...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
17 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 

เธอมาเพื่อช่วยพ่อ ๕

นวนิยายจากเรื่องจริง
เธอมาเพื่อช่วยพ่อ
5


(ภาพแรกทำไมไม่แสดงผลละครับ)


“ มีคนไปบอกผมว่า ลูกสาวนายเทียบถูกผีเข้าสิง ”
ผู้ใหญ่เริญ เอ่ยขึ้นกับ ครูแสวง หลังการมาขอพบในเช้าวันนั้น ครั้นเห็นว่าครูแสวงยังนิ่งอึ้งอยู่ ผู้ใหญ่เริญจึงลำดับความต่อไป

“ ครูใหญ่ปล่อยให้เด็กถูกผีเข้าสิงอยู่ในโรงเรียนได้อย่างไร หากเกิดอันตรายขึ้นกับเด็กคนอื่น ๆ ใครจะรับผิดชอบ ผมว่าครูใหญ่ต้องรีบจัดการเรื่องนี้ ”

“ ลูกคุณเทียบคนไหนกันที่ผู้ใหญ่ว่าถูกผีเข้า ผมยังไม่รู้เรื่องเลย ” ครูแสวงรู้ว่าผู้ใหญ่ตัวแสบหมายถึงใคร แต่ทำเป็นไม่รู้เสีย เพราะไม่อยากรำคาญ

“ ลูกนายเทียบคนที่อยู่ ป.5 เขาว่ามันเป็นมาลาเรียขึ้นสมอง ตัวจริงของมันตายไปนานแล้ว แต่มีผีมาเข้าสิงจึงทำให้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีก ผมเห็นว่าครูใหญ่เอาไว้ไม่ได้นะเด็กแบบนี้ ควรจะให้มันออกไปเสียจากโรงเรียน ก่อนที่จะก่ออันตรายกับเด็กคนอื่น ”

“ อ๋อ...นงเยาว์นะเอง ผู้ใหญ่ไปรู้มาจากไหนว่าแกถูกผีเข้า แกเป็นเด็กธรรมดา ๆ นี่เอง เพียงแต่ว่าหลังจากหายป่วยมา กลับเรียนหนังสือฉลาดขึ้นกว่าเดิม ” ครูแสวงชี้แจง

“ นั่นแหละ ๆ ผีมันมาเข้า ก็ตัวมันจริง ๆ เมื่อก่อนไม่ใช่อย่างนี้นี่ ” ผู้ใหญ่เริญได้โอกาสเป็นข้ออ้างทันที

“ คนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามจังหวะวัยและเวลา เด็กคนนี้อาจจะเคยเรียนหนังสือไม่ดีมาก่อน แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองไม่ได้ แกอาจจะไปได้รับการบำบัดทางยามา หรือไม่ก็การป่วยอาจจะทำให้คนเราเปลี่ยนพฤติกรรมได้เหมือนกัน ทั้งพฤติกรรมที่ดีขึ้นและเลวลง

"สำหรับเด็กหญิงนงเยาว์ พฤติกรรมของแกกลับดีขึ้น ผมไม่เชื่อเรื่องผีเข้าผีออกอะไรหรอก เหลวไหล ยุคนี้มันยุควิทยาศาสตร์ ” ครูใหญ่แสวงตัดบท

“ หมายความว่าครูไม่เชื่อ ” ผู้ใหญ่เริญจ้องหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

“ ครับ ! ไม่เชื่อ และขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ด้วย ผมสังเกตอยู่ตลอดเวลา แกไม่มีอะไรที่จะแสดงให้เห็นว่าจะก่อหรือสร้างปัญหาให้กับเด็กอื่นเลย ”

“ แต่ผมต้องจัดการ ในฐานะที่ผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน รับผิดชอบสวัสดีภาพของคนทั้งหมู่บ้าน ”ผู้ใหญ่เริญยิ่งแสดงอาการไม่พอใจ

“ ผู้ใหญ่จะทำอย่างไรกับแก ? ” ครูแสวงเสียงอ่อนลง

“ ผมจะเอาหมอผีมาขับไล่วิญญาณร้ายออก ” ผู้ใหญ่เริญโพล่งออกมา

“ ไล่วิญญาณร้าย ที่ว่าร้ายนะร้ายยังไง ? ” ครูใหญ่คาดคั้น

“ หลายอย่าง มันพูดภาษากลาง ไม่พูดภาษาใต้ มันกินอาหารแบบพื้นบ้านเราไม่ได้ มันไม่ยอมสวมเสื้อผ้าชุดเก่าที่เคยสวม มัน... ” ผู้ใหญ่อันธพาลพยายามยกเหตุผล

“ฮะฮ้า...นั่นหรือที่เรียกว่าร้าย” ครูใหญ่แสวงหัวเราะลั่น และพูดต่อไปว่า

“แต่ที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้บางคนเดือดร้อนต้องวิ่งไปหาผู้ใหญ่ คือการที่เด็กนงเยาว์นี่เรียนเก่งกว่าเดิมใช่ไหม ? ” ครูแสวงดักคอยิ้มปนหัวเราะเพราะพอจะรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุเรื่องนี้

“ อันนั้นก็เป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อก่อนเด็กคนนี้โง่ เซ่อ ยังกะเด็กปัญญาอ่อน” ผู้ใหญ่เริญพยักหน้ายอมรับ

