พระเยซูตรัสว่า "จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน"

<<
มกราคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
21 มกราคม 2551
 

มาร์ติน ลูเธอร์ นักปฏิรูปศาสนาคริสต์ นิกาย โปรแตสแตนท์(ตอน2)

ที่ประตูโบสถ์

วันหนึ่งนักเรียน 3 คนเดินแกว่งดาบเล่นมาทางโบสถ์ปราสาท เขามุ่งไปที่ประตูเพื่ออ่านประกาศมหาวิทยาลัยที่ติดไว้ให้นักเรียนทราบ ศาสตราจารย์มักติดประกาศหัวข้อสำหรับโต้วาทีไว้เสมอ ฉะนั้นนักเรียนจึงหมั่นมาดูหัวข้อโต้วาทีใหม่ๆ ในคราวต่อไป
เด็กนักเรียนหนุ่ม 3 คนถอยหลังออกไปห่างๆ ด้วยความเคารพ ในขณะที่บาทหลวงร่างเตี้ยและผอมสวมเสื้อคลุมยาวถึงตาตุ่ม เดินตรงมายังโบสถ์ มือหนึ่งถือกระดาษแผ่นใหญ่ อีกมือหนึ่งถือค้อนและตะปูมาด้วย
เมื่อเอากระดาษปิดที่ประตูและเอาค้อนตอกตะปูจนแน่นแล้วก็หันมาพยักหน้ากับนักเรียน แล้วก็เดินกลับไปทางมหาวิทยาลัย “ดร.ลูเธอร์ไงละ ลองอ่านดูซิ” นักเรียนทั้งสามชักชวนกันเข้าไปอ่าน แล้วก็หันมามองดูหน้ากันอย่างประหลาด “เป็นข้อความคัดค้านในใบอนุญาตล้างบาป พร้อมด้วยข้อความโต้แย้งใบอนุญาตล้างบาป รวม 95 ข้อ”

“คงจะทำให้เจ้าเฟรดเดอริคไม่พอใจ เพราะปีกลายนี้ท่านก็ไม่ชอบการเทศนาของ ดร.ลูเธอร์ ที่คัดค้านการขายใบอนุญาตอยู่แล้ว และคราวนี้ยิ่งมีข้อโต้แย้งถึง 95 ข้อด้วย”

“เป็นการกระที่กล้าหาญจิรงๆ” มีศาสตราจารย์ผู้หนึ่งมาที่ประตู อ่านประกาศนี้ช้าๆ ด้วยความระมัดระวังแล้วก็รีบกลับไปโดยเร็ว นักเรียนหมู่ใหญ่มาอ่านแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันมาก ประกาศที่เป็นภาษาลาตินปิดไว้ตามประตูโบสถ์ ไม่ใคร่มีใครสนใจมาก่อน แต่เรื่องนี้ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างรุนแรง เพราะชาวเยอรมนีมีความโกรธเคืองมากที่ทางวัดปล่อยให้มีการขายใบอนุญาต ทุกคนรู้ว่าในเวลานั้นมีบาทหลวงชื่อเสียงไม่ดี ได้ทำการขายใบอนุญาตล้างบาปจนร่ำรวย ชื่อว่าเทดเซ็ล ขายเศษกระดาษชนิดนี้เป็นจำนวนพันๆ ใบ บาทหลวงเทดเซ็ล ไปไหนต้องแบกหีบเงินใบใหญ่ไหด้วยเพราะได้เงินมาก ไม่ว่าใครเอาเงินใส่ในหีบ ดังกริ๋งเป็นได้ใบอนุญาตล้างบาป ถึงกับมีบทสวดมนต์ว่า “พอเงินตกในหีบดังกริ๋ง วิญญาณในนรกก็กระโดดขึ้นไปสวรรค์เหมือนลิง”

มหาสังฆราช แอลเบิต แห่งเมืองเมนซ์ ได้ไปกู้เงินจำนวนมากมาจากธนาคารใหญ่ของเยอรมันนานมาแล้ว บัดนี้ได้รับเงินจากเทดเซ็ลและบาทหลวงอื่นๆ เป็นค่าขายใบอนุญาตล้างบาป จนสามารถนำมาชำระหนี้ได้หมด และยังมีเงินเหลือสร้างโบสถ์ใหญ่ เซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรมด้วย

หัวข้อที่มาร์ติน ลูเธอร์ เขียนขึ้นนำไปติดไว้ที่ประตูโบสถ์นั้น ใช้เป็นหัวข้อโต้วาทีด้วย ทั้งนี้เพราะมาร์ตินมีความโกรธเคืองในเรื่องการขายใบอนุญาตนี้ เขาคัดค้านการขายนี้ด้วยเหตุผล 3 ประการ ประการแรก ชาวเยอรมันไม่ควรเสียเงินในการสร้างโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม ประการทีสอง ในอนุญาตของสันตะปาปาไม่สามารถล้างมลทินได้ ประการที่สามใบอนุญาตนี้เป็นเพียงลดการทำโทษทางฝ่ายโลกสำหรับบาปที่ทำขึ้นเท่านั้น แต่พวกขายใบอนุญาตหลอกลวงประชาชนว่าใบอนุญาตล้างบาปได้หมด ลูเธอร์เมื่อทราบความข้อนี้จึงคัดค้านว่าไม่เป็นความจริง คนทำบาปจะได้ยกเว้นโทษก็เพราะมีความเชื่อในพระคริสต์ และมีความรู้สึกเสียใจในความผิเดบาปที่ได้ทำลงไป ผู้ทำบาปต้องเต็มใจพิสูจน์ว่าตนได้เสียใจจริง ๆ โดยการทรมานตน ที่สำคัญที่สุดก็คือ การซื้อใบอนุญาตจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการประพฤติดีไม่เป็นสิ่งสำคัญ ในหมู่ที่คัดค้านการขายใบอนุญาตกล่าวกันว่า “คนที่ให้เงินคนยากจนยังจะดีกว่าคนที่ไปซื้อ ใบอนุญาตล้างบาป”


ข้อคัดค้านการขายใบอนุญาตของลูเธอร์ ได้รับการจัดพิมพ์ขึ้นและแจกไปทั่วประเทศเยอรมนี เพราะก่อนหน้าลูเธอร์เกิดไม่นานเท่าใดนัก ลูเต็นเบิร์กได้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดชนิดหมุนขึ้น และเนื่องจากข้อคัดค้านของลูเธอร์ ได้แปลขั้นเป็นภาษาเยอรมันส่วนมากได้เริ่มคิด แต่ไม่สามารถจะแสดงความคิดออกมาได้อย่างโจ่งแจ้ง

เสียงคัดค้านของมาร์ติน ลูเธอร์ ได้มีผู้ได้ยินกว้างขวางและห่างไกลออกไป เขาได้เดินขบวนแห่ตามเสียงระฆังใหญ่เพื่อเข้ารับปริญญาเอก ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ ทั้งได้รับแหวนทองคำวงใหญ่ และหมวกพิเศษ ประจำตำแหน่งศาสตราจารย์ เขาได้ปฏิญาณตนว่าจะเชิดชูความจริงที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ มีคนเดินทางมาแต่ไกลเพื่อจะฟังปาฐกถาคำเทศนาของเขา สันตะปาปาในกรุงโรมทราบว่าลูเธอร์ กำลังปลุกปั่นราษฎร ก็ได้แต่หัวเราะเยาะเท่านั้น

เจ้าเฟรดเดอริคแห่งแคว้นแซกซอนนีได้เขียนหนังสือไปยัง ดร.ลูเธอร์ ขอทรบเหตุผลเพราะเป็นห่วงว่าข้อคัดค้านเหล่านั้นจะทำให้เกิดปัญหาหลายประการ เพราะถ้าพวกให้กู้เงินร้องทุกข์ไปยังสันตะปาปาและสันตะปาปา ร้องทุกข์ไปยังจักรพรรดิแห่งเยอรมนี สเปน และเนเธอร์แลนด์แล้วจะทำให้เจ้าเฟรดเดอริคเกิดพิพากกับสันตะปาปาและมหาจักรพรรดิ

แต่เมื่อ ดร.ลูเธอร์ตอบมาแล้ว เจ้าเฟรดเดอริคก็พอใจมาก เพราะเขารู้ว่านักเทศน์ผู้นี้เป็นคนสัตย์ซื่อและจริงใจ นับแต่บัดนั้นมาเจ้าเฟรดเดอริคก็เข้าปกปักรักษาคุ้มครองลูเธอร์ แม้ในเวลาต่อมาสันตะปาปาขอให้ส่งตัวมาร์ตินไป ไต่สวนที่กรุงโรม เจ้าเฟรดเดอริคปฎิเสธไม่ยอมส่งตัวออกไปจากประเทศเยอรมนี

มาร์ติน ลูเธอร์ได้กล่าวคัดค้านความเห็นของตนเกี่ยวกับใบอนุญาตที่เมืองอ๊อกส์เบิร์กในการโต้วาทีกับมหาสังฆาราชคาร์เจแกน ผู้แทนของสันตะปาปา มาหาสังฆราชสั่งให้มาร์ตินถอนคำพูดและคำประกาศเสีย และด้วยเหตุที่ไปโต้เถียงนี้ ดร.สโตปิต จึงได้ให้มาร์ติน ลูเธอร์ออกเสียจากนิกายบาทหลวงออกัสตินเนียน

ดยุคยอร์ชลูกน้องของเจ้าเฟรดเดอริค และเป็นเจ้าเมืองภาคหนึ่งของแซกซอนนีไม่เห็นพ้องกับ ดร.ลูเธอร์ จึงขอเชิญให้มาร์ตินมาโต้วาทีให้มหาชนฟัง ณ ที่เมืองไลฟ์ซิก กับ ดร.จอห์น เอ๊ค ผู้ป้องกันสิทธิในการขายใบอนุญาตและความเห็นของพวกโรมันคาธอลิค

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1519 ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ นั่งเกวียนบรรทุกหญ้ามาถึงเมืองไลฟ์ซิกเป็นระยะทาง 40 ไมล์ การโต้วาทีครั้งนี้สำคัญมากเพราะประชาชนแบ่งออกเป็นฝ่ายมาร์ติน ลูเธอร์และฝ่าย ดร.เอ๊ค บางพวกก็เชื่อในใบอนุญาต บ้างก็ไม่เชื่อ ทั้งมาร์ตินและ ดร.เอ๊คกลัวว่าประชาชนจะรวมตัวกันทำร้ายเอา แต่หาทำให้ลูเธอร์ขยาดที่จะไปยังเมืองไลฟ์ซิกไม่
มีมิตรสหายที่ไปกับลูเธอร์คือ ฟิลิป เซแลนซ์ทอนเพื่อนศาสตราจารย์ด้วยกันนั่งเกวียนไปกับลูเธอร์ เมแลนซ์ทอนเป็นคนผอมบาง ดูประหนึ่งลมตามภูเขาจะพัดเขาปลิวไปเสียเมื่อเขายืนขึ้นแสดงปาฐกถา ไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ในร่างกายบอบบาง แต่สนใจในสติปัญญาและน้ำใจของเขา มีนักเรียน 200 คนถือขวานเดินทางไปกับเกวียนเพื่อป้องกัน ดร.มาร์ติน

