ใครว่าเด็กไทยไม่อ่านหนังสือ
หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ไปงานสัปดาห์ หนังสือด้วยเหตุผลหลายอย่าง บางปีก็ไม่มีเวลาไป (ในวันธรรมดา) บางปีก็ไม่มีเงิน (ทำให้ช็อปไม่สนุก) ส่วนใหญ่แล้วที่ไม่ไป ไม่ใช่เพราะแอนตี้มหกรรมขายหนังสือเหมือนนักอ่านขี้รำคาญบางคน (เพราะถึงแม้จะไม่ค่อยชอบบางอย่างของงานสัปดาห์หนังสือ แต่อย่างน้อยการจัดงานแบบนี้ก็อำนวยความสะดวกให้ครูบรรณารักษ์ในจังหวัดไกลๆ ได้มาวันสตอปชอปปิ้ง หาหนังสือดีๆไปใส่คลังได้อย่างประหยัดเวลาและ (น่าจะ) ประหยัดสตางค์ได้บ้าง ขณะที่เราเองชอบเพราะได้ไปคุ้ยหนังสือเก่าแบบเย็นๆ และได้แอบเมียงๆมองๆดูนักเขียนคนโปรดที่มานั่งแจกลายเซ็นในบูธของตัวเองให้ชื่นใจ ได้ฟังเสวนาบางเรื่อง และได้เห็นปรากฏการณ์คนคลั่งหนังสือ ซึ่งหาไม่ได้จากร้านหนังสือปกติ) แต่เหตุที่เลือกจะไม่ไปในเวลาว่างที่มีเหมือนคนอื่น (หมายถึงเสาร์อาทิตย์) ก็เพราะไม่อยากไปล่องคลื่นมหาชนในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยไม่ได้จอดสักป้าย เมื่อปีนี้ฤกษ์งามยามดี ได้ไปเฝ้าหน้าประตูตั้งแต่เช้า ก็เลยได้เห็นภาพน่ารักๆหลายภาพที่อดใจไม่ไหว ต้องเอามาเล่าสู่กันฟัง ระหว่างที่ถูกกักบริเวณก่อนเริ่มงาน เรานั่งรอประตูเปิดอยู่ข้างๆคุณพ่อและคุณลูกสาวสองคน น่าจะอายุสักสิบขวบกับเจ็ดแปดขวบ บทสนทนาของพ่อลูกน่ารักจนอดฝ่าฝือนกฎคนเมือง ส่งยิ้มให้พวกเขาไม่ได้ (และก็ได้ยิ้มอายๆกลับมาสมใจ) ลูกสาวสองคนดูท่าจะตื่นเต้นกับร้านหนังสือที่อยู่หลังแผงกั้นและใจจดใจจ่อกับการซื้อหนังสือมากเป็นพิเศษ คนโตเล่าจ๋อยๆว่าอยากซื้อหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ (ซึ่งคงเป็นเพราะช่องว่างระหว่างวัยที่ทำให้ฉันไม่รู้จักทั้งชื่อเรื่องและชื่อคนแต่ง) ส่วนคนน้องก็ดูแผนผังร้านหนังสือราวกับว่าเข้าใจเสียเต็มประดา แล้วก็บ่นหนาว ทั้งที่ใส่เสื้อหนาวกันทั้งคู่ (คุณพ่อหรือคุณแม่ของน้องทำไมรอบคอบอย่างนี้ไม่รู้ เพราะป้าก็หนาวเหมือนกัน แต่ไม่มีเสื้อหนาวใส่ ทั้งยังไม่มีคนเตรียมให้ด้วย) พอโดนคุณพ่อแซวว่า "สงสัยวันนี้เราต้องอยู่กันจนงานเลิกแน่เลยกว่าหนูสองคนจะได้หนังสือครบ แถมยังมีการแสดงบนเวทีให้ดูอีกตั้งมาก" ลูกสาวยิ้ม ไม่ตอบว่าอะไร แต่หน้าตาเหมือนจะบอกว่า ได้อย่างนั้นก็ดีสิคะ (หรือว่าจะเป็นอุปาทานของเราก็ไม่รู้) ไม่นานต่อมา