“ งั้นผมขอพูดกับผู้ใหญ่ไว้ในที่ตรงนี้เลย ผมขอไว้อย่างหนึ่งว่าทำอย่างไรก็ได้ แต่อย่าให้เด็กคนนี้ต้องถึงเจ็บหรือตาย เพราะเด็กคนนี้แกมีชีวิตอยู่ ทางเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยเฉพาะตำรวจ จะไม่ยอมรับรู้เป็นอันขาดว่า มีวิญญาณหรือผีตนใดมาอาศัยร่างมนุษย์อยู่

“และถ้าจะพูดกันโดยอาศัยสัจจะความจริง มนุษย์เราทุกคนก็ล้วนมีร่างที่ไม่ใช่ของตนเอง เราอาศัยร่างของคนอื่นที่ให้เรามาทั้งนั้น ร่างกายของเราเป็นของธรรมชาติ หรือของพ่อแม่ให้มา วิญญาณที่อาศัยร่างเท่านั้นคือของเรา

"เราทุกคนต่างเป็นวิญญาณมาอาศัยร่างกายอยู่ทั้งนั้น และวิญญาณที่มาเป็นเจ้าของจับจองร่าง ก็มีทั้งวิญญาณร้ายและวิญญาณดี

“ไอ้พวกที่สร้างปัญหาให้กับสังคม ไอ้พวกที่ทำแต่สิ่งทุจริตคิดร้าย คอยเบียดเบียนข่มเหงผู้อื่น คอยกลั่นแกล้ง รังแก เอาเปรียบผู้ที่ด้อยกว่า อ่อนแอกว่า พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นวิญญาณร้ายทั้งนั้น ผู้ใหญ่น่าจะคิดหาทางกำจัด วิญญาณร้ายพวกนี้ด้วย”

ครูใหญ่แสวงย้อนให้อย่างมีแง่คิด และหัวเราะเหมือนจะเยาะใครสักคน แต่ผู้ใหญ่เริญกลับเสทำเป็นไม่รู้เรื่อง โดยพูดว่า

“ ครูพูดเรื่องอะไร ผมไม่เห็นเข้าใจ ”

“ ผมว่าผู้ใหญ่เข้าใจ แต่ทำเป็นไม่เข้าใจ ” ครูแสวงจ้องหน้า
ผู้ใหญ่อันธพาลสบตา แล้วเมินไปทางอื่น

“แต่ผมขอยืนยันอีกครั้ง ผู้ใหญ่จะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ขออย่างเดียวอย่าทำให้เด็กหญิงคนนี้เจ็บหรือตาย” ครูใหญ่แสวงเน้นย้ำอีกเป็นคำสุดท้าย

00000
เย็นวันนั้น เมื่อผู้ใหญ่ตัวแสบกลับมาถึงบ้าน และถูกคุณกาญจนาแม่ของเด็กหญิงกานดาถามว่า

“พี่เริญไปพูดกับครูใหญ่ ครูใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง ? ”

“ ครูใหญ่...นั่นมันปกป้องลูกสาวไอ้เทียบ มันไม่ยอมรับว่าลูกสาวไอ้เทียบถูกผีสิง มันยังว่าอีกว่า ถ้าลูกของไอ้เทียบมีวิญญาณอื่นเข้าสิง คนทุกคนก็ต้องมีผีสิงกันอยู่ทุกคน เพราะผีก็คือวิญญาณ

"เราทุกคนต้องมีวิญญาณ ถ้าไม่มีวิญญาณเราก็ต้องตายไปแล้ว มันให้กำจัดพวกวิญญาณคนที่ทำชั่ว คดโกง ดีกว่าจะไปคิดไล่วิญญาณในตัวลูกสาวไอ้เทียบ

"มันด่าพี่กลาย ๆ มันว่า ถ้าทำให้เด็กนงเยาว์นั่นเจ็บหรือตาย มันจะแจ้งตำรวจ พี่ว่าไอ้ครูใหญ่คนนี้เห็นท่าจะเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว”

“เอาลูกปืนไปยัดปาก ล้างปากเสีย ๆ มันสักนัดสองนัดดีไหมพี่ผู้ใหญ่ ผมจัดการเอง ” สมุนบริวารคนหนึ่งรับอาสา

“ เฮ้ย ! ยังไม่ต้องเว้ย ข้ากำลังคิดจัดการของข้าเอง คนอย่างข้าทำอะไรต้องแนบเนียน” ผู้ใหญ่เริญรีบห้ามลูกน้อง

“ พี่จะทำอย่างไรต่อไป พี่จะวางมือไม่ได้นะ ไม่เห็นกับน้องก็ขอให้เห็นกับหลาน มันเคยสอบได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด แต่กลับต้องมาแพ้ไอ้เด็กผีสิง พี่คิดดูซิ มันเสียศักดิ์ศรีขนาดไหน ” คุณกาญจนากล่าว

“ รับรองน่า พี่จะต้องจัดการกับเด็กคนนี้ให้ได้ พี่จะลองไปปรึกษากำนันพลอีกคน กำนันพลแกรู้จักหมอผีดี ๆ มีชื่อเสียงหลายคน พี่จะให้แกจัดการให้ ”

000000




(ภาพหมู่จากซ้ายคนที่ ๔ คือผู้เขียน- ภาพที่ ๒ ผู้เขียนคือภาพแรก)