เมื่อพวกที่มาจากวิตเตนเบิร์กเข้ามายังถนนคดเคี้ยวแห่งเมืองไลฟ์ซิกก็ ได้ยินเสียงดนตรีทหารกองรักษาการณ์ให้ถือธงของดยุคยอร์ช พร้อมกับเป่าขลุ่ยและตีกลอง ดร.เอ๊คเดินมาพร้อมกับทหาร สวมเสื้อศาสตราจารย์สูงวัย มีองครักษ์ติดตามมาด้วย 76 คน

รุ่งขึ้นพวกมาร์ตินก็ไปยังปราสาท เขาเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ซึ่งมีขุนนางทหาร ศาสตราจารย์ และชาวเมืองนั่งอยู่เต็ม มาร์ติน ลูเธอร์ ก็ก้าวขึ้นไปพบกับ ดร.เอ๊ค ผู้ซึ่งจะได้เสนอทัศนะของสันตะปาปา

ดร.เอ๊คได้พยายามจะพิสูจน์ให้แห็นว่าความเชื่อของมาร์ติน ลูเธอร์ผิดพลาดไม่เป็นความจริง แต่ลูเธอร์ก็โต้ปัญหาได้หมด ดร.เอ๊คจึงนำเอาความคิดเห็นของจอนฮัสขึ้นมากล่าวอย่างฉลาด จอนฮัส เป็นผู้ทำงานในทางศาสนา ได้ถูกเผาทั่งเป็นมาหลายปีแล้วในเมืองโบฮีเมียร์ เพราะไมยอมเห็นตามความเชื่อ ของศาสนาในเวลานั้น ดร.เอ๊คลวงให้มาร์ตินพูดว่ามิใช่ความเห็นทั้งหมดของจอนฮัสเป็นสิ่งที่ผิด ข้อความตอนนี้ทำให้ประชนโกรธมาก ดยุคหน้าบึ้งเอานิ้วเคาะกับแขนเก้าอี้ด้วยความโกรธ เพราะเห็นว่าลูเธอร์เป็นคนนอกศาสนา คือไม่เชื่อตามความเชื่อของพวกวัดในสมัยนั้น


เมื่อการโต้วาทีเสร็จแล้ว ลูเธอร์และพวกก็กลับวิตเตนเบิร์ก พวกศาสตราจารย์ต่างก็เงียบ พวกนักเรียนพูดซุบซิบกันด้วยความเศร้าใจ ทุกคนต่างก็คิดว่าความยุ่งยากจะเกิดขึ้นและความยุ่งยากก็เกิดขึ้นจริงๆ ในฤดูร้อนต่อมา สันตะปาปาลีโอ ออกคำสั่งว่า ถ้ามาร์ตินไม่เปลี่ยนความคิดเป็นของตนภายใน 60 วัน จะถูกขับใล่ออกจากวงการศาสนาไป ในเดือนพฤศจิกายน ผู้แทนจักรพรรดิก็เก็บรวบรวมหนังสือของลูเธอร์ไปเผาไฟที่เมืองโคโลญ

สหายของลูเธอร์ต่างก็พากันกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก เกรงว่าลูเธอร์จะถูกเผาทั้งเป็นเหมือนจอนฮัส นักเรียนที่วิตเตนเบิร์กไม่เป็นอันพูดถึงเรื่องอื่น และไม่ใคร่เอาใจใส่ในการเรียน เพราะมัวพูดกันแต่เรื่องนี้และคอยดูว่า ดร.ลูเธอร์จะทำอย่างไรต่อไป

ต่อมาเช้าวันหนึ่งในฤดูหนาวเดือนธันวาคม นักเรียนกลุ่มหนึ่งได้มายืนที่ประตูโบสถ์ปราสาท มองเห็นประกาศที่ประตูฉบับหนึ่ง
“อะดอลฟ์ ! อ่านดังๆ ซิคุณอยู่ใกล้ คุณเกือบจะดันกระดาษให้ทะลุออกไป อ่านดังๆ”

เสียงของนักเรียนผู้อ่านนั่นก็ดังและชัดเจนขึ้นว่า “ขอให้ทุกคนที่เชื่อในความจริงของพระกิตติคุณจงมาพร้อมกันเช้าวันนี้เวลา 10.00 น. ณ ที่ประตูเวลสเตอร์ จะได้ช่วยกันเผาคำสั่งข้อบังคับและศาสนศาสตร์ของสันตะปาปาเสียให้หมดสิ้น เพื่อให้สมกับการที่ศัตรูของพระกิตติคุณมีความฮึกเหิมมากขึ้นจนถึงกับเผาหนังสือของลูเธอร์เสีย เชิญคนหนุ่มๆ ที่มีใจร้อนรนและผู้มีใจบุญทั้งหลาย”

มีนักเรียนและอาจารย์ได้มาประชุมกันมากหลาย ทันใดนั้นประตูก็เปิด ดร.ลูเธอร์ก็ออกมา เดินไปที่ประตูใหญ่ยืนคอยอยู่ ส่วนอาจารย์อื่นๆ และนักเรียนก็เดินเป็นขบวนตามไป
เมื่อพวกมหาวิทยาลัยมุ่งหน้าไปบริเวณชานเมือง พวกชาวเมืองก็รวมกันเป็นกลุ่มตามถนนเพื่อดูเขา เพราะเรื่องชนิดนี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย..... และต่างอธิษฐานขออย่าให้ ดร.มาร์ตินถูกจับไปเผายังกรุงโรมอีกเลย
นอกกำแพงเมืองพ้นประตูเวลสเตอร์ ได้จัดเตรียมกองไฟใหญ่ไว้ ครูคนหนึ่งเป็นผู้ตีหินเหล็กไฟ แล้วก็จ่อเข้ากับมัดฟืนแห้งๆ จนไฟติดลุกโพลงขึ้น
เมื่อ ดร.ลูเธอร์ เดินมาทุกคนก็เงียบ เขาเอาหนังสือหลักข้อบังคับ ของวัดมาวางบนกองไฟ หนังสือเหล่านี้เป็นกฎข้อบังคับว่าด้วยอำนาจของ สันตะปาปาที่มีอยู่เหนือพวกบาทหลวง เหนือวัดและเหนือประชาชน ครั้นแล้ว ดร.ลูเธอร์ก็หยิบเอาคำสั่งที่ไล่เขาออกจากวัดวางบนกองไฟ ประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นขี้เถ้าไปหมด แล้ว ดร.ลูเธอร์ ก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงดัง ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าถ้อยคำเหล่านี้ประณามสันตะปาปาว่า “เนื่องจากท่านเหยียบย่ำความจริงของพระเจ้าลงเสีย พระองค์จะทรงเผาท่านในวันนี้เหมือนกัน อาเมน”

ลูเธอร์ก้มหัวลง คนอื่นๆ และนักเรียนก็ทำเช่นเดียวกัน พวกอาจารย์ก็กลับมาที่มหาวิทยาลัย แต่นักเรียนเดินแห่รอบกองไฟและร้องเพลง เมื่อหมดเปลวไฟแล้วจึงกลับเข้าในเมือง เมื่อเดินไปก็ร้องเพลงไปด้วย แล้วเอาดาบแทงใบอนุญาตล้างบาปชูขึ้นให้สูงแล้วเดินเป็นขบวนไป

ดร.ลูเธอร์ก็ทำการสอนและเทศนาต่อไป ใช้เวลาส่วนมากเขียนหนังสือต่างๆ ตลอดฤดูร้อน ค.ศ.1519 เขาได้พิมพ์หนังสือเล็กๆ ขึ้นหลายเล่มพิมพ์เป็นภาษาเยอรมันแจกไปทั่วประเทศ

ในบางภาคของประเทศเยอรมนีเช่น ตูริงเกีย ไอส์แลนด์ ขึ้นไปจดทะเลเหนือ ตลอดแคว้นแซกซอนนี ชาวเยอรมันได้อ่านถ้อยคำอันรุนแรงของลูเธอร์ที่แพร่ไปทั่ว


.................................................................................

ข้าพเจ้าขอยืดมั่น

เมื่อจักรพรรดิแมกซิมิเลียนสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ.1519 พระเจ้าชาร์ลสที่ 5 ก็ได้เป็นจักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรโรมันแทน ที่เรียกว่าราชอาณาจักรโรมันนั้นประกอบด้วยประเทศต่างๆ ในยุโรปที่ยอมขึ้นแก่จักรพรรดิ กษัตริย์แห่งประเทศเหล่านั้นเป็นผู้เลือกตั้งจักรพรรดิขึ้นปกครอง พระเจ้าชาร์ลสองค์นี้เป็นหลานของกษัตริย์เฟอดินานและพระนางอิสซาเบลลาแห่งสเปน ซึ่งทางฝ่ายมารดาและบิดาเป็นเชื้อกษัตริย์ของประเทศเยอรมนี

ในปี ค.ศ.1521 พระเจ้าชาร์ลสที่ 5 ได้เรียกประชุมกษัตริย์ของประเทศต่างๆ ในยุโรปมาประชุมที่เมืองเวิมส์ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ในประเทศเยอรมนี เป็นการประชุมของสภาสูง บรรดาข้อวินิจฉัยตกลงใดๆ ของที่ประชุมนี้ถือว่ากฎหมายใช้บังคับได้ ปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องมาร์ติน ลูเธอร์ จึงตกลงที่จะเรียกตัวมาไต่สวนในที่ประชุมใหญ่นี้ด้วย

ในเดือนเมษายน ค.ศ.1521 ดร.ลูเธอร์ได้รับจดหมายเรียกมาไต่สวนพวกเพื่อนๆ ห้ามมิให้ไป แต่ลูเธอร์ว่าเป็นหมายเรียกของจักรพรรดิจำต้องปฏิบัติตาม ลูเธอร์รู้ตัวดีว่าทำอย่างไรเสียก็จะถูกจับตัวไปไต่ส่วนต่อหน้าสันตะปาปา ดังนั้นจึงคอยให้ได้รับคำมั่นสัญญาปลอดภัยจากจักรพรรดิเสียก่อนจึงจะไป

