทบร่างจนจะเป็นผัวเมียกันคารถไฟแล้ว วันดีคืนร้าย ขณะที่เรายืนห้อยโหนโจนทะยานอยู่บนรถไฟ อาจจะมีมือแปลกๆ สอดเข้ามาใต้กระโปรง ถ้าเจอแบบนั้นบนรถไฟ เราควรทำยังไงดี? ผมแนะนำว่า ควรสงบจิตใจสักแป๊บ ให้ลุงแกลูบไปสักทีสองทีจากนั้นเอามือที่เราเกาะเกี่ยวห่วงอยู่นั้นตะปบไปที่มือนั่น จากนั้นตะโกนกรีดร้อง อย่างบ้าคลั่ง
(อย่าอายเพราะเรากำลังโดนลวนลามอยู่) คุณควรกรีดร้องให้สุดเสียง พร้อมกับตะโกนว่า "เฮนไตๆ " (ไอ้โรคจิต,ลามก,บ้ากาม) อย่าไปด่าว่า ไอ่เหี่ย นะครับ เพราะพี่แกคงฟังเราไม่อ๊อก หรือด่าว่าไอ่หน้าวอกนี่ก็ตกไป เพื่อให้พี่แกเข้าใจเราได้อย่างลึกซึ้ง ควรด่าด้วยภาษาญี่ปุ่นครับ หลังจากนั้นทุกสายตาจะสอดส่องมองมาที่เราควรใช้โอกาสที่ดีอันนี้ เพื่อความสมบทบาทตีบทแตก ดั่งนางเอกละครไทย ร้องไห้เป็นวรรค เป็นเวร ร้องขอความช่วยเหลือ (ไม่ควรอาย เพราะความอายทำให้ชีวิตเราแย่ลง) เมื่อมันลวนลามเรา เราไม่ควรยอม และอย่าให้ลุงแกได้เกิดเป็นครั้งที่สองครับ ให้โดนคุมขังไปสงบจิตใจในคุกสักพัก เผื่อลุงแกจะสำนึกได้ว่า "สิ่งที่มรึงทำไปมันผิดโว้ยย" ฮา ฮา

ข้อสิบสาม... ไอ แคน นอท สปีค อิงลิช หลายท่านอาจจะเคยประสบปัญหาย่ำแย่กับภาษาอังกฤษเรียนไม่รู้เรื่อง พูดไม่ได้ เวลาที่เราอาศัยอยู่ที่บ้านเกิด อย่ากระนั้นเลย เมื่อใดที่ท่านได้เอาตีนเหยียบลงบนเกาะท่านจะพบว่าระดับภาษาอังกฤษของเราที่ต่ำต้อยได้ถูกยกให้สูงขึ้น กรูว่ากรูแย่แล้ว ยังมีคนแย่กว่า
นี่อาจจะเป็นข้อดีข้อนึง ที่เราไม่ได้เกิดมาบนเกาะนี้ อย่าคิดว่าทุกคนบนเกาะแคนสปีค อิงลิช ถึงแม้ว่าปัจจุบัน จะมีคนพูดได้มากกว่าเมื่อก่อนก็ตามที เราก็ไม่ควรหวังน้ำบ่อหน้าว่าจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้เสมอ อย่ากระนั้นเลย ก่อนมาเราควรฝึกภาษามาสักสองสามภาษาอย่างแรกคงหนีไม่พ้นภาษาญี่ปุ่น เอาง่ายๆ กิน ขี้ ปี้ เยี่ยวได้ก็พอแล้วครับ หลังจากนั้น ไปฝึกหัดการสื่อสารโดยภาษามือ หนักกว่านั้นลองหัดภาษากายมาด้วยได้จะยิ่งดี ฮา ฮา หรือไปลงเรียนคอร์สการแสดงละครใบ้ด้วย อาจจะสื่อสารได้มากขึ้นครับ อันนั้นพูดเล่นๆ ไม่ได้จริงจังแต่อย่างใด แค่จะบอกว่า บางทีการที่พูดภาษาอะไรไม่ได้เลย ก็มาที่นี่ได้ครับ อย่าวิตกจริตมาก แต่ให้เตรียมใจให้มากไว้เป็นพอ เมื่อใดก็ตามที่ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อมาเกาะ "ชีวิตนี้ไม่ได้เป็นของกรูอีกต่อไปแล้ว" เพราะเราจะมาเจอมนุษย์ที่พูดแต่ภาษาญี่ปุ่น คันจิยึกยือเต็มไปหมด เจอคนหัวแดง หัวสี แต่มันพูดกับเราไม่ได้ อารมณ์ประมาณ "ลอสต์ อิน ทราน สเลชั่น" เป็นเรื่องปกติครับ ทุกอย่างมีทางออก ใจเย็น แล้วทุกอย่างจะดีเอง ถ้าเราสับสนในตัวเองจริงๆ ให้เดินเข้าไปหาพี่ยุ่นสักคน แล้วลองถามเป็นภาษาอังกฤษไป "ฮู แอม ไอ" ท่านจะได้รับกับคำตอบอันน่าทึ่งเป็นที่สุด "โอ เก๊ะ" (โอเค) ตึ่ง มันเกิดความผิดพลาด เราถามอย่าง พี่แกตอบมาอย่าง)