“ พัฒนา คุณลองอ่านสำนวนเรียงความเรื่อง “ชีวิตในความฝันของข้าพเจ้า” เรื่องนี้ดูซี ผมอ่านแล้วขนลุกชันไปหมด” ครูวิชิต ครูสอนภาษาไทยกล่าวขึ้นกับครูพัฒนา

“เรียงความของใครน่ะ ใครเขียน ? ” ครูพัฒนาถาม แล้วรับแผ่นกระดาษ 2-3 แผ่นจากมือครูวิชิตไปอ่านดู

“คุณอ่านเสร็จก่อนแล้วผมจะบอก แต่ผมว่าคุณคงเดาได้เมื่ออ่านจบ ว่าสำนวนเรียงความสำนวนนี้เป็นของใคร ” ครูวิชิตพูด

ครูพัฒนาจึงอ่านทันที...

“ฉันชื่อ ดาริกา บ้านฉันอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 40 – 50 ปี มาแล้ว ฉันจำเลขที่บ้านไม่ได้ แต่จำได้ว่าอยู่ในซอยกล้วยน้ำไท ถนนสุขุมวิท เขตอำเภอพระโขนง พ่อฉันเป็นนายพลชื่อ พลโทดำรงฤทธิ์ ชาญเชิงรบ แม่ของฉันชื่อ ดาเรศ

บ้านของฉันเป็นตึกใหญ่สองชั้น ปลูกอยู่ในเนื้อที่กว้างหลายไร่ มีสนามหญ้าเรียบ มีไม้ดอกไม้ประดับ มีสวนหย่อม มีน้ำตกจำลอง มีน้ำพุ มีต้นมะม่วง ชมพู่ และมะพร้าวต้นเตี้ย ๆ ลูกดกอยู่รายรอบกำแพงบ้าน

ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อและแม่ ปกติฉันอยู่กับคนรับใช้ในบ้านเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เพราะพ่อไปทำงานในกรมทหาร แม่ไปทำงานที่สมาคมสงเคราะห์แห่งหนึ่ง

วันหนึ่ง ตอนฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ฉันได้ขออนุญาตพ่อกับแม่เดินทางไปล่องแพที่แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และคงเป็นเคราะห์กรรมของฉันที่ทำไว้แต่ปางก่อนยังไม่สิ้น แพที่ฉันกับเพื่อน ๆ 8-9 คนล่องกันมา ได้ชนเข้ากับแก่งหินกลางน้ำ โดยที่คนคัดท้ายแพคัดไม่ทัน ฉันนั่งอยู่หัวแพจึงกระเด็นตกน้ำ แล้วฉันก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

ฉันมาจำความได้บ้างอีกครั้ง ตอนฉันอยู่กับเทพธิดาอัปสรสวรรค์ เป็นนางกำนัลคอยรับใช้ใกล้ชิดเทพธิดาอัปสรสวรรค์

วิมานของเทพธิดาอัปสรสวรรค์ เป็นวิมานและสวนสวรรค์ที่คอยรองรับวิญญาณของผู้กระทำความดี มีอาณาเขตบริเวณกว้างขวางสวยงาม ด้วยมวลไม้ดอกหลากสี ไม้ผลนานาพันธุ์ มีสนามหญ้าเขียวขจี มีน้ำตกไหลลงมาจากยอดเขา มีแอ่งน้ำใหญ่กลางสวน ซึ่งเป็นที่สรงน้ำขององค์เทพธิดาอัปสรสวรรค์

ฉันมีเพื่อนซึ่งเป็นนางกำนัลด้วยกันอยู่อีกคนหนึ่ง ชื่อ ศิริกัลยา ทุกวันฉันกับศิริกัลยาจะต้องคอยปฏิบัติตามคำสั่งของเทพธิดาอัปสรสวรรค์ มีอุบัติเหตุ มีรถชนกันที่ไหน ถ้าวิญญาณดวงนั้นเป็นผู้กระทำความดี ฉันกับศิริกัลยา ก็จะนำวิญญาณไปเฝ้าเทพธิดาอัปสรสวรรค์ แล้วเราก็จะได้เพื่อนชาวสวรรค์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน

แต่พอไม่นาน เพื่อน ๆ ของฉันก็ต้องจากวิมานสวรรค์ของเทพธิดาอัปสรสวรรค์ไป เพราะเขาหมดบุญ สำหรับฉันยังไม่หมดบุญในสวรรค์ แต่ฉันมีหนี้กรรมที่จะต้องคอยตอบแทนบุญคุณของชายคนหนึ่ง ที่เขาเคยช่วยเหลือฉัน

ชาติหนึ่งฉันเคยเป็นนกกระยาง ขณะที่ฉันเที่ยวหาจับปลาที่ตายแล้วกินอยู่ตามท้องนา ฉันได้เผลอกลืนเบ็ดที่เด็กชาวนาคนหนึ่งเกี่ยวดักนกไว้ ฉันติดเบ็ดจนได้รับความทุกข์ทรมานมาก

ก็พอดีมีชายชาวนาคนหนึ่งออกมาพบฉันเข้า เขาจึงช่วยตัดสายเบ็ด และช่วยตัดเงี่ยงเบ็ดที่เกี่ยวปากของฉันออก แล้วเขานำฉันไปรักษาที่บ้าน โดยขังฉันไว้ในกรง รอว่าเมื่อฉันหายดีแล้วจะปล่อยไป

