ความวิปโยคสุดพรรณนาและความยิ่งใหญ่คือชาตากรรมแห่งความรักของฉันที่มีต่อเธอ Unsagbares Leid und Größe ist das Schicksal meiner Liebe für dich. Untoldly sorrowful and great is the destiny of my love for you.
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
5 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
มหาภารตะ ภาคสาม "มหาสงคราม"

มหาภารตะ
ภาคสาม “มหาสงคราม

หนังสือเล่มที่ 5-10 เล่าถึงสงคราม 18 วัน ระหว่างฝ่ายปาณฑพกับฝ่ายเการพ

ฝ่ายเการพมีทหารสิบเอ็ดเหล่าทัพประจันหน้ากับฝ่ายปาณฑพเจ็ดเหล่าทัพ มหากาพย์บรรยายถึงกองทัพของทั้งสองฝ่ายโถมประทะเข้าบดขยี้กันว่า เสมือนหนึ่งมหาสมุทรสองมหาสมุทรประทะกัน แต่เพียงชั่วระยะสั้นๆ กลับบรรยายว่าเป็น “ทัศนียภาพอันงดงามยิ่ง” (CN 125-6) กุณตี บอกวยาสะผู้เล่าเรื่องมหากาพย์ว่า (ในละคร) “พระองค์ทรงเห็นความงดงามในความตายของมวลมนุษย์ บทกวีของพระองค์แต้มแต่งด้วยโลหิต และเสียงร่ำให้ของคนกำลังตายคือคีตสังคีตของพระองค์”

ฝูงแร้งรุมทึ้งเนื้อเน่า “ส่งเสียงร้องปรีเปรม” เป็นลางร้ายปรากฏขึ้นก่อนยุทธนาการจะเริ่มขึ้น (KD 539) กรรณะพยากรณ์ว่า ฝ่ายตนจะปราชัย สงครามไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น แต่ “เป็นการสังเวยคมอาวุธที่ยิ่งใหญ่” โดยมีกฤษณะเป็นเสมือนหนึ่งนักบวชชั้นสูงรับการบูชายัญ

ทั้งสองฝ่ายตกลงอดทนรอกฏเกณฑ์ที่ชัดเจนของสงคราม กล่าวคือ ไม่ใช้อาวุธสวรรค์รบกับมนุษย์ ไม่รบเมื่อตะวันตกดิน ไม่โจมตีใครก็ตามที่ถอยหนี ไร้อาวุธ หงายหลัง หรือล้มลง แต่ในที่สุด กลับละเมิดกฎทุกข้อที่ได้ตั้งไว้

ภควัทคีตา (“บทเพลงแห่งพระผู้เป็นเจ้า”)

ไม่นานนักก่อนการประจัญบานเริ่มขึ้น อรชุนเกิดความลังเลไม่แน่ใจเมื่อเห็นคณาญาติและครู ซึ่งตอนนี้กลายเป็นศัตรูตามคำสาปแช่ง อรชุนสลดใจเกินกว่าจักข่มใจเข้าสู้รบได้ “การเข่นฆ่าญาติตนเองจะดีไปได้อย่างไร ชัยชำนะจักมีค่าอะไร ถ้าเพื่อนและบุคคลที่รักของเราทั้งหมดถูกฆ่า … เราจักพ่ายแพ้ต่อบาป หากว่าเราสังหารโหดฝ่ายรุกราน ภาระที่สมบูรณ์ของเราแน่นอนว่าต้องอภัยให้พวกเขา แม้กระทั่งว่า ถ้าพวกเขามืดบอดต่อธรรมะ อันเนื่องมาจากความละโมบ ในทำนองเดียวกันเราเองไม่ควรลืมธรรมะเสีย” (KD 544-5)

กฤษณะ สารถีรถม้าศึกของอรชุน จึงยกโอวาทแก่อรชุน ขณะหยุดอยู่ในแดนกันชนระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย เนื้อความตอนนี้คือ ภควัทคีตาที่ทุกคนรู้จักกันดี เป็นเครื่องนำทางสู่การกระทำที่เด็ดเดี่ยวและเฉียบขาด

• ตรงจุดนี้ ไม่เหมือนวีรบุรุษในมหากาพย์ทั้งหลาย อรชุน คิดก่อนลงมือกระทำ อรชุนลังเลก่อนลงมือเข่นฆ่า เพราะต้องการถอนตัวออกจากการมีชีวิตอยู่ และหน้าที่ความรับผิดชอบ (เป็นความตรึงเครียดระหว่างธรรมะและโมกษะ (ความหลุดพ้น) แต่กฤษณะตรัสแก่อรชุนว่า ในฐานะนักรบ การสู้รบคือธรรมะของอรชุน ความขัดแย้งที่แท้จริงทุกวันนี้เกิดจากอัตตาที่มีอยู่ใน “สมรภูมิแห่งจิตวิญญาณ”

• อย่ากังวลกับความตาย ซึ่งเป็นเพียงก้าวเดียวเล็กๆ สู่วัฏจักรที่ไร้จุดจบและยิ่งใหญ่แห่งชีวิต มนุษย์ทั้งไม่ฆ่าและไม่ถูกฆ่า เพียงแต่จิตวิญญาณละร่างเดิมและเข้าร่างใหม่เท่านั้นเอง เฉกเช่นบุคคลหนึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ความตายเป็นเพียงภาพมายา

• นักรบจักปฏิบัติหน้าที่ของตนเยี่ยงไร โดยไม่กระทำผิด ร่างกายแปดเปื้อนด้วยโลหิตศัตรู ความลับคือต้องแยกให้ออก กล่าวคือ กระทำหน้าที่ของพระองค์โดยไม่ต้องกังวลกับผลลัพท์ส่วนบุคคล “ชัยชำนะและความพ่ายแพ้ ความปีติยินดีและความปวดร้าว ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ลงมือเถิด แต่อย่าสะท้อนให้เห็นถึงผลของการลงมือกระทำนั้น จงละความปรารถณาเสีย จงแสวงหาทางแยกแยะ” (ละคร)