คนก็เริ่มเดินเข้ามาเยอะขึ้นจนลานหน้าประตูเริ่มจะหนาแน่น คุณพ่อซึ่งคงจะลางานพาลูกมาเที่ยวก็มองไปรอบๆและบ่นเบาๆว่า "คนเยอะนะนี่" ก่อนจะหันไปถามลูกคนเล็กว่า "ถ้าพลัดหลงกันหนูรู้หรือเปล่าว่าจะทำยังไง พี่เขาโตแล้วพ่อไม่ห่วงหรอก แต่หนูนี่สิ หนูจำเบอร์มือถือพ่อได้หรือเปล่าลูก" สาวน้อยฟันหลอส่ายหน้า พี่สาวท่องเบอร์โทรศัพท์ของพ่อแจ๋วๆ ส่วนน้องก็ยิ้มอวดฟันหลออยู่อย่างนั้น "เอาอย่างงี้" พ่อหันไปหาพี่สาว "ขอกระเป๋าตังพ่อหน่อย ที่ฝากหนูไว้นะลูก เอานามบัตรพ่อใส่กระเป๋าน้องไว้ดีกว่า ถ้ามีอะไร หนูก็หาโทรศัพท์ แล้วโทรหาพ่อนะ" ประโยคหลังพ่อหันไปบอกลูกสาวคนเล็กก่อนจะเก็บนามบัตรใส่กระเป๋าหลังให้ และเตือนให้ลูกสาวคนโตดูกระเป๋าดีๆ (แหม คนแอบสังเกตการณ์ใจไม่ดี กลัวคุณพ่อจะหยิบมือถือของลูกออกมาเมมเบอร์ให้) เงียบไปได้สักพัก คุณหนูคนโตบ่นว่า "รอนานจัง แต่ละนาทีทำไมผ่านไปช๊า...ช้าละคะคุณพ่อ หนูเบื่อแล้ว" คุณพ่อก็ว่า "เบื่องั้นพ่อพากลับบ้านเลยดีมั้ย" พอเห็นลูกสาวยิ้มแห้งๆเพระไม่รู้ว่าพ่อพูดเล่นหรือพูดจริง พ่อก็พูดต่อยิ้มๆว่า "เราต้องหัดอดใจรอสิลูก ของจะมีค่าก็เพราะเรารู้จักรอนี่แหละ อีกสี่นาทีเท่านั้นเอง" อืมม์ ถ้าฉันอายุเจ็ดขวบ (หรือต่อให้สิบขวบด้วยเอ้า) พ่อพูดอะไรแบบนี้ฉันก็คงไม่เข้าใจ แต่พอดีว่าแก่พอจะเป็นป้ามันได้ ก็เลยแอบปรบมือให้คุณพ่อลูกสองอยู่ในใจ และเพื่อฆ่าเวลาสี่นาทีที่แสนนานในความรู้สึกของลูกสาว คุณพ่อก็ต่อโทรศัพท์ถึงคุณแม่ ให้ลูกสาวได้บ่นว่าและเล่าบรรยากาศให้แม่ฟัง น้องสองคนคงไม่ทันฉุกคิดหรอกว่า ทำไมสี่นาทีก่อนประตูเปิดจึงผ่านไปไม่ช้าอย่างนาทีก่อนหน้า ถึงเวลาประตูเปิด คุณพ่อก็เดินตามลูกสาวสองคนซึ่งแทบจะลากคุณพ่อเข้างานไปอย่างมีความสุข เอ้อ วิเศษณ์ว่า "อย่างมีความสุข" นั้นฉันเติมเอง เพราะคุณพ่อที่ดูแลเอาใจใส่และมีจิตวิทยาในการคุยกับลูกแบบนี้คงไม่ได้ทำไปแกนๆ หรือทำไปตามหน้าที่เท่านั้น แต่จะต้องมีความสุขในการทำด้วย และเชื่อได้เลยว่าเด็กสองคนนั้นคงจะเลือกหาหนังสือได้อย่างสบายใจและมีความสุข ทั้งยังจะมีความสุขกับการอ่านด้วย แม้ใจจริงจะอยากเดินตามไปสังเกตปรากฏการณ์ครอบครัวต่อ แต่ความขี้เกียจแย่งกับผู้คนมีมากกว่า (มาก) ก็เลยตัดสินใจนั่งรอให้ใครต่อใครเดินหายเข้าไปในงานกันให้หมดก่อนที่จะขยับตัว มาถึงตอนบ่าย ระหว่างที่นั่งพักขาที่แสนเมื่อยล้า มองไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็มีเด็กชายตัวน้อย ใส่แว่น ท่าทางคงแก่เรียน น่าจะอายุสักสิบขวบได้ นั่งขะมักเขม้นอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ตามลำพัง แต่ก็ไม่มีท่าทางว่าจะสนใจใครหรือเดือดร้อนที่ถูกทิ้งไว้คนเดียว ไม่รู้ผู้ปกครองไปไหน (คงจะรู้ว่าปล่อยทิ้งไว้ตรงนี้นานแค่ไหนลูกหลานก็คงไม่หนีหายไปแน่นอน) เห็นท่าอ่านหนังสือของเขาแล้วอยากถ่ายรูปเก็บไว้เหลือเกิน เพราะมันช่างดูมีสมาธิ สนอกสนใจ และกระหายใคร่รู้อย่างยิ่งยวด ขนาดรอบข้างมีแต่เสียงจอกแจกจอแจ ก็ไม่อาจดึงหนุ่มน้อยออกจากสมาธิอันแน่วแน่นั้นได้ เป็นภาพหนอนวัยอ่อนที่ทำให้หนอนหนังสือแก่ๆตัวนี้ชื่นใจเป็นอันมาก แม้จะน่าเสียดายอยู่บ้างที่คนมางานมัวแต่ตามล่าหาหนังสือกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จนทำให้ส่วนนิทรรศการที่จัดไว้เป็นห้องสมุด "แบ่งกันอ่าน" อย่างเก๋ ซึ่งมีหนังสือของคนดัง (และดารา) มากมายเลือกมาไม่ได้รับการแลเหลียว (ตามเคย) เหตุผลที่คิดอย่างคนพยายามมองโลกในแง่ดีก็อาจเป็นเพราะวันนี้คนน้อย (ที่นั่งก็เลยมีพอจนไม่มีใครต้องเข้าไปหาที่นั่งกินข้าวกลางวันในส่วนนั้น) แต่รวมความแล้ว งานหนังสือก็ยังมีคนเยอะ (น่าชื่นใจและน่าชิงชัง) เหมือนเคย หนังสือก็ลดราคาเป็นสูตรสำเร็จเหมือนเคย อาหารราคาถูกหายากเหมือนเคย และหลายสำนักพิมพ์พร้อมใจกันออกหนังสือใหม่รับงานนี้โดยเฉพาะเหมือนเคย ขณะที่ฉันก็หมดเงิน หมดเนื้อหมดตัว กับงานนี้เหมือนเคย (แม้ว่าจะท่องคาถาอย่าลืมตัวมาตลอดคืนก็ตาม) สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเคยก็คือความ รู้สึกดีๆจากภาพของน้องๆหนูๆและคนในครอบครัวที่ใส่ใจพาพวกเขามางาน สนับสนุนและปลูกฝังนิสัยการอ่านให้พวกเขา
จะอ่านการ์ตูน จะอ่านนิยายพาฝัน จะอ่านตำราเรียน อะไรก็อ่านไปเถิด ขอให้รักที่จะอ่านและอ่านด้วยความรัก เพียงเท่านี้ก็เติมความหวังให้คนทำหนังสือที่อยากจะสื่อสารกับคนอ่าน และอยากเห็นคนอ่านรุ่นใหม่ทำลายสถิติเลวร้ายที่ว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย วันละแปดบรรทัดให้สิ้นซากเสียที ได้ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
Create Date : 13 พฤษภาคม 2552 |
|
6 comments |
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 1:27:12 น. |
Counter : 792 Pageviews. |
|
|
|