ข้อสิบสี่...
มีร่มไว้ไม่เสียหาย หลายคนอาจจะรู้ แต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่า ห่าฝนประเทศนี้นี่มันมากมายขนาดไหนกัน ? ประเทศเกาะ ที่ฝนตกตลอดทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ผลิ ก็ฝนตก หน้าร้อน ก็ฝนตก ใบไม้ร่วง ก็ฝนตก และฤดูหนาวหิมะตกไม่พอ ฝนกับหิมะตกพร้อมกัน และที่สำคัญมากกว่านั้น ช่วงฤดูฝน (ทสึยุ) ฝนสามารถตกต่อเนื่องกันสามวันติดโดยไม่หยุด ด้วยเหตุผลทางด้านภูมิประเทศข้างต้น มีร่มพกไว้กับตัวจึงไม่ใช่เรื่องที่เสียหายนัก ถ้าอยากจะให้เก๋ไก๋ คุณควรเลือกซื้อร่มที่เสมือนหนึ่งใช้กันแดดได้กันฝนได้ กันหิมะได้ เอากันได้ทุกอย่าง ซื้อครั้งเดียว เที่ยวได้ทั่วญี่ปุ่น เค้าว่างั้น นอกจากซื้อที่ใช้ได้ทุกฤดูกาลแล้ว ควรซื้อที่มันดูท่าว่าจะแข็งแรงด้วยครับ ไม่ใช่ซื้อกิ๊กก็อก ร่มใส แอ๊บแบ้ว บางคนอาจจะคิดว่าแท้จริงแล้วพี่ยุ่นฮิตใช้ร่มใสๆ กัน ความจริงมันไม่ได้ฮิตมากมายหรอกครับแค่บนเกาะนี้มันขายแต่ร่มใสๆ เพื่อง่ายต่อการรีไซเคิลเท่านั้นเอง ทำเอาพี่ไทยจินตนาการตามไปว่า มันโรแมนติกยิ่งนัก เวลาฝนตก ไต้ฝุ่นเข้าแรงลมขนาดสามร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง วินาทีนั้นโรแมนติกไม่ออกครับ
ในใจมีแต่คิดว่า ทำยังไงกรูจะเอาตัวรอดจากภัยพายุนี้ไปได้ มีร่มไว้ อย่างน้อยกรูก็อุ่นใจได้ว่า ... กรูรอด แต่ถ้าจะตายเพราะก้านร่มแทงตาย
ก็ยังถือว่ากรูได้ตายในหน้าที่ไม่ได้ตายเพราะพายุ กรูได้ป้องกันตัวถึงที่สุดแล้วและนั่นมันคงเป็นการตายแบบสุดวิสัยจริงๆ ฮา ฮา