• เราต้องกระทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่ปรารถนาความสำเร็จ หรือกลัวความพ่ายแพ้ “จงลงมือกระทำโดยไม่ปรารถนาผลลัพท์ และโดยไม่เอาตัวเองไปพัวพันกับบ่วงกรรม” (KD 550) กฤษณะตรัสแก่อรชุนว่า การกระทำความดีจักไม่ทำให้ใครขึ้นสวรรค์ไปได้ ถ้าหากว่าความปรารถนาสวรรค์นั้นเป็นแรงจูงใจเพียงประการเดียวให้กระทำความดี ความปรารถนาทำให้มีการเกิดใหม่ หากยังมีความปรารถนาใดคงอยู่เมื่อเราตายไปแล้ว เราก็จักกลับไปสู่ชีวิตในอีกชาติภพหนึ่ง

• ยิ่งกว่านั้น ยุธิษฐิระ ตรัสแก่เทราปทีระหว่างการเนรเทศว่า พระองค์ปฏิบัติธรรมะ โดยไม่หวังรางวัล หากแต่เพราะว่าเป็นสิ่งที่คนดีต้องกระทำ หลังยุทธนาการ ยุธิษฐิระ มีช่วงวิกฤตที่คล้ายคลึงกันนี้ เมื่อท้าวเธอปฏิเสธการปกครองบ้านเมืองเสียชั่วคราว ด้วยความรู้สึกสิ้นหวังถึงการเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายที่ทรงเป็นต้นเหตุ

• “การกระทำเกิดขึ้นจากการบัญชาโดยตรงของเทพสูงสุด หรือตัวแทน เราเรียกว่า อกรรมะ การกระทำเยี่ยงนี้ไม่ก่อให้เกิดการสนองตอบทั้งดีและไม่ดีตามมา เช่นเดียวกับทหารอาจลงมือสังหารเพราะคำสั่งบังคับบัญชาจากเบื้องบน และไม่ต้องรับผิดชอบต่อการอาชญากรรม แต่ถ้าทหารนายนั้นสังหารเพื่อนร่วมรบ เขาจักต้องรับโทษตามกฎหมาย ทำนองเดียวกัน บุคคลที่รู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับกฤษณะ ล้วนกระทำไปตามบัญชาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อจุดมุ่งหมายของตนเอง” (ภควัทคีตา ตามที่ปรากฏในอินเตอร์เนต)

• “บุคคลเยี่ยงนั้นจักมีความปีติยินดีในปรารถนาราคะก็หามิได้ หากแต่พึงพอใจอยู่ในตัวเอง ความทุกข์ใดก็รบกวนเขาไม่ได้ ไม่แม้กระทั่งความสุขทางวัตถุใดๆ ก็ตาม เขาปราศจากซึ่งการแยกแยะ ความกลัวและความโกรธ และมักดำรงตนอยู่ห่างไกลจากการครองคู่ทั่วไปในโลกีย์วิสัย … จิตใจของเขาแนบแน่นอยู่กับเทพเจ้าสูงสุด ปกติธรรมดาเขาจึงสงบ” (KD 551)

• หนทางไปสู่เสรีภาพมีอยู่สองสาย นั่นคือการหลุดพ้น (โมกษะ) และกระทำหน้าที่ของตนโดยไม่ปรารถนาสิ่งใด เพราะว่าไม่มีใครสามารถสละการกระทำทุกอย่างในชีวิตเสียได้ (นี่คือพฤฒิกรรมเสแสร้งในการบำเพ็ญตบะ) ดังนั้นการทำงานโดยไม่ยึดติดเป็นอารมณ์จึงดีกว่า (KD 551) นักปราชญ์บางท่านคิดว่า การประพันธ์ภควัทคีตานี้ เป็นไปเพื่อประชันกับความท้าทายทางศานาจากเชนและพุทธ ซึ่งอุบัติขึ้นในศตวรรษที่หกก่อนคริสศตวรรษ ศาสนาทั้งสองนี้ สอนให้หลุดพ้นบาปด้วยการสละโลกีย์ โดยการบำเพ็ญตนอย่างเคร่งครัดในศาสนาเชน และการอุทิศชีวิตเป็นพระในศาสนาพุทธ (Kinsley 31)


• กฤษณะ ยกอรรถกถาว่า ความรู้ที่ท้าวเธอยกมาสอนนั้น มีมาแต่โบราณกาล เคยตรัสไว้หลายล้านปีล่วงมาแล้ว อรชุนตรัสถามว่า “หม่อมฉันจักยอมรับได้อย่างไร เท่าที่เห็น พระองค์ประสูติมาในโลกนี้เมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น” กฤษณะ อธิบายว่า การกำเนิดก็เป็นภาพมายาเช่นกัน เนื่องจากมนุษย์เกิดนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในกรณีของกฤษณะ ท้าวเธอเสด็จมาทุกยุค “โอ อรชุนเอ๋ย เมื่อใดก็ตามความชอบธรรม(ธรรมะ)หย่อนยาน และความอยุติธรรม(อธรรมะ)บังเกิดขึ้นแล้ว เราจักส่งตัวเองมาเพื่อพิทักษ์คนดี และนำคนทำชั่วไปทำลายเสีย เพื่อสถาปนาธรรมะให้มั่นคง เราจุติลงมาเกิดยุคแล้วยุคเล่า … เกิดมาเพื่อทำลายผู้ทำลายล้าง”

• กฤษณะเปิดเผยธรรมชาติอันเป็นสากลเกี่ยวกับสวรรค์ของท้าวเธอให้อรชุนเห็น เป็นนิมิตภาพอันงดงามแห่งทวยเทพมากมายมหาศาล แผ่ขยายออกไปเอนกอนันต์ บัดนี้เมื่อตัดสินใจกระทำหน้าที่ของตนได้แล้ว อรชุนจึงนำกองทหารเข้าสู่ยุทธนาการ

• สำหรับท่านที่สนใจข้อมูลของภควัทคีตา ละเอียดกว่านี้ กรุณาหาอ่านได้ในอินเตอร์เนต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาต่างประเทศ