แต่ลูกสาวกับภรรยาใจร้ายของเขาไม่ยอมปล่อยฉัน คอยจะจับฉันฆ่าแกงเป็นอาหาร เพียงรอวันให้ฉันหายป่วยและแข็งแรงดีเสียก่อน แต่แล้วฉันก็รอดมาได้อีกหนหนึ่ง เมื่อลูกชายคนโตของชาวนาได้แอบปล่อยให้ฉันรอดชีวิตมา โดยโกหกกับแม่และน้องสาวของเขาว่า ฉันได้หนีรอดไปเอง

มาบัดนี้เขาต้องสูญเสียลูกสาวของเขาไป ฉันจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะทดแทนบุญคุณของเขา ฉันจึงลงมาจากฟ้าเพื่อช่วยเหลือเขาสักระยะหนึ่ง แล้วฉันก็จะไป...”

ครูพัฒนาอ่านเรื่องจบ ก็เงยหน้าขึ้นมองครูวิชิต

“ แต่งได้เก่งราวกับนักเขียนอาชีพ ” ครูพัฒนากล่าวขึ้น

“ แล้วคุณคิดว่าใครล่ะ ที่จะแต่งเรื่องได้ขนาดนี้ ?... ” ครูวิชิตถามยิ้ม ๆ

“ จะมีใครอีก นอกจากนงเยาว์ จิโนเวทย์ ลูกสาวคนใหม่ของคุณเทียบ ” ครูพัฒนากล่าวอย่างมั่นใจ

“ ทำไมคุณถึงว่านงเยาว์ เป็นลูกสาวคนใหม่ของคุณเทียบ ” ครูวิชิตถามเสียงเข้ม

“ ก็แกแปลี่ยนแปลงไปจากเดิมราวฟ้ากับดิน จะไม่เรียกว่าลูกสาวคนใหม่ได้อย่างไร ” ครูพัฒนาตอบขรึม ๆ

“งั้นเรื่องที่ว่า...นงเยาว์คนเก่าตายไปแล้วและมีวิญญาณดวงใหม่เข้ามาแทน...คุณเชื่อหรือ ?” ครูวิชิตถามต่อ

“ ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มันก้ำ ๆ กึ่ง ๆ กันอยู่ สมัยนี้มันสมัยวิทยาศาสตร์ แต่จะปฏิเสธทีเดียวก็ไม่ได้ ต้องดู ๆ ไปก่อน ” ครูพัฒนาตอบแบ่งรับแบ่งสู้

“ ตอนนี้มีคนกล่าวขานเรื่องนี้กันไปทั่ว หนังสือพิมพ์บางฉบับจะมาขอสัมภาษณ์ครูใหญ่ และจะขอสัมภาษณ์นงเยาว์ ไม่รู้ว่าแกจะยอมบอกเล่า แก่นักหนังสือพิมพ์หรือเปล่า เขาจะมาสัมภาษณ์วันพรุ่งนี้ที่โรงเรียน ” ครูวิชิตรำพึง

“ หนังสือพิมพ์อะไรหรือครับ ?”

“นักข่าวไทยรัตถา มาจากกรุงเทพฯ”

“ทำไมเขารู้ ?”

“สงสัยนักข่าวประจำท้องถิ่นรายงานไป เขาอยากได้ข่าวเจาะละเอียด ที่เรียกว่าสกู๊ปจึงจะมาดู”

“งั้นเรื่องของนงเยาว์ก็เห็นท่าจะไปกันใหญ่ ผมชักเป็นห่วงนงเยาว์เสียแล้ว” ครูพัฒนารู้สึกกังวล ในฐานะที่เป็นครูประจำชั้น

“ใช่ ! ผมว่าน่าเป็นห่วง เรื่องจะเล่าลือกันไปทั่วประเทศจนส่งผลร้ายแก่นงเยาว์ และในบ้านเรานี่ก็มีคนคิดจะกำจัดนงเยาว์อยู่ สาเหตุเพราะแกเรียนเก่งจนไปทำลายสถิติเดิมของนักเรียนที่เคยเรียนเก่งอยู่ก่อน” ครูวิชิตเล่า

“ใครนะคิดอิจฉาแม้กระทั่งการเรียนของเด็ก” ครูพัฒนาถามหน้าตาตื่น

“ผู้ใหญ่เริญ ลุงของเด็กหญิงกานดา”

“เขาจะทำอย่างไร ?”

“เขาว่าเด็กหญิงนงเยาว์ผีเข้า เขาจะให้หมอผีมาไล่ เขามาปรึกษากับครูใหญ่”

“แล้วครูใหญ่ว่าอย่างไร ?”