เมื่อผู้สื่อข่าวมาถึงพร้อมด้วยคำรับรองความปลอดภัยแล้ว มาร์ติน ลูเธอร์ ก็ขึ้นเกวียนมุ่งหน้าไปยังนครเวิมส์ มีเพื่อนร่วมทางไปด้วยสามคน คือ คร.แอมสดอร์ฟ ปีเตอร์ ซะวาเว็น และ จอห์น เพ็ทเซ็นไตเนอร์ ผู้สื่อข่าวของจักรพรรดิขี่ม้านำหน้าเกวียน คือ แคสปาสเติม ถือธงของจักรพรรดิเป็นรูปนกอินทรีดำ 2 ตัว และสวมเสื้อเกราะไหมสีเหลืองอร่าม

ขณะที่เกวียนแล่นมาตามถนนที่มีโคลนตม มาร์ตินเอาพิณออกมาดีดเล่นเบาๆ และร้องเพลงคลอไปด้วย ดร.แอมสดอร์ฟ มองดูด้วยความประหลาดใจ
“มาร์ติน เธอกำลังอยู่ในอันตราย ยังมีแก่ใจที่จะร้องเพลงด้วยหรือ”

ดร.ลูเธอร์ยิ้มแล้วคงร้องเพลงต่อไป สักครู่หนึ่งแอมสดอร์ฟก็ร้องบ้างแล้วคนอื่นก็ร้องตาม ผู้สื่อข่าวซึ่งขี่ม้านำขบวนก็หันหน้ามาดู “ลูเธอร์นี่เป็นคนเช่นไรหนอ ยังสามารถร้องเพลงได้อีกในเมื่อสันตะปาปาและจักรพรรดิเขารวมหัวจะเล่นงานอยู่แล้ว”
“เมื่อผ่านเมืองไลฟ์ซิก มีผู้คนออกมาดูกันมากมาย ที่เมืองไวมา จัสตัสโจนาส เพื่อนรักของลูเธอร์ก็ขึ้นเกวียนร่วมไปด้วย
ในเมืองเออเฟิดท์เขาจัดดนตรีมาต้อนรับ เสียงบรรเลงดูประหนึ่งว่าคนทั้งเมืองร้องเพลงเพื่อมาร์ติน ลูเธอร์ มาร์ตินตกตลึงเมื่อเห็นขบวนนักเรียนและอาจารย์ และท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยมาต้อนรับเขา ในคืนนั้นเจ้าพนักงานประจำเมืองได้จัดการเลี้ยงอาหารเป็นเกียรติแก่ลูเธอร์ ตอนดึก มาร์ติน และสหายได้ไปนอนในวัด เซนต์ออกัสติน ที่อยู่มาแต่ก่อน

รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ ดร.ลูเธอร์เทศนาในโบสถ์ที่เขาเคยเป็นนักร้องเพลงประจำมาแต่ก่อน คนมาฟังเทศน์มากจนระเบียงโบสถ์ทานน้ำหนักไม่ไหวถึงกับลั่นเอี๊ยดๆ
ขณะที่มาร์ตินเดินทางต่อไปยังภาคตะวันตกผ่านเมืองใดหมู่บ้านใด มิตรสหายก็มาบอกว่าชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย พากันห้ามมาร์ตินว่าอย่าไปเลย มาร์ตินก็ได้แต่ยิ้มๆ และกล่าวว่า “จะต้องไปเมืองเวิมส์ให้จงได้ แม้ว่าในเมืองนั้นจะมีผู้ปองร้ายมากเหมือนกับกระเบื้องมุงหลังคาก็ตาม”

เมื่อจวนจะถึงเมือง ลูเธอร์เห็นฝูงชนมาตั้งแถวตามถนนมาก ฝูงชนโห่ร้องต้อนรับ มาร์ติน ลูเธอร์ลงจากเกวียนมีหญ้าแห้งติดอยู่ตามเสื้อผ้า จับพิณหนีบไว้กับแขนข้างหนึ่งแล้วพูดว่า
“พระเจ้าจะอยู่กับข้าพเจ้า” แล้วก็เดินเข้าประตูบ้านพักไป ซึ่งก็คือบ้านอัศวินแห่งเซนต์จอห์น แม้เวลาดึกดื่นมาก ดร.ลูเธอร์ก็ไม่ได้พักผ่อนเพราะมีผู้มาเยี่ยมสนทนากับเขาเป็นจำนวนมาก ในตอนเช้าวันพุธเขาก็จะต้องเตรียมไปปรากฏตัวยังที่ประชุมสภาฯ แต่เขาก็ยังมีโอกาสที่จะทำพิธีให้แก่อัศวินซาวอน ที่จวนจะตายซึ่งขอร้องให้มาร์ตินอธิษฐานเผื่อ


ในตอนบ่ายเวลา 4 โมงเย็น ผู้สื่อข่าวจักรพรรดิและเจ้าพนักงานตำรวจหลวงได้มาคุมตัว ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ไปยังสภา ลูเธอร์ได้เดินอย่างเงียบๆ แต่ก้าวอย่างมั่นคงเข้าไป ในท้องพระโรงแห่งราชวังของสังฆราช เขารอคอยอยู่ข้างนอกห้องนี้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง กว่าจะได้เข้าไปก็เป็นเวลา 6 โมงเย็น มืดแล้ว ต้องจุดคบเพลิงตั้งไว้ตามที่ว่างข้างกำแพง

ท้องพระโรงแน่นไปด้วยคน มีทหารสเปนและเยอรมันยืนแถวอยู่ริมกำแพง จักพรรดิชาร์ลสที่ 5 เป็นคนหนุ่มอายุได้ 20 ปี นั่งอยู่บนบัลลังก์ทรงเครื่องแต่งกายสีดำล้วนมีจี้เพชรสวมไว้ที่คอ รอบองค์มีกษัตริย์อีกหกประเทศและผู้แทนสันตะปาปา นอกจากนั้นยังมีสังฆราช ทูตานุทูตและอัศวิน ดวงตาทุกดวงจ้องมายังผู้ที่มาตินร์ที่สงบเงียบขณะที่เขาเดินเข้ามา ถ้าจะรักษาอำนาจของสันตะปาปาไว้ มาร์ติน ลูเธอร์จะต้องยอมรับรองอำนาจนี้และต้องรับว่าตนผิด

มีเจ้าพนักงานผู้หนึ่งบอกลูเธอร์ว่าไม่ต้องพูดอะไร นอกจากตอบคำถามเท่านั้น มาร์ติน ลูเธอร์แสดงหน้าตาคิ้วขมวด ผู้ที่จะตั้งปัญหาถามเขาคือ ดร.เอ๊ค แต่ไม่ใช่ ดร.เอ๊คคนที่เขาเคยโต้วาทีที่เมืองไลฟ์ซิก

ดร.เอ๊คออกมาชี้มือไปยังกองหนังสือเล่มเล็กเล่มใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ ตั้งปัญหาถามว่าลูเธอร์เป็นคนเขียนหนังสือเหล่านี้และจะยอมรับหรือไม่ว่าความเห็นในหนังสือของเขาผิดพลาด ลูเธอร์ไม่ยอมตอบ แล้วก็มีผู้เอาหนังสือเหล่านั้นอ่านชื่อให้ที่ประชุมฟัง แล้วลูเธอร์จึงตอบว่าเขาเขียนหนังสือเหล่านั้นจริง และยังมีเล่มอื่นๆ ที่เขาเขียนขึ้นอีกด้วย ลูเธอร์ขอเวลาตรึกตรองก่อนที่จะตอบคำถาม ดร.เอ๊คจึงหันไปถามจักรพรรดิๆ ยอมให้เวลา 1 วัน

ลูเธอร์ อธิษฐานตลอดคืน รุ่งขึ้นมิตรสหายที่เป็นห่วงก็ประหลาดใจที่เป็นลูเธอร์มีอารมณ์ดี หัวเราะและพูดสนุกสนาน พอเวลาสี่โมงเย็นเขาจึงถูกนำตัวไปไต่ส่วนในห้องประชุมท่ามกลางคนสำคัญๆ อีก
ในครั้งนี้ลูเธอร์ได้กล่าวเป็นภาษาเยอรมันชั่วระยะเวลาหนึ่ง อธิบายความหมายในหนังสือซึ่งเขาแต่งขึ้น ในท้องพระโรงนี้ร้อนและอบอ้าวไปด้วยควันคบเพลิงที่ริมกำแพง เมื่อเขากล่าวแล้วดูเหมือนว่าแทบจะหมดแรง และได้ถูกขอร้องให้กล่าวซ้ำเป็นภาษาลาตินอีก ตอนนี้อัศวินผู้หนึ่งตะโกนขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ ถ้าจะกล่าวเป็นภาษาลาตินไม่ได้ก็พอแล้ว”
แต่ ดร.ลูเธอร์ หายใจยาว แล้วกล่าวคำเป็นภาษาลาตินอีก เมื่อจบแล้ว ดร.เอ๊คตะโกนว่า “ลูเธอร์ ท่านกล่าวนอกประเด็น ท่านจะถอนข้อความที่เขียนได้ไหม?”
มาร์ตินเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกาย เขาตอบด้วยเสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรงว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจ และจะไม่เพิกถอนสิ่งใดทั้งหมด เพราะไม่เป็นการชอบธรรมที่จะไปกระทำการฝ่าฝืนความรู้สึกผิดชอบ ข้าพเจ้าขอยืนกรานจะทำอย่างอื่นไม่ได้ ขอพระเจ้าโปรดช่วยด้วย อาเมน”


ในวันศุกร์ ลูเธอร์ก็ออกเดินทางจากเมืองเวิมส์ หนังสือรับรองความปลอดภัยยังคงใช้ได้ต่อไปอีก 20 วัน เขาไม่ยอมลงหัว ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมทำตามสันตะปาปา มีข่าวลือกระฉ่อนไปทั่วเมือง ว่ามีการวางแผนการฆ่ามาร์ติน เพื่อนๆ จึงร้อนใจเป็นห่วงว่าเขาจะปลอดภัยหรือไม่ เพราะมีคนจำนวนมากยุแหย่ให้จักรพรรดิเรียกคำรับรองความปลอดภัยคืนเสีย ลูเธอร์ก็จะถูกพวกรับจ้างฆ่าคนปลิดชีวิตเสียเท่านั้น และการกลับไปวิตเตนเบิร์กจะปลอดภัยหรือไม่ เพราะเขาถูกทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนาประณามเสียสิ้นดี ดูประหนึ่งว่าเขาเห็นจะไม่รอดพ้น ที่จะถูกจับตัวไปเผาทั้งเป็นต่อหน้าสันตะปาปาที่กรุงโรมเป็นแน่