บนเนินเขามองลงมายังสมรภูมิ ธฤษตราษฎร์ สดับคำรัสแห่งกฤษณะ ผ่านการช่วยเหลือของสัญชัย ซึ่งได้รับพรประทานความสามารถในการเห็นทุกสรรพสิ่ง และได้ยินทุกสรรพสำเนียง ที่บังเกิดขึ้นในสมรภูมิ ถ่ายทอดต่อให้กษัตริย์บอดได้รับทราบ ธฤษตราษฎร์ วรกายสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น เมื่อได้สดับถึงการปรากฏองค์ในร่างมนุษย์ของกฤษณะ ตื่นตระหนกว่า คงไม่มีอะไรหยุดยั้งฝ่ายปาณฑพได้ ด้วยมีบุคคลผู้มีฤทธิ์เยี่ยงกฤษณะร่วมอยู่ด้วย แต่ธฤษตราษฎร์ ยังค่อยคลายใจลงอยู่เมื่อทราบว่า กฤษณะเองก็ไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้ดังมโนรถปราถนา เช่น ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ด้วยสันติวิธี

ก่อนยุทธนาการ ยุธิษฐิระ เสด็จเยี่ยมครูทั้งสองของพระองค์ ภีษมะ และ โทรณะ “โอ บุรุษผู้ไม่มีใครพิชิตได้ หม่อมฉันขอคารวะ เราจักสู้รบกัน กรุณาประทานราชานุญาต และอวยชัยให้พวกหม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าข้า” จากอาการแห่งความเคารพเยี่ยงนี้ บุรุษทั้งสองอธิษฐานให้ฝ่ายปาณฑพได้ชัยชำนะ ถึงแม้ว่าต้องสู้รบอยู่ในฝ่ายเการพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ยุทธนาการเริ่มขึ้น

ภีษมะ เปรียบเทียบอรชุนผู้ไม่มีใครเอาชนะได้ กับ “ผู้ทำลายตัวเอง ณ จุดสิ้นยุค” (CN 126) ในการเผชิญหน้ากันครั้งหนึ่ง อรชุนผ่าคันศรของภีษมะออกด้วยศรสี่ดอก ภีษมะสรรเสิญอรชุนว่า “โอ โอรสแห่งปาณฑุ ประเสริฐยิ่งนัก! หม่อมฉันยินดีกับพระองค์ในความสำเร็จที่น่าจดจำเยี่ยงนี้ จงรบกับหม่อมฉันให้สุดความสามารถของพระองค์เถิด” (KD 581) อย่างไรก็ตาม อรชุนไม่อาจเอาชัยภีษมะได้ หลังการสู้รบเก้าวัน เหล่าปาณฑุเสด็จเยี่ยมภีษมะกลางราตรี และตรัสแก่ภีษมะว่า นอกจากภีษมะถึงมรณกรรมในสนามรบ การเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณจักดำเนินต่อไปจนกว่าจะสิ้นโลก

เมื่อเหล่าปาณฑพตรัสถามว่าจะเอาชัยต่อภีษมะได้อย่างไร ภีษมะแนะนำให้จัดสิขันติไว้ในแนวหน้า ตรงจุดที่สิขันติจะสามารถยิงภีษมะได้โดยไม่มีอะไรขวางกั้น สิขันตินี้ที่จริงเป็นสตรี คืออำภาผู้ซึ่งภีษมะปฏิเสธการแต่งงานด้วย และสาบานว่าจะฆ่าภีษมะ อำภาบำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัด โดยยืนบนปลายหัวแม่เท้าข้างเดียวในหิมะเป็นเวลาสิบสองปี เพื่อเรียนรู้ความลับแห่งมรณกรรมของภีษมะ อำภากระโดดตายในกองไฟ แล้วเกิดใหม่จากเปลวไฟเป็นราชบุตรีองค์ที่สองของทรุปาทะ ต่อมาแลกเปลี่ยนเพศกับปิศาจอสูรตนหนึ่งจึงกลายเพศเป็นบุรุษ

วันต่อมา เมื่อเผชิญหน้ากับสิขันติ ภีษมะปฏิเสธการสู้รบกับสตรี จึงทิ้งอาวุธเสีย คลื่นห่าลูกศรเป็นพันๆ ดอกโจมตีภีษมะเป็นระรอก ปักเข้าไปในร่างของภีษมะจนไม่มีที่ว่างตรงไหนหนาเกินกว่านิ้วมือสองนิ้วให้แทรกผ่านไปได้ ภีษมะหล่นลงจากรถม้าศึก และนอนอยุ่บนลูกศรที่เสียบตรึงร่างไว้นั้น โดยไม่มีร่างกายส่วนใดสัมผัสพื้นดินเลย ภีษมะยังไม่ถึงแก่กรรมทันที ยังมีชีวิตต่อไปอีกตามความประสงค์ของตน และยังนอนอยู่บนเตียงลูกศรอย่างนั้นจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง

โทรณะรับบัญชาการ

โทรณะ จัดกองทัพในรูป “กลจักรพยุหะ” ซึ่งเป็นความลับเฉพาะตนเท่านั้น กลพยุหะนี้ไม่มีใครรู้วิธีตีให้แตกหรือทำลายได้ นอกจากอรชุน ถ้าเพียงแต่ขับอรชุนออกไปจากใจกลางสนามรบได้ โทรณะให้คำมั่นว่าจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้ อรชุนมีโอรสอายุสิบห้าพรรษาองค์หนึ่งนามอภิมันยุ ผู้ซึ่งได้ยินเสียงของบิดาตั้งแต่อยู่ในคัพภะของมารดา จึงได้เรียนรู้วิธีโจมตีทะลวงกลพยุหะของโทรณะ ในขณะที่อรชุนรบห่างออกไปจากการประจัญบานเพราะต้องกลยุทธวิธีของฝ่ายเการพ ยุธิษฐิระจึงมอบภารกิจความรับผิดชอบให้แก่อภิมันยุตีกลพยุหะจานเหล็กของโทรณะให้แตกจงได้ อภิมันยุทำได้สำเร็จ แต่เมื่อภีมะและยุธิษฐิระตามเข้าไปในช่องกลพยุหะที่แตกนั้น ชยทรัถ น้องเขยของเหล่าเการพ เข้ามาขวางไว้ ช่องกลพยุหะที่แตกนั้นจึงปิดตามหลังอภิมันยุผู้เยาว์วัยประสานกันเข้าเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่กล้าหาญ อภิมันยุก็ถึงแก่มรณกรรมในสนามรบ