“ครูใหญ่ว่าเหน็บแนมกลับไป และครูใหญ่ยังขู่ไปด้วยว่าถ้าใครมาทำให้นงเยาว์เดือดร้อนแม้แต่นิดเดียว แกจะแจ้งตำรวจจับ แกไม่รับรู้เรื่องวิญโญงวิญญาณ ผีเข้าผีออกอะไรทั้งนั้น

"แกถือว่านงเยาว์ยังเป็นเด็กปกติ เป็นเด็กดีที่เรียนเก่ง เฉลียวฉลาด เป็นเด็กที่ทางโรงเรียนต้องปกป้องและส่งเสริม”

“แต่พวกผู้ใหญ่เริญ เป็นพวกอันธพาลนะ ใช้อำนาจอิทธิพลข่มขู่ชาวบ้านจนได้เป็นผู้ใหญ่ ไม่มีใครกล้าหือ มันถือว่าเป็นลูกน้องกำนันพล กำนันพลชั่วแค่ไหน ใคร ๆ ก็รู้กันทั่ว

"แต่ใครหน้าไหนที่จะกล้าขัดใจและขัดขวางทางกำนันพล ผมว่าดีไม่ดีครูใหญ่จะได้รับอันตราย” ครูพัฒนาให้ความเห็น

“ แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร ในฐานะที่คุณเป็นครูประจำชั้น คุณรู้ว่ามีผู้คิดร้ายแก่เด็ก แก่ลูกศิษย์ซึ่งเป็นเด็กดีที่ไม่มีความผิดแถมยังเรียนเก่ง คุณไม่คิดทำอะไรเพื่อช่วยแกบ้างหรือ ” ครูวิชิตถาม

ครูพัฒนาอึ้งไปครู่ใหญ่ ๆ ก็ตอบว่า

“ผมก็บอกไม่ถูก ผมเองก็ไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไรจะไปต้านอำนาจของคนพวกนี้ ลำพังตัวผมเอง ถ้าไปมีเรื่องกับเขาก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร นอกจากย้ายหนี จะให้ทำอย่างไร เรามีแต่ไม้เรียวกับชอล์ก ขู่เด็กได้ แต่ขู่ผู้ใหญ่ไม่ได้ ก็คงต้องพึ่งทางบ้านเมือง พึ่งเจ้าหน้าที่

“แต่ผมว่าคนอย่าง ครูใหญ่ แกก็มีพวกพ้อง มีคนนับหน้าถือตามีลูกศิษย์ลูกหามากมายไม่ใช่เล่น ที่เป็นระดับนายร้อยนายพันก็มี ผมว่าครูใหญ่คงซัดกับคนเลวพวกนี้ได้ อย่างไม่เป็นรองสักเท่าใดเชื่อเถอะ

"คนอย่างครูใหญ่เป็นคนยุติธรรม แล้วก็ไม่กลัวพวกคนพาล ผมว่าเราดูไปเฉย ๆ หรือไม่ก็คอยให้ความร่วมมือกับครูใหญ่ดีกว่า ครูใหญ่ท่านเป็นคนที่นี่มาแต่ดั้งแต่เดิม ท่านซัดกับพวกมันได้แน่ ๆ ลองว่าท่านตั้งใจปกป้องนงเยาว์แล้ว “ ครูซิต กล่าวสรุป

000000

นักข่าวมาที่โรงเรียนบ้านศาลาบางปู(โรงเรียนวัดวิสุทธิยาราม) เพื่อสัมภาษณ์เด็กหญิงนงเยาว์ และครูใหญ่ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งลำพักนักข่าวภูมิภาค นักข่าวจากกรุงเทพฯ และตากล้อง ๒- ๓ คนที่ยกกันมา ครูใหญ่มิได้รังเกียจเลย

แต่ที่ทำให้ ครูใหญ่แสวง สุริยะพันธุ์ ต้องมีอารมณ์ขุ่นมัวและขุ่นใจในทันที่ที่เห็นหน้าก็คือ ผู้ใหญ่เริญ ปานเอี่ยม และ กำนันพล ดวงสมพงษ์ที่มาด้วย เพราะรู้ล่วงหน้าได้ว่า ทรชนในคราบนักปกครองสองคนนี้ จะมาทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายภายในโรงเรียน

ครูใหญ่รับไหว้บุคคลที่มาทั้งหมดโดยมารยาท แล้วเชื้อเชิญให้นั่ง โดยเรียกนักเรียนให้ยกเก้าอี้ที่ว่างอยู่ มาวางหน้าโต๊ะที่ตนนั่งทำงาน เพราะโรงเรียนไม่มีห้องและชุดรับแขกที่จัดไว้โดยเฉพาะ

“ผมอยากพบเด็กหญิงนงเยาว์ จิโนเวทย์ “ นักข่าวหนังสือพิมพ์(ตอนนั้นยังไม่มีทีวี)จากกรุงเทพฯเริ่มเรื่อง

ครูพัฒนาที่ยืนมองดูอยู่ไม่ห่าง จึงรีบเดินไปจูงมือเด็กหญิงนงเยาว์มาหาครูใหญ่ แล้วครูใหญ่ก็สั่งให้เด็กอีกคนยกเก้าอี้มาวาง แล้วบอกให้เด็กหญิงนงเยาว์นั่งลง

เด็กหญิงนงเยาว์นั่งลงโดยมิได้มีอาการประหม่า หรือหวั่นไหวใด ๆ อย่างที่เด็กบ้านนอกบ้านนาคนหนึ่งควรจะเป็น

“ผมขออนุญาตท่านอาจารย์ใหญ่ ขอสัมภาษณ์เด็ก ณ บัดนี้เลย” นักข่าวหนังสือพิมพ์อายุประมาณ ๓๐ ปี ควักสมุดออกมาเตรียมจด ส่วนผู้ที่เป็นตากล้องขึ้นฟิล์ม ติดไฟแฟลต แล้วยกกล้องขึ้นปรับเตรียมกดชัตเตอร์