แต่การเดินทางกลับก็คงราบรื่นเหมือนเมื่อตอนไป พวกชาวไร่ชาวนาตามทุ่งนา พวกพ่อค้าตามเมืองและหมู่บ้าน พวกนักเรียนและแม่บ้านต่างก็โห่ร้องต้อนรับลูเธอร์ตลอดทาง เขาหยุดเทศนาตามทางหลายแห่งแล้วก็ไปพักผ่อนที่บ้านของลุงของเขาที่โมราเสียหลายวัน

วันที่ 4 พฤษภาคม มาร์ติน ลูเธอร์จึงออกเดินทางมุ่งต่อไปยังวิตเตนเบิร์ก เมื่อเกวียนผ่านเขตหมู่บ้านโมราแล้วเขามองขึ้นไปบนหลังคาก็เป็นนกกระสาขายาวคอยป้องลูกเล็กๆ ของมันอย่างระมัดระวัง เห็นต้นข้าวไรน์งอกงามตามทุ่งนา ได้กลิ่นที่ไถขึ้นใหม่เมื่อฝนตก ต้นแพร์ก็ออกดอกงามตลอดตามถนน ทำให้เขาระลึกถึงกุฏิดำที่เมืองวิตเตนเบิร์ก เขายินดีที่จะกลับไปอีก

ม้าคงลากเกวียนล้อกระแทกกับถนนอันขรุขระไปตามทางจนเข้าไปในป่าดงทึบ เสียงนกร้องเพลงอยู่ที่ใต้ต้นไม้ ใหญ่ซึ่งปกคลุมถนนจะเกือบจะมืด มาร์ตินก็เกือบจะหลับอยู่บนหญ้าแห้งที่เกวียน ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าม้าดังมาทางหนึ่ง ทำให้เขาลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ มีทหารหมู่หนึ่งขี่ม้าออกจากพุ่มไม้มีอาวุธครบมือ คนขับเกวียนตกใจจึงชักม้าให้หยุด
“หยุด” พวกทหารม้าล้อมเกวียนไว้ หัวหน้าจึงร้องถามว่า “เกวียนนี้มี ดร.ลูเธอร์ แห่งเมืองวิตเตนเบร์กมาด้วยมิใช่หรือ”
มาร์ตินหน้าซีดแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว ท่านมีธุระอะไรในตัวเราหรือ”

“ขอโปรดขึ้นม้าตัวนี้และขี่ไปกับพวกผมเดี๋ยวนี้แหละครับ”
แล้วพวกทหารก็ช่วยกันจูงมือลูเธอร์ลงจากเกวียนเพื่อขึ้นหลังม้า หัวหน้าก็สั่งให้คนเกวียนขับเกวียนกลับไปยังหมู่บ้านโมรา แล้วพาลูเธอร์ควบม้าหนีไปโดยเร็ว ลูเธอร์หันหน้ามาดูพวกเพื่อนๆ บนเกวียน นึกในใจว่าคราวนี้ตัวคงจะถูกฆ่าตายแน่ แต่พวกทหารพาลูเธอร์มายังภูมิประเทศที่เคยรู้จักมาแต่ก่อนแล้ว คือหมู่บ้านใกล้เมืองเออเฟิดท์ที่เขาเคยมาอยู่เมื่อสมัยยังเป็นเด็กนักเรียนและได้ถูกฟ้าฝนคะนองครั้งหนึ่งแล้ว แล้วก็เหลือบไปเห็นปราสาทวอทเบิร์ก


เมื่อข้ามสะพานมาแล้วได้ก็ยินเสียงประตูปราสาทปิดดังปัง ลูเธอร์ก็ยิ้มในใจ เพราะเขารู้ว่าในปราสาทนี้ไม่มีศัตรูแล้ว ทุกคนในปราสาทต้อนรับเขาเป็นอย่างดี มีผู้มาแสดงความเคารพต่อเขา แล้วก็ถูกนำตัวไปยังห้องพัก
ภายหลังต่อมาจึงรู้ว่าเป็นแผนการของเจ้าเฟรดเดอริคที่ให้ทหารพาตัวลูเธอร์มาเก็บไว้เสียในปราสาท เพื่อความปลอดภัยจากศัตรู ลูเธอร์ต้องปลอมตัวเป็นอัศวิน และมีชื่อใหม่ว่า จังเกอร์ ยอร์ช

ดังนั้นลูเธอร์ จึงเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวอย่างบาทหลวงออกหมด แล้วสวมเครื่องแต่งกายอัศวิน สวมสร้อยคอทองคำและสะพายดาบ เริ่มมีหนวดเคราและไว้ผมยาว มีระเบียบวินัยเป็นอัศวินทุกอย่าง และจะต้องออกไปล่าสัตว์ แต่ ดร.ลูเธอร์ ไม่ชอบการล่าสัตว์นัก เมื่อมีผู้ชักชวนจึงได้ออกไปล่ากวางและเนื้อบ้าง

เกิดการโกลาหลกันใหญ่โตทั่วประเทศเยอรมนี แอลเบรชท์ ดูเรอร์ ศิลปินผู้มีชื่อเสียงแห่งนครเนินเบิร์ก ถึงกับร้องให้เมื่อทราบว่ามาร์ติน ลูเธอร์ถูกลักพาตัวเอาไปเสียแล้ว ลูเธอร์ติดต่อส่งข่าวให้เพื่อน 2-3 คนทราบว่าเขาปลอดภัยแต่ไม่บอกที่ซ่อนตัว คนส่วนมากคิดว่าเขาคงตายแล้ว

ดร.ลูเธอร์ ใช้เวลาที่อยู่ในปราสาทอันเงียบเหงาในการเขียนหนังสือบ้าง แต่เขาทุรนทุรายตลอดเวลา อยากจะออกไปสู่โลกภายนอก เพื่อคัดค้านการปฏิบัติผิดๆ ของพวกผู้นำในทางศาสนาในสมัยนั้น แต่เขาคงขี่ม้าท่องเที่ยวในป่าและเดินเล่นอยู่ภายในปราสาทเท่านั้น


......................................................................

จากท่ามกลางฝูงนก


ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คงอาศัยอยู่ในปราสาทวอทเบิร์ก โดยใช้นามว่า จังเกอร์ ยอร์ช มาเป็นเวลาหนึ่งปี เขาได้เฝ้าคอยตลอดฤดูร้อน เดินเที่ยวตามทุ่งนาดูนกทำรังตามกอหญ้าและใบไม้ซึ่งเขียวสดงดงามอยู่บนต้น เขาเขียนจดหมายบอกเพื่อนๆ ว่า “จากตำบลที่อยู่ในอากาศ” หรือ “จากท่ามกลางฝูงนกที่ร้องเพลงไพเราะอยู่บนกิ่งไม้สูง และร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยสุดกำลังของมัน ทั้งหลายทั้งกลางวันและกลางคืน” เขาได้เห็นการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงและมีการเก็บผลไม้ต่างๆ ด้วย เมื่อหนาวจัดและมีหิมะตกก็ต้องนั่งผิงไฟอยู่ในห้องใหญ่จนกว่าจะหมดพายุหิมะ

ตลอดเวลาที่อยู่ในปราสาทนี้ มาร์ตินเขียนหนังสือเล่มเล็กๆ ส่งไปยังเมืองวิตเตนเบิร์ก เพื่อพิมพ์จำหน่าย ประชาชนเยอร์มันพากันอ่านด้วยความยินดี เพราะทราบว่า ดร.ลูเธอร์ยังคงมีชีวิตอยู่ และเขียนหนังสือให้พวกเขาอ่านเสมอ ลูเธอร์จึงเริ่มทำงานที่ปรารถนาจะทำมานานแล้วแต่ยังไม่สบโอกาส คือการแปลพระคัมภีร์ใหม่ให้เป็นภาษาเยอรมัน ความจริงภาษาเยอรมันไม่เหมือนกันทุกภาคของประเทศ แต่ลูเธอร์คิดว่าจะใช้ภาษาเยอรมันทุกชนิดที่ทุกคนเข้าใจกันได้

ลูเธอร์คงทำงานนี้อยู่หลายเดือน ในตอนกลางวันนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างเล็กและสูง แสงสว่างเข้ามาได้น้อย ส่วนในตอนกลางคืนต้องใช้เทียน 2 เล่ม นั่งเขียนอยู่ริมเตาผิงไฟ
อยู่มาในคืนวันหนึ่ง ทำงานอยู่ดึกมากรู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจ แต่ก็พยายามที่จะทำงานต่อไป แสงเทียนวูบวาบทำให้เงาประหลาดเกิดขึ้นที่ฝาห้อง เขาง่วงจนม่อยไป แต่ก็รู้สึกว่าอยากจะทำงานต่อไปอีก

ทันใดนั้นลูเธอร์มองขึ้นไปแลเห็นเงาดำเป็นรูปร่างคนในห้อง ในสมัยนั้นชาวเยอรมันเชื่อกันวาผีปีศาจอยู่ใกล้ คนบางคนก็อ้างวาเคยเห็นผีปีศาจ มาร์ตินก็เชื่อมั่นว่าเงาที่เขาเห็นนั้นคือปีศาจกำลังมาดูเขาทำงาน มาร์ตินจึงหยิบเอาขวดหมึกที่อยู่ใกล้มือขว้างเปรี้ยงไปยังปีศาจ ขวดหมึกก็ไปโดนฝาดังโป้งเขาเอามือขยี้ตาแล้วก็ไปนอน

รุ่งขึ้นเช้า มาร์ตินออกมาดู เขาเห็นขวดหมึกอยู่บนพื้นห้องและรอยหมึกติดอยู่ที่ฝาห้องเป็นวงกลมใหญ่ เมื่อเติมหมึกใส่ขวดแล้วก็จับปากกาแปลพระคัมภีร์ต่อไป

ในที่สุดมาร์ติน ลูเธอร์ ก็แปลพระคัมภีร์ใหม่สำเร็จ เขาได้รับจดหมายจากพวกเพื่อนๆ ทางวิตเตนเบิร์ก เป็นข่าวไม่ดีที่ว่ายังมีบัตรยกบาปขายกันดาดดื่นทั่วไป พวกเพื่อนบอกว่าทั้งฝ่ายศาสนาและฝ่ายบ้านเมืองคอยจะจับตัว ดร.ลูเธอร์ ฝ่ายบ้านเมืองก็สนับสนุนทางฝ่ายศาสนา ทางฝ่ายศาสนาจะไม่ยอมให้ผู้ใดสงสัยในความเชื่อของตนหรือลบเหลี่ยมคำสั่งใดๆ ทั้งหมด ใครขืนให้ที่อยู่อาศัยอาหารหรือเสื้อผ้าแก่ลูเธอร์จะถูกลงโทษ ห้ามมิให้ผู้ใดอ่านหนังสือที่เขาเขียน ชาวเยอรมันจึงแตกออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งนับถือลูเธอร์และทัศนะของเขา อีกพวกหนึ่งเข้าข้างสันตะปาปา และจักรพรรดิที่จะคอยปราบปรามลูเธอร์