• ก่อนหน้านั้น ระหว่างการเนรเทศ ชยทรัถ พยายามลักพาเทราปทีไป นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ภราดาปาณฑพเกลียดชังชยทรัถ

เมื่ออรชุนกลับมาถึงค่าย ท้าวเธอเดือดดาลคลั่งแค้นด้วยความเสียใจ ยิ่งเมื่อเห็นร่างของอภิมันยุโอรสน้อย จึงสาบานว่าต้องสังหารชยทรัถให้ได้ก่อนตะวันตกดินในวันรุ่งขึ้น ท้าวเธอสาบานอย่างเคร่งเครียดว่า จะกระโดดสังเวยกองไฟตายเสีย หากทำไม่สำเร็จ แม้แต่กฤษณะก็ยังตื่นตระหนกต่อคำสาบานที่น่ากลัวของอรชุนนี้ วันต่อมา ชยทรัถออกรบพร้อมทหารแวดล้อมอารักขาอย่างหนาแน่น อรชุนจึงไม่อาจเข้าถึงองค์ชยทรัถได้ จนเกือบสิ้นแสงตะวันรอมร่อ กฤษณะจึงเนรมิตสุริยคราสชั่วขณะขึ้น ฝ่ายข้าศึกนั้นเข้าใจว่าสิ้นทิวาแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า อรชุนต้องประกอบอัตวินิบาตกรรมอย่างแน่นอนตามคำสาบานของตน ต่างก็วางอาวุธเสียสิ้น ปล่อยให้ชยทรัถตกเป็นเป้าลูกธนูของอรชุน พร้อมกับลำแสงสุดท้ายแห่งตะวันที่สาดมาหลังสุริยคราสชั่วขณะจากการเนรมิตรของกฤษณะ

บิดาของชยทรัถ สาปแช่งบุคคลที่สังหารบุตรของตน ว่าใครก็ตามที่เป็นเหตุให้ศีรษะบุตรชายของตนหล่นลงพื้นดินแล้วจะต้องตาย ด้วยอำนาจมนตรา อรชุนเนรมิตให้ลูกธนูที่แผลงไปนั้นตัดศีรษะของชยทรัถ และลอยเลยไปไกลพาศีรษะของชยทรัถไปตกลงบนตักของบิดาขณะสวดมนต์อยู่ บิดาของชยทรัถไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จึงลุกโผงผางขึ้นมา ทำให้ศีรษะของชยทรัถหล่นลงพื้น ดังนั้นจึงตายตามคำสาปของตน

วันต่อมา กรรณะ พุ่งเข้าสู่สนามรบ กุณตี พยายามชักจูงกรรณะให้มาอยู่กับฝ่ายปาณฑพ แต่กรรณะก็ไม่ยอมผ่อนปรนเอาเสียเลย อย่างไรก็ตาม กรรณะสัญญากับกุณตีว่าจะสังหารอรชุนองค์เดียวเท่านั้น เพราะว่าปาณฑพองค์ใดองค์หนึ่งต้องตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น หลังสงครามกุณตีจะยังมีโอรสอยู่ห้าองค์เหมือนเดิม

กรรณะ มีหลาวอาคม เป็นของขวัญจากอินทรา ใช้สังหารได้ทุกชีวิต แต่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และกรรณะเก็บหลาวเล่มนั้นไว้ใช้กับอรชุนเป็นการเฉพาะ แต่เพื่อจัดการสยบฤทธิ์หลาวเล่มนั้น กฤษณะจึงเรียก ฆโตคัตฉะ บุตรภีมะและนางรากษส เข้าสู่สนามรบแห่งมหากาพย์ ท่ามกลางราตรี ฆโตคัตฉะสู้รบกับกรรณะ ผู้ซึ่งสามารถสังหารปิศาจอสูรได้โดยอาศัยหลาวอาคมเท่านั้น ฆโตคัตฉะตายในสนามรบ แต่กฤษณะกระโดดโลดเต้นดีใจ เพราะหลาวอาคมได้ใช้ไปแล้ว กรรณะสิ้นฤทธิ์ อรชุนจึงสังหารกรรณะได้

โทรณะ ท้าทายกองทัพปาณฑพต่อไปโดยการสังหารโหดทหารฝ่ายปาณฑพเป็นพันๆ แต่ปาณฑพทราบจุดอ่อนของโทรณะดี นั่นคือ โทรณะรักอัศวัตฐามะบุตรชายคนเดียวสุดวาทขาดใจ ภีมะสังหารช้างเชือกหนึ่ง ชื่อว่าอัศวัตฐามะเช่นกัน แล้วหลอกโทรณะให้เข้าใจว่าเป็นมรณะกรรมแห่งบุตรชายของโทรณะ โทรณะสงสัยว่าเป็นการโกหก จึงถามเอาความจริงกับยุธิษฐิระ ว่าบุตรของตนถึงแก่มรณกรรมแล้วจริงหรือไม่ โทรณะจักวางอาวุธเสียในวันที่บุรุษผู้ซื่อสัตย์กล่าวคำโกหก กฤษณะบอกยุธิษฐิระว่า “ในเหตุการณ์แวดล้อมเยี่ยงนี้ ความเท็จเป็นที่น่าปรารถนากว่าความจริง การโกหกเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ผิดบาปแต่อย่างใด” (CN 157) ยุธิษฐิระจึงอ้อมแอ้มบอกกึ่งโกหกว่า “อัศวัตฐามะ—(แล้วทำเสียงอู้อี้งึมงำอยู่ในลำคอ) ช้าง—ตายแล้ว” ก่อนโกหก รถม้าศึกของยุธิษฐิระกระดอนขึ้นจากพื้นสี่นิ้ว แต่พอตรัสเสร็จจมกลับลงไปในดิน โทรณะจึงวางอาวุธของตน ธฤษตทยุมนะ โอรสแห่งทรุปาทะจึงตัดศีรษะของโทรณะได้ ตามคำสาบานแก้แค้นที่ทำให้บิดาของตนอับอายขายหน้า