“ เชิญถามได้ตามสบาย” ครูใหญ่บอกยิ้ม ๆ แล้วพยักหน้าไปทางเด็กหญิง กล่าวว่า

“บอกน้าเขาไปตามความรู้สึกจริง ๆ นะลูก ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ครูไม่ยอมให้ใครทำอะไรลูกแน่ ๆ ตราบใดที่ครูยังอยู่”

“เด็กคนนี้ผีเข้านะคุณ คุณถามไปก็จะไม่ได้ความอะไร นอกจากนิยายที่มันแต่งขึ้น เชื่ออย่างที่ผมบอกแล้วเอาไปลงดีว่า “ ผู้ใหญ่เริญสอดขึ้นทันที

“ผมเชื่อที่ผู้ใหญ่เล่า แต่ขอโทษเถอะครับ โดยหน้าที่ผมจะต้องขอสัมภาษณ์ซักถามอะไรเด็กก่อน ถ้าไม่ได้เรื่องจริง ๆ ผมจึงจะสัมภาษณ์ผู้ใกล้ชิดต่อ” นักข่าวหันไปยิ้มฝืน ๆ ให้กับผู้ใหญ่บ้านตัวแสบ

“ขอโทษนะผู้ใหญ่ ที่นี่โรงเรียน สถานที่ราชการ ผู้ใหญ่จะเที่ยวพูดจากล่าวหาใครตามอำเภอดใจ หรือตามอารมณ์ไม่ได้ ผมคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ จะให้สัมภาษณ์และออกความเห็นได้ในที่นี้

"ผมว่าปล่อยภาระหน้าที่ในโรงเรียน ไว้ให้ผมกับนักข่าวและคณะครูของผมจะดีกว่า ผมอยากให้ผู้ใหญ่ฟังเฉย ๆ ก่อน หรือไม่ก็กรุณาไปรอให้สัมภาษณ์ต่อข้างนอก” ครูใหญ่กล่าวขึ้นอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป

ผู้ใหญ่เริญทำหน้าแหย แต่กำนันพลกระแอมกระไอขึ้นมาทนทีแล้วกล่าวว่า

“ แหม....พูดไม่ไว้หน้ากันบ้างเลยนะครูใหญ่ อย่าลืมนะว่าผมกับผู้ใหญ่เป็นคนไปพานักข่าวมาที่นี่ ผมก็น่าจะมีสิทธิ์ซักถามและให้ความเห็นกับนักข่าวได้บ้าง”

“ได้นะมันได้หรอก แต่ผมบอกแล้วไง ผมเป็นใหญ่และเป็นผู้มีอำนาจในโรงเรียนนี้ ผมจะให้สัมภาษณ์เด็กหรือไม่ให้สัมภาษณ์ก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครอื่นที่นอกเหนือจากครู จะให้ความเห็น โปรดไปออกความเห็นกันข้างนอก อย่ามาเที่ยวปรักปรำนักเรียนของผมต่อหน้าผม”

นักข่าวหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่จากกรุงเทพ ฯ นักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และตากล้อง ฟังคำของกำนันและครูใหญ่ที่โต้กันแล้วทำหน้าแหย แต่มือจดยิก ๆ จากนั่นก็ขอร้องขึ้นว่า

“ท่านผู้ใหญ่กับท่านกำนัน ผมขออนุญาตสัมภาษณ์เด็ก และครูด้วยตนเองสักครู่ โปรดอย่างเพิ่งให้ความเห็นใดๆ”

ทำเอาทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันอับอาย และโกรธครูแสวงจนหนวดกระดิก แต่ก็ไม่ยอมถอยไปไหน คงถือวิสาสะเป็นเสมือนแขกรับเชิญ นั่งแปะก้นบนเก้าอี้อย่างหน้าด้านอยู่ตรงนั้น

“ขอโทษนะหนู น้าอยากทราบความรู้สึกของหนูในขณะนี้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากที่หนูออกจากโรงพยาบาล “นักข่าวหนังสือพิมพ์เริ่มสัมภาษณ์ โดยก่อนจะสัมภาษณ์ก็ต้องคิดหาคำถามอยู่นาน ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี

“หนูสบายดี” เป็นคำตอบสั้น ๆ จากปากของเด็กหญิงนงเยาว์ จิโนเวทย์

“หนูรู้ตัวไหมว่าหนูเรียนหนังสือเก่งกว่าแต่ก่อน ก่อนที่หนูป่วยแล้วเข้าโรงพยาบาล” นักข่าวถามประโยคต่อมา

“ค่ะ” นงเยาว์ตอบสั้น ๆ จนนักข่าวแอบถอนใจแรง ๆ

“รู้ไหมว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น คือที่ทำให้หนูเรียนเก่งขึ้น” นักข่าวสัมภาษณ์ แล้วมือก็ถือปากกาจดยิก ๆ

“หนูไม่ทราบค่ะ อยู่ ๆ มันก็เกิดขึ้นมาเอง”

“มีคนเขาว่าหนูเป็นวิญญาณดวงใหม่ หนูมีความรู้สึกกับข่าวนี้อย่างไร?”