ข้อสิบห้า....
บางทีเราอาจจะผิดที่เกิดมาเป็นคนต่างชาติ(หัวดำ ตาสีดำ) นั่นแหละ บางทีเราอาจจะผิดตั้งแต่เกิดมาแล้วครับ พี่ยุ่น(บางคน)ที่หัวโบราณคร่ำครึ ไม่เคยออกจากเกาะ บางคน เน้นย้ำครับ บางคน เกลียดคนต่างชาติเข้าไส้ คือการที่กรูมาจากเอเชีย มีบรรพบุรุษขี่ช้างรบรากันในอดีตนี่ มันผิดมากไหม? แล้วกรูถามหน่อยเหอะ ญี่ปุ่นเนี่ย มันไม่เอเชียตรงไหน????? เชื่อหรือไม่ ? พี่ยุ่นบางคนมีความคิดว่าเกาะนี้หาใช่เอเชียไม่แต่เป็นสถานที่พิเศษคล้ายกับยุโรป ...กรูว่ามรึงตกภูมิศาสตร์กันชัวร์ ไปแหกตาดูแผนที่โลกสิ "บอกมันว่า มรึงเอเชียเหมือนกรูเว้ยยยยย" ห่านนน ติดเกาหลี ด้านล่างไต้หวัน ถัดไปเป็นจีน แล้วมรึงจะเป็นยุโรปได้ไง๊ ทั้งๆ ที่รอบด้านมรึงล้อมรอบไปด้วยชนชาติตาชั้นเดียว นั่นแหละ บ้าบอ คอหัก สิ้นดี เรื่องรังเกียจคนต่างชาตินี่ ผมเคยเจอมากับตัวมีครั้งนึงผมปั่นจักรยานไปกับเพื่อน และเราก็ติดไฟแดงกันพอดี คุยกันภาษาไทยเฮฮา เอ้า มีไรมั้ย กรูคนไทย
ไม่นานนัก ไอ้กระผมกับเพื่อนก็รู้สึกได้ถึงรังสีออโรร่าอมหิตเข้าให้ มีลุงๆ ป้าๆ สองสามคนแถวนั้น เมื่อหูกระดิกว่าพวกมรึงสองตัวไม่ใช่ยุ่นแน่ๆ เขาและเธอเหล่านั้น (ถ้าอยากให้อารมณ์แบบภาษาปะกิด ก็ ฮี ชี อิท กันไป) ใช้หางตามองมา พร้อมกันนั้นก็แผ่รังสีอมหิตตามมาจนทำให้กรูทั้งสองรู้สึกได้ว่า มรึงรังเกียจกรูมาก (ถ้าคิดไม่ออก ให้จินตนาการว่า ซุน โกคู กำลังจะกลายเป็นซุปเปอร์ไซย่านั่นแล) พร้อมกันนั้นก็ซุบซิบนินทากันไป แต่ขอโทษ กรูฟังออกเฟ้ยยย (แม่ม แทบจะลากแตะไปตบปากกันเลยทีเดียว) ไม่ทราบว่ากรูไปฆาตรกรรมพ่อมรึงตาย หรือข่มขืนลูกสาวมรึงตอนไหนฟระ การที่กรูเกิดมาเป็นคนต่างชาติ แล้วมาเรียนที่บ้านเมืองมรึงนี่ผิดมากไหม? แล้วไหงตอนกรูลงจากสนามบิน มรึงแปะป้ายหรา
"นิฮง เอะ โยโคสะ" (ยินดีต้อนรับสู่ประเทศญี่ปุ่น) ห่านลาก ... คราวหลังอย่าโยโคโสะกรู พลีสสสสสสสสสสสสสสสสสสส