ขณะนั้นภีมะเห็นทูศาสนะใกล้เข้ามาเกือบถึงตน ภีมะเคยสาบานดื่มเลือดของอริองค์นี้ เพื่อแก้แค้นสิ่งที่ทำไว้กับเทราปที ภีมะฟาดทูศาสนะลงบนพื้นด้วยคทา แหวะอกทูศาสนะออกมา แล้วดื่มเลือดของทูศาสนะพร้อมกับบอกว่ารสชาติดีกว่าน้ำนมมารดา ภีมะผู้ซึ่งสังหารรากษสเสียหลายตน (แถมมีบุตรชายตนหนึ่งกับนางรากษสด้วย) มักสำแดงพฤฒิกรรมเหมือนยักษ์กินคนเสียเอง ดูจากมรณกรรมเลือดของ กิจาคะและทูศาสนะ ซึ่งภีมะแก้แค้นให้เทราปทีทั้งสองกรณี ภีมะคือผู้อารักขาที่ใช้ความรุนแรงที่สุดของเทราปที ภีมะสังหารเจ้าชายฝ่ายเการพเกือบหนึ่งร้อยองค์ ซึ่งที่จริงคือปิศาจอสูรในร่างมนุษย์

มรณกรรมแห่งกรรณะ

ทุรโยธน์ ขอร้องให้กรรณะแก้แค้นแทนทูศาสนะน้องชาย ในที่สุดกรรณะพบกับอรชุนในการเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อรชุนและกรรณะทั้งคู่ต่างก็มีอาวุธสวรรค์ (เช่น คนหนึ่งแผลงศรเป็นไฟ อีกคนแผลงศรเป็นน้ำไปดับไฟ) กรรณะมีศรดอกหนึ่งที่มีวิญญาณของนาคา(นาค)ซึ่งไม่พอใจอรชุนสิงอยู่ (ครอบครัวของนาคาตายสิ้นในป่าซึ่งอัคนีเผาผลาญทำลาย) เมื่อกรรณะยิงศรไปยังอรชุน สารถีรถม้าศึกของกรรณะเตือนว่ากรรณะเล็งเป้าสูงเกินไป แต่กรรณะไม่ฟังเสียง ศรดอกนั้นจึงยิงไปถูกมงกุฏเล็กๆ ที่อรชุนสรวมอยู่เท่านั้น เมื่อศรวิญญาณสิงย้อนกลับมาหากรรณะ และบอกกรรณะให้พยายามใหม่ ครั้งนี้จะไม่ผิดเป้าหมาย กรรณะไม่ยอมรับความล้มเหลว จึงยิงศรดอกเดิมซ้ำสองครั้ง ถ้าแม้นว่ามีอรชุนถึงหนึ่งร้อยองค์ก็สังหารได้สิ้น
ในขณะที่การสู้รบดำเนินอยู่นั้น เกิดแผ่นดินแยก และรถม้าศึกของกรรณะหล่นลงไปในรอยแยกและติดอยู่ในหล่มนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำสาบแช่ง ด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง กรรณะพยายามวิงวอนให้สุดยอดอาวุธของตนให้มีฤทธิ์ขึ้นมาอีก แต่มนตราที่มีอยู่นั้นเสื่อมเสียแล้ว กรรณะจำคำของปรศุรามได้ดีว่า “เมื่อชีวิตท่านขึ้นอยู่กับอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดของท่านแล้ว ท่านไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้อีก” ในวาระสุดท้ายของชีวิต กรรณะสงสัยความเชื่อของตนว่า “ผู้รู้ธรรมะมักกล่าวกันเสมอว่า ‘ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม’ แต่เนื่องจากล้อรถของเราติดหล่มวันนี้ เราคิดว่าธรรมะไม่ช่วยคุ้มครองเสมอไปดอก” (CN 165)

ขณะดิ้นรนพยายามเข็นรถม้าศึกขึ้นจากหล่ม กรรณะร้องเสียงดังแก่อรชุนว่า “อย่าโจมตีผู้ไร้อาวุธ ขอให้รอจนกระทั่งข้าฯ เข็นรถม้าศึกขึ้นจากหล่มได้ เธอเป็นนักรบที่ไร้ผู้ต่อกร อย่าลืมจรรยาบรรณสงครามเสีย” แต่กฤษณะตรัสเสียดสีกรรณะว่า “มนุษย์ที่มีปัญหาเศร้าโศกกังวลใจมักเรียกหาความมีศีลธรรม โดยลืมการกระทำชั่วร้ายของตนเองเสียสิ้น โอ กรรณะเอ๋ย ความมีศีลธรรมของท่านอยู่ที่ใดเมื่อพวกเขาจิกหัวเทราปทีลากดึงร้องให้อยู่ในที่ประชุมมุขมนตรี ศีลของท่านอยู่ไหนเล่าเมื่อพวกเขาปล้นราชอาณาจักรของยุธิษฐิระไป” (KD 780) กรรณะคอตก พูดอะไรไม่ออก พร้อมกับพยายามเข็นรถม้าศึกขึ้นจากหล่มอยู่ กฤษณะบัญชาให้อรชุนยิง และกรรณะก็ถึงแก่มรณกรรม รัศมีแสงสดใสวาวโรจน์พุ่งวาบออกจากกายของกรรณะเข้าสู่ตะวัน

ดื้อดึงแต่ซื่อสัตย์ และในฐานะเชษฐาองค์ใหญ่ของปาณฑพ กรรณะ มีสิทธิ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ แต่ก็ยังคงอยู่กับฝ่ายเการพ กรรณะสู้รบอย่างยุติธรรม และรักษาสัจจะสัญญาที่ให้ไว้กับกุณตี ว่าจะไม่สังหารอนุชาองค์อื่นใดเลยนอกจากอรชุน การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของทั้งคู่ สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในเทพนิยายโบราณนี้ ระหว่างอินทรา และ สูรยา เทพบิดร