“ หนูไม่มีความรู้เรื่องวิญญาณ หนูรู้แต่ว่าหนูก็คือหนู หนูไม่ใช่ผี ผีไม่ได้เข้าสิงหนูอย่างคำกล่าวหาของลุงสองคนนี้”

นงเยาว์หันหน้าไปทางผู้ใหญ่เริญกับกำนันพล ทั้งสองนั่งเม้มปากอยากจะพูดเต็มที แต่กลัวจะถูกฉีกหน้าจึงอดทนไว้

“หนูเคยเล่าให้ใครบางคนฟังว่า หนูเคยอยู่ในกรุงเทพฯ น้าอยากทราบว่า หนูอยู่ตรงไหน และเป็นลูกของใคร?”

นงเยาว์หันไปมองครูพัฒนากับครูวิชิต ซึ่งนงเยาว์ทราบว่าเรื่องนี้ เธอเขียนเรียงความส่งครูวิชิตเอง ครั้นครูวิชิตยิ้มให้แล้วพยักหน้าช้า ๆ นงเยาว์จึงตอบว่า

“นั่นเป็นนิยายที่หนูเขียนส่งครูในวิชาเรียงความ”

คำตอบของนงเยาว์เฉียบคมและชัดเจน ไม่มีสิ่งบกพร่อง จนคณะครูในโรงเรียนที่มายืนคอยฟังอยู่ด้านหลังพากันยิ้มอย่างพอใจ แต่ครูกิ่งแก้วแอบกระซิบกับครูพัฒนาว่า

“คำตอบของนงเยาว์ยิ่งชัดเจนเลยว่า เธอไม่ใช่นงเยาว์คนเดิม เด็กอะไรฉลาดขนาดนี้ พูดแล้วขนลุก”

(โปรดอ่านต่อตอนหน้า ประมาณวันที่ ๒๑ ก.พ.๕๔)



(ภาพผู้เขียนในวันที่ชอบขับรถท่องเที่ยวหาข้อมูล)

รถยนต์กระบะคันแรกในชีวิต เคยถูกชนแต่รอดมาได้




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2554
15 comments
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2554 10:43:05 น.
Counter : 2749 Pageviews.

 

แวะมาประเดิมคนแรกเลยค่ะคุณลุงพออ่านจบคุณลุงบอกรออ่านต่ออีกทีวันที่ 21 เล็กนับนิ้วเลยอีก 4 วันได้อ่านต่อมันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆนิ หมั่นไส้กำนันกับผู้ใหญ่ 2 คนนี้จัง อาศัยอิทธิพลอำนาจหน้าที่รังแกคนที่ด้อยกว่าอยากรู้ว่านงเยาว์จะจัดการอย่างไรต่อไป เหมือนทำให้คนอ่านมีกำลังใจว่านงเยาว์เค้าเหมือนมีร่างเทพหรือคนมีบุญมาเข้าร่างอาศัย คงไม่มีใครทำอะไรได้ง่ายๆ รอชมอีกทีวันที่ 21 นะคะคุณลุง

 

โดย: หญิงแก่น 17 กุมภาพันธ์ 2554 11:32:29 น.  

 

อาจารย์ หนูโผล่มาแล้วคะ หายไปหลายวัน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอ่านตอนนี้นะคะ เริ่มไม่ไหวแล้ว ราตรีสวัสดืก่อนนะคะ ขอบคุณนะคะที่ไปทักทาย

 

โดย: แอน (seton ) 18 กุมภาพันธ์ 2554 1:53:57 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: หญิงแก่น 18 กุมภาพันธ์ 2554 11:03:04 น.  

 

อ้า...มาใหม่แระ

เด๋วออกข้างนอกพอดี ติดไว้ก่อนนะคะ เย็นๆมาอ่าน

ไม่อยากอ่านรีบๆค่ะเรื่องของลุง

ว่าแต่เรื่องปลาดุกในถุงนั่น ชักอยากอ่านแล้วสิคะ

ว่างๆเอามาแปะหน่อยนะคะ

ไปละ ตอนเย็นมาใหม่ค่า

 

โดย: นักล่าน้ำตก 18 กุมภาพันธ์ 2554 11:28:55 น.  

 

มาอ่านแล้วค่ะ สนุกดี เรื่องราวเริ่มบานปลายขยายวง

จากหมู่บ้าน ไประดับประเทศแระ

นงเยาว์เธอรู้ว่าเธอเป็นใคร แต่ดูเหมือนพอใจที่จะเป็นนงเยาว์อยู่นะคะ

อ้า...ใครอิจฉา ใครคิดไม่ดี เธอน่าจะมีอะไรแสบสั่งสอนแน่

รอตอนต่อไปค่า


ป.ล.เชื่อแล้วว่าลุงขาซิ่ง

 

โดย: นักล่าน้ำตก IP: 183.89.86.114 18 กุมภาพันธ์ 2554 18:58:58 น.  

 

รู้สึกว่าตอนนี้จะยาวกว่าทุกตอนที่ผ่านหรือเปล่าคะ
กำนันพล ผู้ใหญ่เริญ มีตัวตนจริงๆ ไหมคะ ใจร้ายจัง

หนูหายไปหลายวันแต่ก้อนั่งทำงานทุกวันละคะ
ช่วงนี้เร่งทำงานกัน เลยไม่มีอะไรใหม่ๆ มาอัฟบล็อก
กล้าใจพี่น้อง ที่ลุยทำงานด้วยกัน
ได้แต่เอางานที่มีอยู่มายำๆ ให้พอรอดตัวไป

 

โดย: หนูแอน (seton ) 18 กุมภาพันธ์ 2554 21:51:47 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: หญิงแก่น 19 กุมภาพันธ์ 2554 10:55:47 น.  