ข้อสิบหก....
ควรข้ามถนนตรงทางม้าลาย ทางม้าลายแถวนี้ มีไว้ข้ามจริงๆ หาได้เขียนให้ถนนเป็นลายทางเหมือนบ้านเราไม่ฉะนั้น อย่าเสร่อ อยากข้ามตรงไหนก็ข้ามครับวัฒนธรรมนั้น ถูกงดใช้ชั่วคราวในประเทศพี่ยุ่น ที่ญี่ปุ่นมีแยกหลายแบบ หลายซับหลายซ้อนไฟแดงบางที่ปล่อยเขียวพร้อมกัน บางที่ปล่อยพร้อมกันแม่มสี่ด้าน บางที่ก็ปล่อยทีละด้าน มรึงจะทำให้มันเหมือนๆ กันไม่ได้หรือออ... นั่นแหละครับ เพื่อความปลอดภัย เหมือนภาษาญี่ปุ่นว่าไว้ "อันเซน ไดอิจิ" ความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง หรือปลอดภัยไว้ก่อน ถ้าจะกระแดะปะกิดก็ต้องว่าเซฟตี้เฟิร์ส บลาๆ ไป และถึงแม้ว่ารถจะไม่มา แต่มันไฟแดงอยู่ ก็อย่าเพิ่งข้ามครับทำตามกฎแล้วชีวิตคุณจะสดใส รอคอยจนกว่าจะถึงไฟเขียว แล้วค่อยข้ามชีวิตจะปลอดภัย
หรือถ้าท่านจะเสร่อแป๊ะ ข้ามตอนที่ไฟมันยังแดงอยู่ ข้ามไป รถชนตาย ใครจะรับผิดชอบครับ แถมดั๊นเกิดมายังมีตรามนุษย์ต่างด้าว แปะหราอยู่ที่หน้าผากด้วยเสียอีกแบบนี้เราจะมีแต่เสียกับเสียครับ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน(อันเล็กน้อย) ของเราแนะนำว่าข้ามถนนตรงทางม้าลายนะครับแล้วชีวิตในยุ่นปี่ของท่าน จะสวยงามสดใส ไฉไลต่อไป ...

ข้อสิบเจ็ด...
อย่าอยู่ญี่ปุ่นนานเกินหนึ่งปี (ข้อนี้ ซีเรียส และมืดดำทางความรู้สึกเป็นยิ่งนัก) หนึ่งปีแรกในญี่ปุ่นจะเป็นชีวิตที่สดใสไฉไล มีความสุขมากที่สุดในชีวิตของท่านทุกอย่างจะดูเป็นสีชมพู งดงาม สวยหรู เค้าเรียกว่าช่วงแฟนใหม่ กรูยังรักใคร่กันดีอยู่ หรือจะเรียกว่าช่วงข้าวใหม่ปลามัน ก็คงจะไม่ผิดนัก แม่ม อันนั้นก็โคตรดี อันนี้ก็โคตรเท่ห์ ทำไมบ้านกรูไม่มีแบบนี้บ้างฟระ แล้วห่านเมื่อไหร่ประเทศเราจะเจริญสามเดือนแรก กรูก่นด่าประเทศตัวเองอย่างเดียว หลังจากหกเดือนผ่านไป เราก็ยังคงร่าเริงยิ่งใครตั้งใจจะมาเรียนภาษาเนี่ย ต้องบอกว่าเวลาทองครับคุณจะรักประเทศเกาะนี้ม๊าก มาก
แทบอยากจะแหกตูด พี่ยุ่นมาดมกันเลยทีเดียว ฮา ฮา หลังจากหกเดือนผ่านไป เข้าสู่เดือนที่เจ็ด แปด เก้า และสิบก็ยังดีอยู่ ความสัมพันธ์ยังดีงาม
ถ้าเข้าสู่ปีที่สองเมื่อไหร่ ...คุณจะเริ่มสงสัย ใคร่ถาม สับสน วกวน ถ้าเป็นคู่แต่งงานกันก็อาจจะบอกได้ว่า กรูเริ่มสับสนว่ากรูมาแต่งกับมันทำไม
ก็คงเหมือนกับคู่แต่งงานที่มีกลิ่นตุๆ ถึงอะไรบางอย่างไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไรกันแน่ เลิกดี ไม่เลิกดี แต่ยังสู้ไหวน่ะ เข้าปีที่สามเมื่อไหร่ เกิดอารมณ์กรูอยากจะหย่าขาดกับมันไม่เอาแล้วเฟ้ยยย มันเหมือนกับว่ายิ่งเราอยู่ไกลพี่ยุ่นเท่าไหร่ เราก็จะรักเค้ามากขึ้น แต่เข้าใกล้มากขึ้น ก็จะรู้สึกได้ครับว่ามันไม่ใช่ สังคมแบบนี้กรูไม่ต้องการ กรูกดดัน ใครก็ได้ช่วยฉุดกรูออกไปที ถ้าจะให้เทียบเป็นร้อยละ ผมว่าค่าความกดดันในสังคมของประเทศนี้มากกว่าบ้านเราร้อยเท่านั่นอาจจะเป็นเหตุผลนึงว่า ทำไมคนแถวๆ นี้ถึงไม่สนใจใคร ฮา ฮา