มรณกรรมแห่งทุรโยธน์

ตลอดสงครามสิบแปดวัน ทุรโยธน์ เห็นนายพลและกองทัพฝ่ายเการพล้มลงต่อฝ่ายปาณฑพ แต่ถึงที่สุดแล้ว ทุรโยธน์ปฏิเสธการยอมจำนน หลบซ่อนตัวอยู่ในน่านน้ำของทะเลสาบแห่งหนึ่ง ซึ่งผนึกแข็งตัวจากอำนาจมนตราของทุรโยธน์ ยุธิษฐิระ นักการพนันตลอดกาล ตรัสแก่ทุรโยธน์ว่า ให้เลือกต่อสู้กับปาณฑพองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ และหากชนะ ทุรโยธน์จะได้ราชอาณาจักรกลับไปครองอีกครั้ง ในเรื่องบอกเป็นนัยแก่ทุรโยธน์ ให้ต่อสู้กับภีมะแทนต่อสู้กับปาณฑพองค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งอ่อนแอกว่าภีมะ ในการต่อสู้กันครั้งสุดท้ายตัวต่อตัวเสมอภาคกัน ภีมะชนะอย่างน่าเคลือบแคลงเพียงเพราะตีที่ขาของทุรโยธน์ ซึ่งเป็นกฎต้องห้ามในสงคราม กัณธารีร่ายมนตร์คุ้มครองทุรโยธน์ทั่วร่างกาย แต่เนื่องจากทุรโยธน์มีผ้าพันเนื้อตะโพกแต่น้อยอยู่ก่อน โคนขาทั้งสองข้างของทุรโยธน์จึงไม่ได้รับการคุ้มครองจากอำนาจมนตรา

ทุรโยธน์ กล่าวหากฤษณะที่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ยุติธรรม และยุให้ภีมะทรยศ (ไม่เคารพกฎสงคราม) กฤษณะตอบโต้ว่า “การใช้กลลวงในสงครามเพื่อต่อสู้กับอริที่มีกลลวงนั้น เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แม้กระทั่งอินทราก็ยังใช้กลลวง เพื่อพิชิตวิโรจน์และวริตราอสูรที่ทรงฤทธิ์” ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “ภีมะได้สังเวยอธรรมะเพื่อจุดมุ่งหมายให้ได้มาซึ่งวัตถุ นี่ไม่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขได้เลย” กฤษณะตอบว่า ภีมะเพียงแต่รักษาคำที่สาบานไว้เท่านั้นเอง เพราะนั่นเป็นหน้าที่ซึ่งอุทิศให้แก่พระผู้เป็นเจ้า “ไม่มีความไม่ยุติธรรมใดเลยในองค์ภีมะ ภีมะทำตามสัญญาของเขาให้ลุล่วง และทดแทนหนี้แค้นศัตรูของเขา ขอให้ทราบไว้ด้วยว่ายุคกาลีที่น่าสะพรึงกลัวใกล้เข้าถึงมาแล้ว สัญญาณการกระทำที่อำมหิต และการสูญเสียแห่งธรรมะ” (KD 811-13)

ทุรโยธน์ โต้ตอบอย่างกล้าหาญว่า “บัดนี้ ข้าฯ กำลังตายด้วยความตายที่รุ่งโรจน์ จุดจบซึ่งนักรบที่เที่ยงธรรมแสวงหาอยู่เสมอเป็นของข้าฯ ใครจักโชคดีเยี่ยงข้าฯ ข้าฯ จักขึ้นสู่สรวงสวรรค์พร้อมน้องของข้าทั้งหมด ในขณะที่พวกเจ้า ปาณฑพ จักดำรงอยู่ที่นี่ จมอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ และทนทุกข์ทรมานต่อไป” (KD 816)

ในขณะที่ทุรโยธน์กำลังถึงแก่มรณกรรมอยู่นั้น อัศวัตฐามะ บุตรโทรณะ บอกทุรโยธน์ว่า ในตอนกลางคืนได้ลอบเข้าไปในค่ายของปาณฑพซึ่งได้ชัยชนะ เพื่อก่อบาปฆาตกรรมหมู่อย่างน่าขยะแขยง โดยสังหารนักรบที่รอดชีวิตอยู่ และเด็กทั้งหมดขณะหลับ เหลือไว้แต่ภราดาปาณฑพที่ไร้ผู้สืบสกุล ในทางตรงข้ามกับความยินดีที่ได้ยินข่าวนั้น ทุรโยธน์ถึงแก่มรณกรรมด้วยหัวใจร้าวรานแหลกสลายเพราะเหตุว่า เผ่าพันธุ์แห่งกุรุไม่มีอนาคตต่อไปอีกแล้ว
ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายตายทั้งหมดในสงคราม ยกเว้นภราดาปาณฑพทั้งห้า

เมื่อยุธิษฐิระทราบถึงการฆาตกรรมหมู่ ก็ทรงโศกเศร้าเสียใจว่า “เราผู้พิชิต กลับถูกพิชิตเสียแล้ว”
เมื่อฝ่ายปาณฑพหาทางแก้แค้น อัศวัตฐามะปล่อยอาวุธสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในคลังแสงสรรพวุธของตน อรชุนตอบโต้ด้วยอาวุธของตน ซึ่งโทรณะ ได้ฝึกอบรมสั่งสอนทั้งคู่ไว้ อาวุธนี้ของอรชุนมีไว้เพื่อใช้ต่อต้านบุคคลที่มาจากสวรรค์เท่านั้น หรือมิฉะนั้นมันจะทำลายล้างโลกให้สิ้นสลายไป อัศวัตฐามะหันอาวุธของตนเข้าใส่ครรภ์ของเหล่าสตรีปาณฑพที่รอดชีวิตมาจากสงคราม ทำให้ตั้งครรภ์โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อ แต่กฤษณะสัญญาว่า ไม่ว่าอย่างไรอรชุนจะมีผู้สืบสกุล เพื่อเป็นการลงโทษ อัศวัตฐามะถูกสาปให้เนรเทศ โดยเร่ร่อนไปทั่วโลกเป็นเวลาสามพันปี