พวกอัศวิน 2 นายเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อการปฏิรูปใหม่นี้เสมอ แต่ลูเธอร์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้อาวุธ ศาตราจารย์บางคนที่ถือว่าเป็นศิษของลูเธอร์ได้แนะนำให้เลิกการเกี่ยวข้องกับวัดวาอารามและสำนักนางชีเสีย บางคนก็คิดจะเลิกแบบพิธีเก่าๆ ให้หมดไป บางคนไปไกลถึงกับทำลายรูปปั้นและทรัพย์สินอย่างอื่น


ดร.ลูเธอร์ไม่ชอบการรุกรานเช่นนี้ เขาตำหนิเฉพาะการปฏิบัติในทางศาสนาที่เห็นว่าผิดเท่านั้น มาร์ติน ลูเธอร์คิดรอบคอบมาก เขาพยายามที่จะเลิกร้างหลักคำสอนที่ไม่ตรงกับความจริงเท่านั้น เขาเห็นว่าหลายสิ่งที่ประชาชน เชื่อถืออยู่นั้นเป็นภัยอันตรายมาก แต่เขากลัวการกระทำอันรุนแรงที่พวกของเขาคิดจะกระทำ เขาไม่ต้องการรุนแรงเช่นนั้นเลย

เมื่อลูเธอร์ได้รับจดหมายจากฟิลิป เมแลนซ์ทอน ขอร้องให้เขากลับไปยังวิตเตนเบิร์ก เขาก็ตกลงใจจะไป เขาจึงขอให้เจ้าเฟรดเดอริคปล่อยออกจากปราสาท ฝ่ายเจ้าก็คิดว่าจะเป็นอันตรายและไม่เหมาะ แต่ก็ให้มาร์ตินตัดสินใจเอาเอง ดังนั้น ดร.ลูเธอร์ ซึ่งยังคงไว้หนวดเคราและแต่งตัวแบบอัศวินอยู่ ก็ออกจากปราสาทมุ่งตรงไปยังวิตเตนเบิร์ก

ในขณะที่เดินทางถึงเมืองเยนา จังเกอร์ ยอร์ช ก็ไปถึงที่พักเดินทางและเมื่อเขารับประทานอาหารอยู่ก็อ่านหนังสือไปด้วย ครั้นได้ยินเสียงคน 2 คนเดินมา เขาก็มองดูเห็นนักเรียน 2 คน แต่งกายแบบชาวสวิสเข้าประตูมา เจ้าของโรงแรมก็รีบไปต้อนรับและพูดว่า “เชิญครับพ่อหนุ่ม ผมกำลังเอาเนื้อวัวเสียบไม้ย่างไฟอยู่ ประเดี๋ยวก็จะสุกรับประทานได้ทีเดียว”
นักเรียนผู้หนึ่งกล่าว “ขอนั่งข้างประตูนี้เถอะ เพราะว่าเดินทางมาสกปรกมาก”
จังเกอร์ ยอร์ช ยิ้มและเรียกนักเรียนสองคนว่า “เชิญมารับประทานร่วมกันเถอะ จะเป็นพระพรยิ่งถ้าเรามาสนทนากันแต่ในทางที่ดี”
เมื่อนักเรียนเข้ามาใกล้ ลูเธอร์ได้ยินเจ้าของโรงแรมกระซิบให้นักเรียนฟังว่า “นี่คือบาทหลวงลูเธอร์ ผู้ซึ่งหยิกจมูกสันตะปาปา”
แต่นักเรียนเห็นคนหนวดดำ สวมถุงสีแดงและแต่งกายแบบอัศวิน นักเรียนมองดูหน้าเจ้าของโรงแรมคิดว่าคงจะกินเหล้าเมาไปสักหน่อยจึง พูดเช่นนี้
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นักเรียนทั้งสองประหลาดใจที่อัศวินแปลกหน้าผู้นี้พูดจาหลักแหลมนัก บนโต๊ะข้างตัวเขามีแต่หนังสือสดุดีและแทนที่จะพูดถึงเรื่องการล่ากวาง หรือสุนัขล่าสัตว์แต่กลับพูดถึงพระกิตติคุณ
นักเรียนคนสูงถึงพูดว่า “ผมทั้งสองจะไปยังมหาวิทยาลัยวิตเตนเบิร์ก ได้ข่าวว่า ดร.ลูเธอร์ยังมีชีวิตอยู่และไม่เป็นอันตราย ท่านทราบหรือไม่ว่า ดร.ลูเธอร์อยู่ที่วิตเตนเบิร์กหรือเปล่า”
อัศวินจังเกอร์ ยอร์ชหัวเราะและตอบว่า “ผมรู้ว่าขณะนี้เขายังไม่อยู่ที่นั้น แต่ไม่ช้าก็จะอยู่ดอก ถ้าเธอทั้งสองไปพบกับ ดร.เยอโรม สะเกิฟ บอกกับเขาว่า ผมขอส่งความคิดถึงด้วย”


นักเรียนนั้นก้มศีรษะ แต่ก็รู้สึกแปลกใจว่า อัศวินผู้นี้ชอบกลมาก แล้วลูเธอร์ก็มิได้พบกับนักเรียนนั้นอีก มาร์ตินรีบควบม้าไปแต่เช้าตรู่ เมื่อถึงวิตเตนเบิร์กก็ตรงไปยังบ้านของ ดร.สะเกิฟ ได้พบการต้อนรับจากพวกเพื่อนๆ จัสตัส โจนาส นิโกลาส แอมสดอร์ฟ และเมแลนซ์ทอน ขณะที่กำลังสนทนาปราศรัยแสดงความยินดีที่ ดร.ลูเธอร์กลับมา ก็มีเสียงเคาะที่ประตู พอเปิดก็มีนักเรียนสวิส 2 คนเดินเข้ามา เมื่อเห็นอัศวินเขาก็แปลกใจมากจน ดร.ลูเธอร์หัวเราะเสียงดัง เขาจึงบอกให้ฟังว่า ดร.ลูเธอร์เพิ่งกลับมาจริงๆ แล้วก็แนะนำตัวเองให้นักเรียนทั้งสองรู้จัก


...........................................................................

การสมรส

เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์กลับมายังกุฏิดำอีกก็มีงานทำมากขึ้น คือสอนในมหาวิทยาลัยและเทศน์ในโบสถ์ มีผู้คนมาจากประเทศต่างๆ เพื่อมาฟังเขาเทศน์
ในตอนกลางคืนเมื่อว่างกิจการงานแล้ว เขาก็เขียนหนังสือพิมพ์ออกแจกจำหน่ายทั่วประเทศเยอรมนี ทั่วโลกระส่ำระส่ายและยุ่งยาทั่วไปเพราะเป็นเวลาที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ มีความคิดใหม่และกิจการใหม่ๆ เกิดขึ้น โลกกำลังย่างเข้าสู่สมัยปัจจุบัน
ได้มีการเดินเรือสำรวจพื้นดินใหม่ทั่วโลก โคลัมบัสก็พบทวีปอเมริกา ภายหลังที่มาร์ติน ลูเธอร์เกิดแล้วได้ 6 ปี ปีซาโรเข้ายึดครองอเมริกาใต้ โคเตสเข้าปล้นประเทศแม็กซิโก แล้วขนทองคำเข้าประเทศสเปน เกิดการค้าขายทั่วโลก การคิดค้นพบเข็มทิศ ทำให้สะดวกแก่การเดินเรือ การยึดครองประเทศใหม่ๆ ทำให้เกิดการใช้ปืนยาวและดินปืน


การใช้กล้องจุลทัศน์ส่องดูดาวทำให้สะดวกแก่การเดินเรือ การใช้เครื่องพิมพ์หนังสือและแกะสลักทำให้ความคิดใหม่ๆ แพร่หลายไปทั่วทวีปยุโรป คนอ่านหนังสือออกมากขึ้น ในประเทศอิตาลีมีการเขียนรูปภาพสำคัญๆ ส่วนในประเทศเยอรมนี แอลเบรชท์ ดูเรอร์ ได้เขียนภาพและแกะสลักรูปด้วยไม้ต่างๆ ได้แปลหนังสือสำคัญๆ ของกรีกและพิมพ์แพร่หลาย นักปราชญ์สำคัญ เช่น อีราสมัสในประเทศฮอลแลนด์ประพันธ์หนังสือขึ้นแพร่หลายไปหลายประเทศ

แต่สภาพของชาวนาอดอยากมาก เพราะต้องเสียภาษีอากรอัตราสูงให้แก่ขุนนาง บาทหลวงและสังฆราชตามวัดต่างๆ พวกบาทหลวงกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือยเหมือนขุนนาง ชาวนากบฏต่อขุนนางและพวกบาทหลวงบ่อยๆ เมื่อการทำไร่นามิได้ผลและภาษีอากรก็สูง ต่อมาก็ได้นำเอากฎหมายโรมันมาใช้ในประเทศเยอรมนี กฎหมายนี้มอบกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ป่า และน่านน้ำซึ่งเคยเป็นที่สาธารณะให้ตกเป็นสิทธิ์ของขุนนางเอกชน เมื่อชาวนาแข็งสิทธิ์ขึ้นคราวใด ก็ถูกพวกขุนนางลงโทษอย่างทารุณโหดร้าย แม้แต่การลอกเปลือกไม้ในป่าของขุนนางก็ถูกลงโทษถึงประหารชีวิต การจลาจลได้แพร่เข้าไปในเมืองด้วย

ในสมัยกลางพวกอัศวินและขุนนางรบกันเอง ต่อมาพวกเจ้าใหญ่ที่ปกครองออกกฎหมายห้ามรบกัน จึงเป็นเหตุให้ทหารรับจ้างออกไปเป็นโจรเที่ยวปล้นสะดมทั่วไป พวกพ่อค้ากลับร่ำรวยขึ้น ฝ่ายอัศวินและชาวนาเคียดแค้นมาก เมื่อการทำนาไม่ได้ผลดี ชาวนาก็พากันเข้ามาในเมืองเพื่อเป็นขอทานต่อไป ตามบ้านนอกก็มีอันตรายมาก ปราสาทและวัดวาอารามถูกเผาทั่วไป ทรัพย์สินก็ถูกทำลายและถูกโจรกรรมทั่วทุกถิ่น