ถึงจะยาวหน่อยแต่อ่านแล้วมันส์จริงๆ 555 ไว้เจอกันคราวหน้าจะหาเรื่องราวมันส์ๆ มาเมาสท์ให้ฟังอีกนะ ขอบคุณความเป็นห่วงที่ส่งมาด้วยนะค่ะ



Create Date : 20 กันยายน 2552
Last Update : 20 กันยายน 2552 16:12:35 น. 21 comments
Counter : 2465 Pageviews.

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าจากเกาะนะครับ บรรยายได้ถึงอารมณ์มากเลย อยากไปใช้ชีวิตอยู่นานๆมั่งจัง แต่คงไม่เกินหนึ่งปีใช่มะ
ยังไงช่วงนี้เริ่มหนาวแล้วก็รักษาสุขภาพด้วยครับ


โดย: Prune วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:16:37:42 น.  

 
ใช้เวลาอ่านหลายสิบนาที แต่คุ้มมักมาก ไม่รุ้นะว่าประเทศที่เจริญทางวัตถุจะเป็นแบบนี้ ก็เคยเข้าใจผิดมาตลอดว่า มันดีจริงๆเจเปน
ขอบคุณครับ


โดย: ซ่อนรอยยิ้ม วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:17:11:44 น.  

 
ผ่านมาอ่าน ..
บรรยายซะเห็นภาพมนุษย์ยุ่นเลย

อ่านแล้วคิดได้ว่า ไม่มีอะไรเฟอร์เฟ็กต์ มีด้านดีก็มีด้านมืดควบคู่กันไป
ไม่เว้นแม้กระทั่ง...ญี่ปุ่นในฝันของใครหลายๆคน อิอิ


โดย: [Z]enonar[II] วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:17:44:10 น.  

 
มาup blog ดีใจจังเลย ติดตามอ่านของblogหลิน ตลอดเลย
ญี่ปุ่น ...คงมีรูปสวยๆเยอะแน่ๆเลย


โดย: OIL IP: 125.25.147.19 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:17:47:07 น.  

 


สวัสดีคะ แวะมาทักทาย มีความสุขในวันหยุดนะคะ



โดย: หน่อยอิง วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:17:47:41 น.  

 
แอบฮา แต่จริง



โดย: กล้วยหอมรสนม วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:19:31:55 น.  

 
คันโตชิดซ้ายค่ะ เป็นคนโตเกียวมาก่อน จำได้แม่น คริคริ

คิดถึงญี่ปุ่นจังเลยยยย


โดย: Tukta21 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:22:49:21 น.  

 
ขอบคุณที่ได้มีโอกาสมาอ่านเรื่องดีๆ มีโอกาสได้ไปอยู่มา ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่พอได้มาอ่านหน้านี้ เออ... มันจริงทุกอย่างแฮะ ไม่มีที่ไหน สุขใจเท่าบ้านเรา (เมืองไทย) แล้วล่ะค่ะ ถึงแม้จะลุ่มๆดอนๆบ้างก็เถอะ


โดย: อาเมะอนน่ะ IP: 202.28.25.220 วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:17:56:39 น.  

 
ดีดีค่ะพี่ยินดีที่ได้รุจักค่ะ
พี่เล่าได้สนุกทุกตอนเลยค่ะ
นู๋อ่านมาหมดแล้ว 5555+
นู๋อยากเปนแอร์จังเลยค่า
แต่ไม่รุจาเปนได้หรือป่าวTT__TT
นู๋อยากได้เมลพี่จังค่ะ^^


โดย: นู๋อยากเปนแอร์ IP: 58.9.49.201 วันที่: 17 ตุลาคม 2552 เวลา:21:18:08 น.  

 
บล็อกพี่มีประโยชน์มากค่า~
พี่สวยจัง ^^


โดย: นู๋อยากเปนแอร์ IP: 58.9.49.201 วันที่: 17 ตุลาคม 2552 เวลา:21:19:45 น.  

 
dljf;sdfdf


โดย: garfield IP: 10.9.80.163, 58.97.32.112 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:10:06:13 น.  