เหตุการณ์หลังสงคราม

หนังสือเล่มที่ 11-18 บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังสงคราม และคำสอนของภีษมะ
หลังสงคราม เมื่อกฤษณะลงจากรถม้าศึก รถนั้นระเบิดไฟลุกท่วมสิ้น ร่างแฝงของกฤษณะเท่านั้นที่รักษาอาวุธสวรรค์ไว้จากการทำลายตั้งแต่ต้น กฤษณะเปิดเผยว่า ทวยเทพเห็นด้วยกับสงครามครั้งนี้ เพื่อผ่อนคลายภาระอันยิ่งใหญ่ของโลก (เหมือนกับ ทรอย) ทุรโยธน์ คือร่างทรงของกาลี จ้าวแห่งยุคที่สี่

ยูธิษฐิระ รายงานยอดความสูญเสียได้หกล้านศพ ท้าวเธอตื่นตระหนกกับความสูญเสียมโหฬารเช่นนั้น จึงมีช่วงวิกฤติส่วนตนคล้ายกับอรชุนก่อนยุทธนาการ ท้าวเธอไม่ประสงค์ขึ้นครองราชย์ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้อำนาจและความรุนแรงมากขึ้น ทรงเห็นว่าชีวิตเป็นความเจ็บปวดทรมานเสียเอง เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์มักแสวงหาอำนาจและความมั่งคั่งทางวัตถุ แต่ไม่เคยพึงพอใจเลย บุคคลผู้ซึ่งได้รับรางวัลทองคำและรางวัลดินโคลนต่างก็มีความสุขที่สุดเท่าเทียมกัน ส่วนคนอื่นกลับโน้มน้าวท้าวเธอว่าต้องครองราชย์ และทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์

ยูธิษฐิระ เห็นยุคต่อไปที่กำลังมาถึง “ข้าฯ เห็นยุคหนึ่งที่กำลังมาถึง ในยุคนั้นกษัตริย์ป่าเถื่อนปกครองโลกที่แตกสลายเสื่อมทราม ในโลกนั้นมนุษย์มีแต่ความยากลำบาก เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และอ่อนแอ อายุขัยสั้น ผมหงอกตั้งแต่อายุสิบหก สมสู่กับสัตว์ หญิงกลายเป็นโสเภณีไปหมดทำรักด้วยปากอันตะกละหิวกระหาย แม่วัวผอมแห้ง ต้นไม้แคระแกร็น ไม่มีดอกอีกต่อไป ไม่มีความบริสุทธิ์ใดหลงเหลืออยู่อีกต่อไป ผู้คนเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานมักใหญ่ไฝ่สูง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ยุคกาลี ยุคแห่งความมืดมนอนธกาล” ละคร

ภีมะ ถามว่า ทำไมยุธิษฐิระ ถึงได้คิดและมาละได้เอาป่านฉะนี้เล่า เฉกเช่นบุรุษผู้ป่ายปีนต้นไม้ขึ้นไปตีรังผึ้ง แต่ปฏิเสธการลิ้มรสน้ำผึ้งรวงนั้น หรือบุรุษผู้อยู่บนเตียงกับสตรี แต่ปฏิเสธการร่วมรัก เทราปที สงสัยความเป็นลูกผู้ชายของยุธิษฐิระ ว่าเป็นแต่เพียงบัณเฑาะก์ผู้มุ่งแสวงหาความสงบและหลีกเลี่ยงความรุนแรงเท่านั้น อรชุนตรัสว่า การปฏิเสธขึ้นครองราชย์จะเป็นแต่เพียงสาเหตุให้เกิดความโกลาหลอลหม่าน และก่อกรรมมากมายมหาศาลอันเลวยิ่งให้ยุธิษฐิระไปชดใช้ในชาติหน้าที่เกิดมาในวรรณะต่ำต้อยเท่านั้นเอง เราควรยอมรับบทบาทของเรา ขึ้นอยู่กับว่าในชีวิตนี้เราอยู่ที่ไหน กล่าวคือ บิดามีภาระหน้าที่ผูกพันอยู่กับครอบครัวของตนเมื่อบุตรยังเยาว์ เฉกเช่นเดียวกับกษัตริย์ต้องครองราชย์เสียก่อน แล้วบั้นปลายของชีวิตจึงอาจสละโลกไป แต่การกระทำเยี่ยงนั้นเสียแต่เนิ่นเป็นพฤฒิการณ์ของความเห็นแก่ตัว

ขณะกำลังถึงแก่มรณกรรม ภีมะ บอก ยุธิษฐิระว่า ในยุคที่สี่ (ยุคปัจจุบันของเรา) “ธรรมะกลายเป็นอธรรมะ และอธรรมะเป็นธรรมะ” ภีมะ กล่าวต่ออย่างค่อนข้างขัดแย้งกันว่า “หากใครสู้รบกับการใช้กลโกง บุคคลก็ควรสู้รบกับเขาด้วยกลโกง แต่หากใครสู้รบตามกฎกติกา บุคคลก็ควรตรวจสอบเขาด้วยธรรมะ… บุคคลควรเอาชนะความชั่วร้ายด้วยความดี ความตายพร้อมด้วยธรรมะดีกว่าชัยชำนะด้วยการกระทำเลว”

เนื่องจาก โอรสทั้งหมดพึ่งถึงแก่กรรมไป แววเนตรของกุณตีจึงมีแต่ความเศร้าโศกเสียใจอาลัยฉายอยู่ เห็นได้จากใต้ผ้าคาดตา ความรู้สึกของพระนางไหม้เกรียมไปด้วยเนื้อเท้าของทุรโยชน์ พระนางสาปแช่งกฤษณะ ผู้ซึ่งพระนางโยนความรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมทั้งหมดที่บังเกิดขึ้นไปไห้ ว่า ราชอาณาจักรแห่งปาณฑพจักล่มสลายภายในสามสิบหกปี แม้กระทั่งกฤษณะเองก็จะตาย จะมีคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ผ่านทางมา สังหารกฤษณะเสีย กฤษณะยอมรับคำสาปแช่งโดยดุษณี แล้วจึงตรัสแก่พระนางว่า แสงสว่างได้รับการพิทักษ์แล้ว แม้กระทั่งพระนางก็ไม่สามารถเห็นแสงสว่างนั้น ยุธิษฐิระยอมรับขึ้นครองราชย์