เมื่อ ดร.ลูเธอร์ได้ข่าวจลาจลครั้งแรกก็เห็นใจชาวนาผู้หิวโหย แต่ต่อมาได้ทราบข่าวว่ามีการจลาจลนองเลือด ก็เคืองมาก เพราะเขาไม่ชอบการรุนแรง เขาจึงพิมพ์ใบปลิวตักเตือนพวกขุนนางให้ใช้กำลังปราบชาวนา เป็นเหตุให้ชาวนาโกรธมาก เลยกลายเป็นศรัตรูต่อลูเธอร์ และออกจากความเชื่อแบบลูเธอร์ ต่อมาเมื่อพวกขุนนางปราบปรามพวกชาวนาทารุณหนักเข้า ลูเธอร์จึงเขียนว่าปีศาจที่เคยครอบงำชาวนาได้ครอบงำฝ่ายที่มีชัยชนะแทนที่มันจะกลับไปยังนรก

มาร์ติน ลูเธอร์ถูกสันตะปาปาและพวกคาธอลิคกล่าวหาว่า เป็นผู้ก่อการจลาจลชาวนา ความจริงลูเธอร์มิได้มุ่งสิ่งอื่น นอกจากจะแก้ไขคำสอนทางศาสนาที่เขาเห็นว่าผิดพลาดเท่านั้น

แต่เนื่องจากว่าลูเธอร์ได้สังเกตเห็นพิธีเก่าๆ ของวัดกำลังจะเสื่อไปความคิดของเขาเกี่ยวกับแบบพิธีเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย เมื่อเขามาถึงวิตเตนเบิร์ก เขาไม่พอใจที่เห็นบาทหลวงและนางชีออกจากสำนักไปเป็นจำนวนมาก บางคนก็สมรสกันเองแล้วไปตั้งตัวทำมาหากินเลี้ยงชีพในเมือง ลูเธอร์จึงเห็นว่าบาทหลวงอาจสมรสและเป็นศาสตราจารย์ก็ได้ สหายของเขาศาสตราจารย์และนักปราชญ์หลายคนก็สมรส ฟิลิป เมแลนซ์ทอนก็สมรสและมีบ้านอยู่อย่างสบายในเมืองวิตเตนเบิร์ก พวกเพื่อนๆ เหล่านี้ชวนให้ลูเธอร์สมรสเสีย แนะนำสตรีที่มีเงินหลายคนให้แก่ลูเธอร์ แต่ลูเธอร์ไม่คิดถึงเรื่องนี้เลยในขณะนี้


ไม่ไกลจากเมืองกริมมาเท่าใดนัก มีสำนักนางชีที่ลูกสาวของคนร่ำรวยและขุนนางไปบวชอยู่กันเป็นเวลานานมาแล้ว เมื่อเกิดความเห็นใหม่ๆ ทางศาสนาขึ้นเช่นนี้ พวกนางชี 12 คนก็ตัดสินใจออกจากสำนัก จึงได้เขียนหมายถึง ดร.ลูเธอร์ขอความช่วยเหลือ ลูเธอร์จึงได้ให้สหายของเขาซึ่งมีหน้าที่ดูแลสำนักนางชี จัดการให้นางชีออกไปตามความประสงค์เพื่อจะได้กลับบ้าน
กุฏิดำของลูเธอร์เกือบจะร้างเพราะบาทหลวงสึกออกไปประกอบอาชีพและสมรสกันมาก
คืนวันหนึ่ง ดร.ลูเธอร์ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู จึงเปิดออกไปเห็นเกวียนคันหนึ่งมีนางชีมาด้วยกัน 9 คน ลูเธอร์ก็ประหลาดใจและจ้องมองดู
พวกชีเหล่านี้มองดู ดร.ลูเธอร์ แล้วหนึ่งจึงถามว่า “ดร.ลูเธอร์ หาที่พักอาศัยให้พวกดิฉันได้ไหมคะ พวกดิฉัน 3 คนเท่านั้นที่มีบ้านเรือน นอกนั้นไม่มี”
ลูเธอร์มิได้คิดว่าจะมีปัญหาในเรื่องเช่นนี้มาแต่ก่อน เขาจึงเปิดประตูออกและบอกว่า “ขอให้พวกเธอพักอยู่ที่นี่ก่อน แล้วจะจัดเรื่องที่อยู่ให้”
เขาจึงจัดให้นางชีพักตามกุฏิบาทหลวงที่ว่างๆ ดร.ลูเธอร์คิดใคร่ครวญในเรื่องนี้มาก เพราะพวกนางชีเหล่านี้ไม่รู้จักโลกภายนอก เขาจึงคิดหาทางช่วยเหลือ โดยเขียนจดหมายส่งไปยังสหายและญาติพี่น้องของนางชีเหล่านี้

ได้มีผู้ช่วยเหลือคือญาติมารับไปเองก็มี ให้คนมารับตัวก็มี และมีหลายคนที่ขอสมรสกับนางชี มีสหายคนหนึ่งชื่อ ลูก๊าส กรานัช และภรรยาของเขาขอรับเอานางชีไปเลี้ยงไว้ 2 คน จนกว่าจะหาที่อยู่ได้ต่อไป กรานัชเป็นศิลปินทางเขียนภาพ ได้เขียนภาพในหนังสือของลูเธอร์หลายเล่ม


ในที่สุดก็ยังมีนางชีเหลืออยู่อีกคนหนึ่งชื่อ คัธริน วอนโบรา ลูเธอร์ได้ขอร้องให้เพื่อนของเขา ซึ่งเป็นนักกฎหมาย และภรรยารับคัธรินไปเลี้ยงไว้ในบ้าน คัธรินมิใช่คนสวย แต่ว่องไวและฉลาด อยู่ต่อมา ดร.กล๊าต อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลับวิตเตนเบิร์กได้ขอให้คัธรินสมรสกับเขา ดร.แอมสดอร์ฟ ซึ่งเป็นโสดเหมือนกับมาร์ติน ลูเธอร์ ถามคัธรินว่าจะสมรสกับ ดร.กล๊าตไหม คัธรินจึงย้อนว่า
“ดิฉันจะไม่ยอมแต่งงานกับใครนอกจากคุณ หรือ ดร.ลูเธอร์เท่านั้น”


แอมสดอร์ฟเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ลูเธอร์ฟัง ลูเธอร์หัวเราะนึกว่าเป็นการพูดเล่นเท่านั้น มาร์ติน ลูเธอร์ไม่คิดที่จะสมรสเลย เพราะใครๆ จะติเตียนได้ว่าเคยเป็นบาทหลวงมาแล้ว และยิ่งไปสมรสกับสตรีที่เคยเป็นนางชีมาแล้ว จะยิ่งถูกครหามากขึ้น และจะทำให้แนวคิดทางศาสนาของตนเสื่อมไปด้วย เขารู้ดีว่าเขาควรจะยอมสละชีวิตเพื่อเชิดชูหลักความเชื่อของเขาตามแบบพระคัมภีร์ และคิดว่าชีวิตของตนเสียงอันตรายที่จะถูกเผาทั้งเป็นอยู่ทุกเวลา ฉะนั้นจะเป็นสามีที่ดีไม่ได้แน่


แต่เมื่อรู้จักกับคัธริน วอนโบรามากขึ้น ลูเธอร์จึงรู้สึกตัวว่าเข้าใจผิดมาก เขาจึงเอาเรื่องนี้ปรึกษากับบิดาผู้ซึ่งชรามากแล้ว บิดายินดีให้เขาสมรสเสีย ลูเธอร์ก็บอกกับเพื่อนเพียง 3 คนเท่านั้นว่า เขาจะสมรสและจัดพิธีอย่างง่ายๆ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1525 ตอนเย็น ลูเธอร์เสียใจมากที่ฟิลิป เมแลนซ์ทอนไม่เห็นด้วยและไม่มาร่วมพิธี
มาร์ตินและคัธรินคงอาศัยอยู่ที่กุฏิดำตามเคย เป็นตึกขนาดใหญ่ แม้บัดนี้จะไม่มีบาทหลวงอื่นอยู่ แต่ก็มีบาทหลวงบางคนเดินทางผ่านมาและพักที่นี่ เจ้าเฟรดเดอริคได้ประทานกุฏิดำหลังนี้ให้เป็นบ้านเรือนของครอบครัวมาร์ตินอยู่ อาศัยตลอดไป


....................................................................

ใต้ต้นแพร์


ครอบครัวนี้อยู่กินด้วยกันมาด้วยความผาสุก คัธรินเป็นแม่บ้านที่ดี เธอทำงานหนักและจัดเป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย ปรุงอาหารดีและเย็บเสื้อผ้าของสามี แม้เงินเดือนในฐานะเป็นศาสตราจารย์ของลูเธอร์จะน้อย แต่คัธรินเป็นคนกระเหม็ดแระแหม่ดี จึงออมทรัพย์ไว้ซื้อนาแปลงเล็กๆ ได้หนึ่งแปลง ลูเธอร์หัวเราะเยาะวิธีจัดงานของคัธริน และเรียกว่า “คุณนายคัธริน” แต่เขาก็ยิ่งรักคัธรินมากขึ้น และยินยอมให้จัดการทุกอย่าง


คัธรินมักจะดุว่าเมื่อสามีเอาเงินและอาหารให้ผู้อื่น “คุณเอาอาหารไปให้ขอทานซึ่งเป็นขโมยทำไม เพราะวานนี้ขอทานคนนี้มาขโมยเสื้อนอกของคุณไปแล้ว”
เธอจึงเอาเงินซ่อนไว้เสีย และเมื่อโกรธจัดเข้าก็ซ่อนอาหารอีกด้วย มาร์ตินจึงสัญญาว่าจะไม่ให้ใครอีก แต่ก็ลืมสัญญาเมื่อมีคนขัดสนมาขอ ถึงกับสหายคนหนึ่งได้รับจดหมายชองมาร์ตินเขียนมาว่า
“ผมส่งแจกันมาเป็นของขวัญวันสมรสของคุณ ป.ล. ภรรยาของผมซ่อนเอาไว้”

พวกเพื่อนๆ มักจะติเตียนลูเธอร์ว่าเป็นคนชอบรื่นเริง เขาชอบภาพต่างๆ ชอบดูละคร ชอบเลี้ยงอาหารดีๆ กับเพื่อนฝูงที่ถูกใจกัน ยิ่งกว่านั้นยังชอบเล่นดนตรี เช่นดีดพิณ