 
คนเขียนนี่เข้าถึงมากๆ อ่ะ


โดย: KiSs MoRe วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:36:03 น.  

 
สวัสดีครับ เพลงเพราะจัง


โดย: chamotto IP: 114.128.242.23 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:22:29:46 น.  

 
หนุกมากคะพี่หลิน

คิดไม่ผิดเรยที่อ่าน เพราะง่วงมาก
ดันตื่นเรย สะง้านน

อยากกคุยกะพี่ จังอ่า
ตอนนี้คงงานยุ่งอ่าเนอะ

ยังไงก้อ สู้ๆนะค้า

เป้


โดย: pupa_e@hotmail.com IP: 158.108.238.134 วันที่: 29 ตุลาคม 2552 เวลา:2:44:40 น.  

 
พี่หลินมาอัพแล้ว ดีใจๆๆ รออ่านอยู่ตลอดเลย

ได้รู้เรื่องราวคนญี่ปุ่นเยอะเลย

ขอบคุณนะคะ


โดย: PanG IP: 125.27.34.180 วันที่: 31 ตุลาคม 2552 เวลา:12:13:14 น.  

 
เข้ามาอ่านแล้วฮามาก
แต่ก็จริงตามที่บอกทุกอย่างเลยนะเนี่ย ฮาๆๆๆ
ดีใจด้วยที่ขาหายแล้วนะคะ
ระวังรักษาสุขภาพด้วยค้า


โดย: Pinkneko วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:22:33:31 น.  

 
ยังไม่เคยได้รู้สึกถึงข้อสุดท้าย นอกนั้นเห็นด้วยหมดเลย


โดย: Shiroiame IP: 124.122.3.219 วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:20:45:33 น.  

 
อยากได้เมลล์พี่หลินอ่าค่ะ

มีเรื่องอยากจะถามเยอะเเยะเลย
อ่านบล๊อกเเล้วได้ความรู้มากมายเลยค่ะ


ยังไงรบกวนถ้าสะดวก เเอดมาได้มั้ยค่ะ Fon_love31@hotmail.com

หรือไม่ก็ทิ้งเมลล์ไว้จ๊ะ ฝนจะเข้ามาอ่านเรื่อยๆ อยุ่เเล้ว


โดย: ฝน IP: 110.164.122.187 วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:3:05:12 น.  

 
ฮ่าๆ ฮาได้ใจมากๆค่ะ
อ่านแล้วเห็นภาพทุกข้อ

เราเคยเจอเฮนไตบนรถไฟเหมือนกัน
แต่จังหวะเบรคอาศัยใช้ส้นสูงกระทืบประชาทัณฑ์ แล้วหันไปยิ้มว่า
ซุมิมาเซน เป็นที่เรียบร้อย


โดย: KiRaRi วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:11:53:21 น.  

 
แอบอ่านมานานมากค่ะ อยากเปนแอร์เหมือนกัน รบกวนขอเมล์ได้มั้ยค่ะ


โดย: picky IP: 118.172.134.36 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:13:29:21 น.  

 
ไปเรียนมาเกือบ 5 ปี เห้นดว้ยเลยว่า คำว่าขอบคุณ กับขอโทานี่ให้ติดปากไว้เลย ทำดินสอตก เพื่อนเก็บให้ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทกันจริงๆนี่ต้องไม่ลืมพูดขอบคุณอ่ะ ไม่งั้นมีโดนนินทาลับหลังกันเลยทีเดียว

เรียนเกือบ 5 ปีได้แฟนคนญี่ปุ่นกลับมามาคน ไม่รู้ขาดดุลเหลือดุลอ่ะนะ แต่ที่แน่ๆมไ่ต้องเสียค่าสินสอด


โดย: บลูดานูป วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:8:28:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ตั้งใจคิดตั้งใจทำ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




I believe I can fly. I believe I can touch the sky. I think it every night and day. Spread my wings and fly away.
Friends' blogs
[Add ตั้งใจคิดตั้งใจทำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.