 

สวัสดีค่ะ...คุณลุงบูลย์

...ครูใหญ่แสวง พูดให้แง่คิดได้ถูกใจจริงๆค่ะ แต่..คนเราจะคิดได้
อย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า นี่สิเป็นปัญหา?

...ความเชื่อในเรื่อง ผี,สาง,เทวดา ยังอยู่คู่สังคมไทยไปอีกตราบ
นานเท่านาน(โดยเฉพาะในแถบชนบท ) เพราะลองได้เชื่อไปแล้ว
คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด

...ยิ่งอ่านยิ่งน่าติดตามค่ะ

 

โดย: ไกลบ้าน IP: 2.205.195.175 21 กุมภาพันธ์ 2554 3:20:00 น.  

 

เป็นไงไกลบ้าน

พ้นผ่านความเหงาเศร้าแล้วไหม
ทุกสิ่งหวังดังท้องฟ้านภาไกล
เปลี่ยนมาและเปลี่ยนไปบางเวลา

เหมือนอารมณ์คนเราเดี๋ยวเศร้าโศก
พ้นวิโยคพบสุขสิ้นทุกข์เฉา
อย่างลุงเองตอนนี้ดีมิเบา
งานเข้าเงินมาหาพอดี



..... อิ ๆ

 

โดย: pantamuang 21 กุมภาพันธ์ 2554 8:31:32 น.  

 

“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก”
ไม่ได้เล่น อะไรไปมากกว่ากันหรอกคะ
เล่นบล็อกก้อเหงาสงบวิเวกดี ชอบบรรยายกาศแบบนี้เหมือนกัน
บล็อกเหมือนบ้านที่เราสามารถทำ อะไรก้อที่เราชอบ
ได้โปรดปล่อย เพราะเวลาทำงานเราต้องทำงานตามใบสั่ง
เพราะบ้างงานเราไม่อยากทำแต่เราต้องทำเพื่อเงิน
เงินซื้อเราไม่ได้ แต่สามารถจ้างเราให้ทำงานได้

เมื่อก่อนยังไม่ได้เล่นเฟส ใครๆ ก้อพากันแปลกใจ
เพราะเพื่อนฝูง ญาติ พี่น้อง เขาเล่น เฟสกันหมด
ไปไหน ใครก้อ ทำไมไม่มีเฟส ทำไมไม่เล่นเฟส
พอพวกถามมากๆ ก็เลยไปเล่นกับเฟส เขาเสียเลย
จะว่าไปมันก้อคือ กิจกรรมการเข้าร่วมของสังคม
ที่เราต้องไปจอยกับเพื่อนๆ

ปล. งานเข้าแบบนี้รักษาสูขภาพด้วย
แล้วตอนใหม่จะมาวันนี้หรือเปล่าคร้า

 

โดย: แอน (seton ) 21 กุมภาพันธ์ 2554 10:06:08 น.  

 

เข้ามาเยี่ยมชมตอนต่อไปที่สัญญาไว้ค่ะคุณลุง มาทวงแล้วนะคะ จงมา จงมา ตอนนี้เล็กเน้นทำบุญที่เห็นว่าเค้าได้นำไปใช้จริงมีประโยชน์กับคนรับจริงๆมากกว่าค่ะ เช่นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือพิการ บ้านพักคนชรา เด็กที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย กับวัดพระบาทน้ำพุ จะไปถึงที่หรือโอนเงินผ่านบัญชีก็ได้สะดวกดี ช่วงนี้คุณลุงคงมีความสุขเพราะงานเข้าเงินมาสะพัดเลยซีคะ

 

โดย: หญิงแก่น 21 กุมภาพันธ์ 2554 11:05:56 น.  

 

สวัสดีครับลุงบูลย์

หมู่นี้งานบ้านผมยุ่งมากๆ เกี่ยวกับเรื่องลูกทั้งนั้น กิจกรรมทุกวัน ไม่ค่อยได้มาหาลุงเลย แต่ก็ไม่ลืมนะครับ ว่างก็จะหมั่นมาเยียมเยียนทันที

 

โดย: ปลายแป้นพิมพ์ 21 กุมภาพันธ์ 2554 12:51:10 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

อาจารย์ ตอนใหม่มา หรือยังคะ

 

โดย: seton 21 กุมภาพันธ์ 2554 22:26:00 น.  

 



ตามมาไล่เก็บเรื่องสั้นค่ะครู.... แหม..รู้สึกว่านงเยาว์จะเจอปัญหาหนักซะแว้ว... ว๊าย..ผู้ใหญ่รังแกเด็กอ่ะ...
(ครู ชนยังไงน้อ..ต้าว่าแผลน้อยไป(ล้อเล่นคร้า)...)

 

โดย: แนวเนี๊ยะ 24 กุมภาพันธ์ 2554 23:35:12 น.  

 

ทำไมไม่ลงต่อครับ...ยังติดตามอยู่แต่หาตอนที่๖ไม่พบ

 

โดย: ปู่โสม IP: 122.155.97.77 23 เมษายน 2559 23:35:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.