คัธรินเอาเด็กนักเรียนและหลานชายหลานสาวมาเลี้ยงไว้ที่กุฏิดำอีกหลายคน นอกจากนั้นก็ยังมีแขกไปมาหาสู่พักอยู่เสมอ แม้จะมีรายได้น้อยแต่ก็มีอาหารพอเพียงกันทุกวัน ซึ่งมีคนรับประทานราว 20 คน เวลารับประทานอาหาร ก็มีการสนทนากันสนุกสนาน ถึงแก่พวกนักเรียนบันถึกคำพูดของ ดร.ลูเธอร์ไว้เสมอ

บางวันลูเธอร์ก็เล่าถึงประวัติของตน และกล่าวถึงบิดามารดาว่า “ข้าพเจ้าเป็นลูกชาวนาเพราะบรรพบุรุษทำนามาตลอด บิดาต้องการให้ข้าพเจ้าเป็นนักกฎหมาย บิดาจึงไปทำงานอยู่ที่แมนส์เฟลด์เพื่อขุดถ่านหิน ส่วนข้าพเจ้ามาเป็นนักปราชญ์ ต่อมาข้าพเจ้าเป็นบาทหลวง บิดาโกรธมาก ข้าพเจ้ายั่วเย้าสันตะปาปา และสมรสกับนางชี ใครจะรู้ล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์เหล่านี้ได้”

เขามีบุตรกับคัธริน 6 คน ทำให้แฮนส์และมากาเร็ตดีใจมาก ฉะนั้นจึงตั้งชื่อบุตรคนหัวปีตามชื่อปู่ว่า “แฮนส์” ต่อมาก็อลิซาเบ็ท แมกดาลินนา มาร์ตินปอลล์ และมากาเร็ต แต่อลิซาเบ็ทตายขณะที่ยังเล็กอยู่ ส่วนแมกดาลินนาตายเมื่นอายุได้ 14 ปี ทำให้มาร์ติน และคัธรินเสียใจมาก แต่คนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ทำให้ครอบครัวนี้มีความสุข และมีเสียงร้องเพลงและสนุกสนานกันตลอดเวลา


ในฤดูร้อนเมื่อดวงอาทิตย์ตก ทั้งครอบครัวก็ไปนั่งใต้ต้นแพร์ในสวน ดร.ลูเธอร์อวดดอกไม้ที่เขาปลูกไว้ และสั่งให้แฮนส์ไล่สุนัขมิไห้มารบกวน เมื่อเล่นกีฬากับพวกเด็กๆ แล้ว ก็เอาพิณขึ้นมาดีด เด็กรู้สึกว่าสนุกสนานดี เขาได้ยินบิดาร้องเพลงที่แต่งขึ้นเองจนสุดเสียง เมื่อเห็นมารดาร้องเพลงด้วย เด็กๆ ก็ร่วมร้องด้วยเหมือนกัน ใจความของเพลงมีว่า “พระเจ้าเป็นป้อมอันแข็งแรงไม่มีอันตรายใดๆ จะทำร้ายได้”
ปอลล์จึงถามบิดาว่าป้อมนั้นเหมือนกับปราสาทวอทเบิร์กที่ไปอยู่หรือไม่
ลูเธอร์ยิ้ม แล้วจึงเล่าถึงชีวิตของเขาเมื่อตอนไปอยู่ในปราสาทหินนั้น เล่าถึงการล่าสัตว์ หิมะหนาในฤดูหนาว และเล่าชีวิตเมื่อเป็นเด็กๆ บิดามารดาต้องทำงานหนัก เพื่อหาเงินส่งเขาไปโรงเรียน
ตอนนี้ปู่และย่าของเด็กตายไปหมดแล้ว ส่วนพี่น้องของมาร์ติน ลูเธอร์ยังประกอบอาชีพอยู่ที่แมนส์เฟลด์ ดร.ลูเธอร์สัญญาว่าจะพาเด็กๆ ไปพบกับพวกลูกพี่ลูกน้องของเขา


.......................................................................

มาร์ติน ลูเธอร์ บิดาแห่งการปฏิรูปศาสนา

เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์เข้าสู่วัยชรา สุขภาพก็ทรุดโทรมลง มักเป็นโรคปวดศีรษะบ่อย ๆ นอกจากนั้นยังเสียใจที่ผู้ติดตามแบบความเชื่อของเขาถูกฆ่าตายหลายตน เพราะไม่ยอมเลิกนิกายลูเธอร์แรน แต่ ดร.ลูเธอร์ก็ยังคงทำงานต่อไปอีก เขาไปเทศนาตามเมืองต่างๆ และปาฐกถาที่มหาวิทยาลับวิตเตนเบิร์ก ไปเยี่ยมคริสตจักร์ต่างๆ เขียนจดหมายและหนังสือมากมาย แปลพระคัมภีร์เก่า และแต่งหนังสือเกี่ยวพระคัมภีร์สำเร็จ และงานเหล่านี้ก็มิได้รับเงินเดือนเลย

รายได้ของครอบครัวก็ทวีขึ้น โดยมีมิตรสหายส่งเสื้อผ้าและอาหารมาให้ นอกจากนั้นเจ้าจอห์นซึ่งเป็นผู้สืบมรดกของเจ้าเฟรดเดอริค ก็สนับสนุนมาร์ติน ลูเธอร์ทุกวิถีทาง และเป็นผู้อุปถัมภ์คริสตจักรลูเธอร์แรนด้วย

คริสตจักรลูเธอร์แรนได้แพร่ไปเพราะหนังสือและใบปลิวต่างๆ พร้อมด้วยภาพการ์ตูน เพราะลูเธอร์เขียนหนังสือออกมากมาย พวกศิลปินและผู้พิมพ์ยอมเสี่ยงชีวิตในการร่วมงานกับเขา พวกคาธอลิคพิมพ์หนังสือออกโต้แย้งกับพวกลูเธอร์แรนเหมือนกัน แต่มีจำนวนไม่มากมายนัก

ศาสนาคริสต์นิกายลูเธอร์แรนได้เป็นที่รับรองกันเป็นส่วนมากทางภาคเหนือของประเทศเยอรมนี และตามเมืองสำคัญบางแห่งในภาคใต้ เจ้าพนักงานของเมืองต่างๆ ก็ไม่ห้ามการปฏิบัติตามพิธีลูเธอร์แรนแม้ว่ากลัวจะเกิดความยุ่งยากก็ตาม

ในตอนต้นมีการสับสนกันบ้างในเรื่องคริสตจักรต่างๆ ต่อมาเจ้าผู้ปกครองแคว้นต่างๆ ตกลงกันว่าให้ประชาชนถือศาสนาตามอย่างเจ้า ถ้าเจ้าผู้ครองรัฐเป็นลูเธอร์แรน ประชาชนและบาทหลวงในเขตรัฐนั้นๆ ต้องเป็นลูเธอร์แรนทั้งหมด ถ้าใครไม่เป็นก็ให้อยู่ในเขตของพวกคาธอลิค คริสตจักรลูเธอร์แรนในทุกรัฐจึงมีเจ้าเป็นหัวหน้า และมีพวกนักปราชญ์และผู้พิพากษาเป็นผู้ดำเนินงาน


เนื่องจากสุขภาพของลูเธอร์เสื่อมโทรมลง เขาจึงไม่สามารถที่จะทำงานได้ในตอนเช้า ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาอยู่กับเด็กนักเรียนยิ่งกว่าออกไปเดินทาง แต่ก็ยังคงเทศน์และเขียนหนังสือต่อไป เมืองวิตเตนเบิร์กในขณะนี้มีผู้คนมากขึ้นเพราะต่างก็ต้องการมาฟัง ดร.ลูเธอร์พูด มีจดหมายถึงเขามากมาย แต่เขาก็พยายามตอบเองทุกฉบับ


ในเดือนมกรคม ปี ค.ศ.1546 ดร.ลูเธอร์ไปยังเมืองไอส์เลเบน ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเกิดเมื่อ 63 ปีมาแล้ว บุตรชายทั้ง 3 คนก็ไปด้วย บุตรของเขาได้เลยไปถึงแมนส์เฟลด์เพื่อเยี่ยมญาติพี่น้องตามที่ตกลงกันไว้ ส่วน ดร. ลูเธอร์คงไปพักอยู่ที่บ้านเพื่อนเก่า ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีของเมือง ในวันนั้นลมหนาวพัดมาจากภูเขาเข้ามาในเมืองไอส์เลเบน พัดถูกกระเบื้องหลังคาบ้านอย่างแรง เหมือนกับว่าจะพัดเอาศีรษะและคอและนิ้วมือให้กระเด็นออกไปจากเกวียนที่เดินทางมา ลูเธอร์ป่วยลง แต่ก็คงสามารถปฏิบัติงานที่ตั้งใจจะมาทำในเมืองไอส์เลเบนได้ และเขาพักอยู่ที่เมืองนี้อีกหลายสัปดาห์

ในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันเซนต์วาเลนไทน์ แม้จะป่วยเขาก็ยังสามารถไปเทศน์ในโบสถ์ที่เขารับศีลบัพติศมาได้ และยังเขียนจดหมายถึงคัธรินว่าจะกลับบ้านในวันที่ 18 กุมภาพันธ์

แต่กลางคืนก่อนที่จะเดินทางกลับบ้าน เขาป่วยหนัก พวกบุตรชายจึงรีบกลับจากแมนส์เฟลด์ ในขณะที่บุตรและสหายของเขายืนอยู่ที่เตียนนอน ดร. โจนาสถามว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพ ท่านมั่นใจที่จะยืนหยัดอยู่กับพระคริสต์ และหลักคำสอนที่ท่านเทศนาหรือ”

มาร์ติน ลูเธอร์ลืมตาขึ้นและกล่าวด้วยเสียงดังว่า “ครับ” ต่อมาสักครู่ก็สิ้นลมหายใจ เขาได้จัดการฝังศพของท่านไว้ที่โบสถ์ปราสาทวิตเตนเบิร์ก ใกล้กับผู้คุ้มครองชีวิตท่านคือศพของเจ้าเฟรดเดอริค มีคนมาร่วมฝังศพมากมาย

ในเมืองเงียบเหงา ทุกคนพูดถึงท่านลูเธอร์ทั่วทุกเมืองในประเทศเยอรมนี พูดถึงท่านทั้งในทางดีและไม่ดี ทั้งพวกลูเธอร์แรนและพวกคาทอลิค แต่ทุกคนยอมรับว่าท่านเป็นคนกล้าหาญ ที่สามารถติเตียนการกระทำและความเชื่อของทางศาสนาที่ท่านเห็นว่าผิด พวกคาธอลิคว่าลูเธอร์ทำบาป เพราะไปแต่งงานกับหญิงที่เคยเป็นนางชีมาก่อน

แต่คนเยอรมนีส่วนมากเห็นว่านักบวชมีครอบครัวได้ และครอบครัวของนักบวชเป็นตัวอย่างแห่งพลเมืองดี บิดามารดาของเด็กอื่นๆ ใช้คำถามคำตอบทางศาสนาสอนเด็กของตน และร้องเพลงที่ลูเธอร์แต่งขึ้น ครอบครัวส่วนมากก็อ่านคัมภีร์ของที่ลูเธอร์แปลสู่กันฟังทุกวันในครอบครัวของตน ทำให้ภาษาเยอรมนีก้าวหน้ามากขึ้น ดังนั้นมาร์ติน ลูเธอร์จึงได้รับฉายานามว่า “บิดาแห่งการปฏิรูปทางศาสนา” และเป็นผู้ตั้งนิกายโปรเตสแตนท์ขึ้นในโลก..
........................................................................