สามสิบสองปีผ่านไป และยุธิษฐิระ เดินทางไปถึงประตูสวรรค์ จูงสุนัขของพระองค์ไปด้วยตัวหนึ่ง พี่น้องและเทราปที ผู้สละโลกเดินทางไปด้วยกัน ต่างหล่นจากภูเขาลงสู่ขุมนรกตามรายทางที่ผ่านไป ทวารบาลประตูสวรรค์ขอให้ยุธิษฐิระทิ้งสุนัข หากว่าประสงค์จะเข้าสู่สวรรค์ ท้าวเธอปฏิเสธ ไม่ประสงค์ทิ้งสัตว์ซื่อสัตย์ที่นำไปด้วย และขอให้อนุญาตเข้าสู่สวรรค์ เพราะนี่เป็นการทดสอบ สุนัขนั้นคือธรรมเทพจำแลงมา ในสวรรค์ ยุธิษฐิระยังพบความประหลาดใจรออยู่อีกต่อไป อริราชศัตรูของพระองค์ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น ยิ้มสรวลเบิกบานสำราญใจ และพึงพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ อีกฟากหนึ่ง ดูเหมือนว่าพี่น้องปาณฑพและเทราปที ตกทุกข์ได้ยากทรมานอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ยุธิษฐิระ ตัดสินใจอยู่กับบุคคลผู้เป็นที่รักในขุมนรก ดีกว่าไปเสวยสุขสำราญยินดีในสวรรค์กับศัตรู นี่ก็เป็นการทดสอบอีกเช่นกัน และเป็น “มายาภาพสุดท้าย” แล้วทั้งหมดได้รับอนุญาตให้เข้าสู่สวรรค์

ในความคิดของชาวฮินดู ทั้งสวรรค์ หรือ นรก ไม่เป็นอมตะ แต่เป็นเพียงช่วงคั่นระหว่างการเกิดใหม่ในชาติภพต่างๆ เท่านั้น แรกสุดทุกคนต้องเสวยสวรรค์ก่อนช่วงระยะเวลาหนึ่ง (หรือตกนรกขุมใดขุมหนึ่งก่อน เนื่องจากมีหลายขุม) เพื่อชดใช้บาปกรรมของชาติภพก่อนหน้าที่ติดกับปัจจุบันชาติ ยุธิษฐิระ ต้องผ่านนรกระยะเวลาหนึ่งก่อน เนื่องจากคำโกหกของท้าวเธอต่อโทรณะ สวรรค์ต้อนรับผู้กระทำกรรมดีแต่เพียงระยะเวลาจำกัดเท่านั้น จนกว่าคุณงามความดีที่สะสมไว้นั้นหมดสิ้นไป

ในธรรมเนียมคติของชาวอินเดีย มีโลก(การดำรงอยู่ของชีวิต)ที่อยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไปอีกหกชั้น และโลก(นรก)ที่อยู่ต่ำกว่าลงไปอีกเจ็ดชั้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีการกระทำใดเกิดขึ้นได้เลยในโลกอื่นที่กล่าวถึงนี้ เนื่องจากกรรมของบุคคลหนึ่งไม่เปลี่ยนแปลงไป จนกว่าเขาจะกลับคืนมาสู่โลกมนุษย์
“การกระทำที่ประกอบขึ้นโดยสอดคล้องกับข้อห้ามในพระคัมภีร์ … นำผู้ประกอบการกระทำนั้นไปสู่โลกที่เลอเลิศ เพื่อเพลิดเพลินในโลกีย์วิสัยที่ยาวนานขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อระยะเวลาแห่งความศรัทธาอันแรงกล้าสิ้นสุดลง เขาต้องกลับคืนสู่โลกมนุษย์ เช่นเดียวกันกับบุคคลเดินทางกลับจากการพักผ่อนในวันหยุด และดำเนินงานของตนต่อไป” (“ภควัทคีตาตามที่เป็นจริงในอินเตอร์เนต”)

อวสาน



Create Date : 05 ตุลาคม 2550
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2550 15:38:04 น. 3 comments
Counter : 4158 Pageviews.

 
ขอบคุณครับสำหรับสุดยอดวรรณกรรม


โดย: bird can't fly วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:23:25:04 น.  

 
โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่านี่เป็นหนึ่งใน 3 สุดยอดวรรณกรรมของโลกเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องที่พอจะทัดเทียมก็มีแค่สามก๊กเท่านั้น


เรื่องพรของภีษมะผมว่า Lord of the ring คงจะเอาไอเดียไปใช้ตรงที่ว่า ภีษมะจะไม่มีวันพ่ายแพ้ให้กับชายหรือหญิงใดในสงคราม และจะไม่มีวันตายหากตนนั้นไม่ต้องการที่จะตาย (สุดท้ายตายเพราะกระเทย หรือ คำสาปของสิขันติ)

นางเทราปตีเกิดมาพร้อมกับพรและคำสาปที่ว่า จะต้องเกิดมาทำลายวงศ์เการพและปาณทพตามคำสาปของทรุปัท จึงได้มาแต่งกับวงศ์ปาณทพทั้ง 5 และเป็นหนึ่งต้นเหตุของสงครามครั้งนี้(ถูกเปลื้องผ้า) แต่คำพรของนางที่ได้จากพระศิวะก็คือ นางขอสวามีที่ มีคุณธรรม แข็งแรง เก่งธนู รูปหล่อ ฉลาด ซึ่งพระศิวะก็ให้พรตามนั้น แต่ คนเช่นนั้นไม่มีในโลกซึงมีพร้อมทั้ง 5 ประการ นางจึงได้แต่งกับปาณทพทั้ง 5



โดย: bird can't fly วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:23:40:31 น.  

 
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่นำมาฝากให้อ่านกันนะคะ ^_^

ขอ add เป็น friend's blog ไว้เลยนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ


โดย: Beee (Beee_bu ) วันที่: 8 ตุลาคม 2551 เวลา:15:02:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ลุดวิก
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Ich bin nur ein Mensch! Alles Leben ist leiden. Alles ist nichtig!
ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

Bangkok

Friends' blogs
[Add ลุดวิก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.