เรื่องราวชีวะประวัติและประวัติศาสตร์ของท่านลูเธอทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อในอดีต มิได้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ระหว่าง นิกายคาธอลิก กับ นิกายโปรแตสแต้นท์ ในปัจจุบัน ครับ

พระเจ้าอวยพระพรครับ


Create Date : 21 มกราคม 2551
Last Update : 21 มกราคม 2551 15:52:17 น. 19 comments
Counter : 4437 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: - IP: 117.47.26.244 วันที่: 27 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:32:58 น.  

 
 
 
อาเมน ....
เชื่อ และ ศรัทธาในพระเจ้า ...
 
 

โดย: Scremo_Death_NiM IP: 124.120.36.170 วันที่: 23 กรกฎาคม 2551 เวลา:1:15:04 น.  

 
 
 
เราเชื่อ และนมัสการพระเจ้า มิใช่มนุษย์

การกระทำทุกสิ่งจึงเปนเพื่อการสรรเสริญพระเจ้า

อาเมน
 
 

โดย: Absolute Zero IP: 124.122.134.181 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:53:27 น.  

 
 
 
รักและศรัทธาท่านมาร์ติน ลูเธอร์ เสมอครับ
ว่าแต่..
เจ้าของบล็อคบอกหน่อยว่า นิกาย ลูเธอร์รัน กับโปรแตสแตนท์นี่ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร????
 
 

โดย: f IP: 202.149.25.234 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:34:05 น.  

 
 
 
พระเยซูเป็นทางเดียว
 
 

โดย: toey IP: 202.176.100.109 วันที่: 6 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:51:47 น.  

 
 
 
ผมมีความเชื่อแล้วแต่ยังไม่ได้ไปรับเชื่อที่โบสถ์

แล้วอีกไม่นานนี้ผมยังต้องบวชให้พ่อให้แม่อีก

หนักใจ. . . . . . . . . . . . . .ไม่อยากบวช

เชื่อในพระเยซูไปแล้ว

บวชไปจะบาปไหม

พระองค์จะยกโทษให้ผมไหม

ทำไมชีวิตผมโดนแต่บังคับให้ทำนู่นทำนี้

ขอพระองค์ทรงมองมาที่ผมซักที่

. . . . . . . ขอแค่ระบายแค่นั้นจะหาว่าบ้าก็ได้. . . . . .

พระเจ้าคุ้มครองทุกคนนะ. . . . . . . . . .
 
 

โดย: คนบาป IP: 58.64.91.242 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:2:42:53 น.  

 
 
 
เราเป็นคริสตชนคณะลูเธอร์แรนที่เชื่อพระเยซูตามศาสนศาสตร์ของท่านลูเธอร์อย่างเหนียวแน่น(จะเรียกว่าจ๋าเลยก็ว่าได้) แต่ในขณะเดียวกันเรายก็อมรับผู้เชื่อทุกคณะนิกายที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นทางรอดทางเดียวของมนุษย์ในฐานะเป็นพี่น้องร่วมอาณาจักรสวรรค์และพร้อมที่จะสนับสนุนงานคริสตสัมพันธ์ในกลุ่มเหล่านี้อย่างเต็มที่

พระเจ้าอวยพระพรค่ะ
 
 

โดย: Deo Gratias IP: 124.120.34.192 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:3:39:19 น.  

 
 
 
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ
 
 

โดย: ArMChrisTian IP: 118.173.174.96 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:21:11:47 น.  

 
 
 
พระเจ้าทรงมองที่เจตนา ถ้าคุณต้องบวชเพื่อครอบครัว พระเจ้าทรงเข้าใจ เพราะว่าคุณไม่ได้มีใจให้ต่อการบวชนั้น ส่วนเรื่องรับเชื่อก็เช่นกัน ถ้าเชื่อจริง..คุณอธิฐานรับเชื่อกับพระเจ้าโดยตรงในห้องนอนก็ได้
 
 

โดย: ywh IP: 124.122.165.102 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:53:49 น.  

 
 
 
ฮาเลลูยา ขอพระเจ้า อวยพร
 
 

โดย: ly shing IP: 10.10.11.54, 58.147.9.197 วันที่: 28 มิถุนายน 2553 เวลา:13:52:49 น.  

 
 
 
อย่าบวชเลยครับผมว่ารองหาทางคุยกลับท่านตรงๆๆดีกว่าครับ
ก็เหมือนกับบวชแต่ไม่นับถือก็ไม่ดีนะครับเพราะก็ไม่ดีกลับพุทธเหมือนกันนะครับ.....จงทำก็เขาเหมือนที่อยากให้เขาทำกลับเรานะครับ

 
 

โดย: no name IP: 124.122.49.16 วันที่: 4 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:17:12 น.  

 
 
 
ว้าว พี่น้อง คริสเตียน เยอะแยะเลย ^^

ว่าแต่อยู่โบสไหนกันมั่งอิอิ

ฮาเลลูยา ฮาเลลูยา

พระเจ้าอวยพรครับ
 
 

โดย: NGM_NINE_Love_Jesus IP: 124.157.224.209 วันที่: 23 กรกฎาคม 2553 เวลา:18:56:35 น.  

 
 
 
ดีใจสำหรับบทเดียวที่ได้อ่านเสร็จอีกตอนหนึ่งทำให้รู้ว่าพระองค์ยังทำการอัศจรรย์ตลอดเวราเพื่อปกป้องคนของพระองค์ไม่มีสันติสุขที่ใดที่จะเปรียบกับพระองค์ได้
 
 

โดย: อ็อด IP: 111.84.183.169 วันที่: 28 ตุลาคม 2553 เวลา:16:11:30 น.  

 
 
 
คะ ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งคะที่เป็นคริสต์เตียน พึ่งรับเชื่อได้ประมาณ 2 เดือนคะ แต่ก็ได้เข้าใจอะไรมากมายเลยนะคะ อ่านพระคัมภีร์แล้วติดคะ ยิ่งกว่าอ่านนิยายชาวโลกอีกคะ พี่น้องที่โบสถ์น่ารักกันทุกคนเลยคะ ทำให้รู้สึกอบอุ่นมากคะ ที่ผ่านมาก็เคยบวชชีพรามห์ของพุทธ ทำทุกอย่างแต่ก็ไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่พอมาทางนี้รู้สึกว่ามีสันติสุขมากๆเลยคะ ความเชื่อนี้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตข้าพเจ้าได้จริงๆคะ ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่านที่อ่านคะ
 
 

โดย: ตูน IP: 110.49.95.132 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2553 เวลา:2:07:59 น.  

 
 
 
ทุกศาสนาก็ดีเหมือนกันหมด สอนให้ศาสนิกชนเป็นคนดี การเป็นคนดีอย่างหนึ่งก็คือการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ทำสิ่งที่ท่านประสงค์ก็ขึ้นชื่อว่ากตัญญูแล้ว ทำดีในศาสนาใดก็ดีทั้งนั้นไม่ผิด แต่ทำชั่วศาสนาใหนๆ ก็ผิดครับ
 
 

โดย: คนไท IP: 115.87.190.20 วันที่: 4 ธันวาคม 2553 เวลา:9:27:24 น.  

 
 
 
ผิดแล้วศาสนาคริสต์สอนว่าคนทำดีไม่ได้(มาตรฐานของพระเจ้า)จำเป็นต้องให้พระเยซูคริสต์มาตายเพื่อเรา เราจำเป็นต้องพึ่งองค์พระวิญญาณบริสุทร์ในการทำการดีทุกอย่าง เพื่อที่เราจะไม่อวดได้
 
 

โดย: คนบาปมาก IP: 119.42.96.189 วันที่: 14 ธันวาคม 2554 เวลา:20:40:57 น.  

 
 
 
ทุกศาสนาสอนให้เปนคนดีรักคนอื่นมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ทุกศาสนาดีหมดเเต่อยู่ว่าที่ศาสนิกจะประติบัตดีตามหรือไม่เ่ท่านั้นเอง
 
 

โดย: พุทธสติ IP: 58.11.231.92 วันที่: 23 ธันวาคม 2554 เวลา:17:24:19 น.  

 
 
 
ทุกที่ย่อมมีทุกเเละมีสุขประปนกันไปวันนี้คุนทุกเเต่คุนไม่มีวันทุกตลอดหรอกนะทุกอย่างมีทางออกรักผิดหวังก้อทุกข์อยากได้เเต่ไม่ได้ก้อทุกข์ฝันเเร้วไม่ได้ก้อทุกข์เเต่คุนควรมีความหวังพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าคิดว่าเราทัมไม่ได้ถ้าเรายังไม่ด้ายทัมคุนทัมมันเตมที่รึยังทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวคุนจงเปนเเสงสว่างให้ตัวคุนเองคุนคือคนที่ทำให้ตัวคุนรอด
 
 

โดย: พุทธสติ IP: 58.11.231.92 วันที่: 23 ธันวาคม 2554 เวลา:17:36:08 น.  

 
 
 
บรรดาผู้ที่ทำให้พี่น้องเจ็บช้ำน้ำใจ ท่านจงเตรียมคำตอบของท่าน ต่อหน้าพระพักตร์ในวันที่เสียงแตรดัง ไว้ให้ดี
ในโมงยามที่ท่านไม่คาดฝัน พระองค์จะเสด็จมา
พิพากษาชนทุกชาติ
 
 

โดย: mahanaim IP: 49.49.11.129 วันที่: 18 กรกฎาคม 2555 เวลา:3:22:57 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ศรัทธาพลัง
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า `ตาแทนตา และฟันแทนฟัน'
ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย
ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาลเพื่อจะริบเอาเสื้อของท่าน ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาด้วย
ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร
ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่านก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน
ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า `จงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู'
ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน จงอวยพรแก่ผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน
จงทำดังนี้เพื่อท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์
[Add ศรัทธาพลัง's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com