สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
น้ำผึ้งตามศาสตร์แพทย์แผนจีน

น้ำผึ้งมีประโยชน์ใช้ทำอาหารคาวหวานและให้คุณค่าต่อร่างกาย
เกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำผึ้งทางด้านการบำรุงร่างกายและการรักษา
โรคไว้ว่า


"น้ำผึ้ง มีสรรพคุณ 5 ประการ" กล่าวคือ

1. ขับร้อน
2. บำรุงส่วนกลาง (กระเพาะอาหารและม้าม)
3. ขับพิษ รักษาแผล
4. ทำให้ชุ่มชื่นลดความแห้งแก้ไอ
5. แก้ปวด





ฤทธิ์และรสกับการประยุกต์

น้ำผึ้งมีรสหวาน คุณสมบัติหรือฤทธิ์เป็นกลาง วิ่งเส้นลมปราณปอด ม้าม
ลำไส้ใหญ่ เนื่องจากส่วนประกอบสำคัญร้อยละ 79 คือฟรักโทส และกลูโคส ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทันที นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโน เอนไซม์หลายชนิด วิตามินบี และเกลือแร่ กรดกลูโคนิก ร้อยละ 0.5 ซึ่งทำให้มีรสเปรี้ยวอยู่ด้วยกัน


สรรพคุณที่ระบุไว้ในตำราอาหารและยาจีน

1. บำรุงภาวะพร่องอ่อนแอ ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง แผลกระเพาะอาหาร วัณโรคปอด ฯลฯ
2. ลดความแห้งของปอด ทำให้ชุ่มชื่น เหมาะสำหรับอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ ไอเรื้องรัง มักจะทำให้ชุ่มคอ อาจใช้ร่วมกับสมุนไพร ซาเซิน เซิงตี้
3. ช่วยระบายทำให้อุจจาระนิ่ม เหมาะสำหรับคนสูงอายุ หญิงหลังคลอด ผู้ป่วยฟื้นจากโรคที่มีอาการท้องผูก
4. มีฤทธิ์สมานแผล เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคแผลกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กอักเสบ ผู้ป่วยที่ระบบการย่อยอ่อนแอ ปวดท้องและมีแขนขาเย็น ลดการหดเกร็งเนื่องจากความเย็น
5. ขับพิษ - ทำลายพิษ สามารถลดพิษของ ยาสมุนไพรจีน ฟู่จื่อ อูโถว ใช้ทาแผลภายนอกที่เกดไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ฝีมีหนอง สามารถฆ่าเชื้อและทำให้แผลหายเร็วขึ้น
6. ใช้ในด้านความงาม ทำให้ผิวหนังนุ่ม และลดการอักเสบ
7. ช่วยทำให้การนอนหลับดีขึ้น
8. ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กเล็ก
9. มีการประยุกต์ใช้ในผู้ป่วยโรคตับ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง





ข้อห้ามและข้อควรระวังการกินน้ำผึ้ง

1. ผู้ป่วยเบาหวานห้ามกิน เนื่องจากน้ำผึ้งมีปริมาณกลูโคส และฟรักโทสที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว การหลั่งอินซูลินของตับอ่อนไม่พอ
2. ห้ามกินปริมาณมาก โดยเฉลี่ยวันละ 1-2 ช้อน ประมาณ 20 กรัม ในกรณีพิเศษอาจกินเพิ่มได้ แต่ไม่ควรเกิน 50 กรัม/วัน
3. คนที่ถ่ายเหลวหรือท้องเสีย เพราะจะทำให้ถ่ายมากขึ้น เนื่องจากน้ำผึ้งจะดูดน้ำทำให้ขับอุจจาระมากขึ้น
4. ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน หรือมีผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เนื่องจากภาวะความชื้นตกค้าง
5. การผสมน้ำอุ่นประมาณไม่เกิน 40 องศา ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัดๆ เพราะจะทำลายคุณค่าของเอนไซม์ วิตามิน และกรดอะมิโน และสารที่มีคุณค่า ในฤดูร้อนสามารถใช้น้ำเย็นชงดื่ม แต่ควรจะผสมน้ำขิงเล็กน้อย ป้องกันกระเพาะอาหารกระทบความเย็น
6. ไม่ควรกินร่วมกับเต้าหู้ เนื่องจากเต้าหู้มีรสหวาน เค็ม มีคุณสมบัติเย็น สรรพคุณขับร้อนกระจายเลือด เมื่อกินร่วมกันทำให้ท้องเสียง่าย อีกเหตุผลหนึ่งคือ เอนไซม์จากน้ำผึ้งจะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุ โปรตีน สารอินทรีย์ของเต้าหู้ จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการด้อยไป
7. ไม่ควรกินพร้อมผักกุยช่าย เพราะ กุยช่าย มีวิตามินซีมาก จะทำปฏิกิริยากับโลหะทองแดง และเหล็กในน้ำผึ้ง เกิดออกซิเดชัน ทำให้คุณค่าด้อยลง อีกเหตุผลหนึ่ง น้ำผึ้งทำให้ระบาย กุยช่ายมีเส้นใยมาก เมื่อกินร่วมกันจะทำให้ท้องเสียง่าย
8. ไม่ควรกินร่วมกับหัวหอมและกระเทียม จะทำให้ฤทธิ์ของน้ำผึ้งด้อยลง


สรรพคุณ

1. น้ำผึ้งมีรสหวานมาก แต่ไม่มีสรรพคุณที่ทำให้เกิดความอ้วน นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ลดกรดของไขมัน
2. น้ำผึ้งไม่ทำให้เกิดฟันผุ เหมือนน้ำตาลหรือลูกกวาดทั่วไป แต่กลับทำให้การงอกของฟันดีขึ้น
3. มีบางรายงานเชื่อว่า น้ำผึ้งมีฤทธิ์ยับยั้งการก่อตัวของนิ่วในไต และนิ่วในถุงน้ำดี
4. มีฤทธิ์ต้านเชื้อโรค มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง เป็นยาอายุวัฒนะ
5. ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร รักษาแผลกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น โรคบิด ลำไส้อักเสบ





น้ำผึ้งชนิดต่างๆ

เนื่องจากน้ำผึ้งเกิดจากการสะสมน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ชนิดต่างๆกัน ทำให้ลักษณะน้ำผึ้งที่เกิดขึ้น มีคุณสมบัติแตกต่างกันไปด้วย ตัวอย่างเช่น

1. น้ำผึ้งจากเกสรดอกลำไย บำรุงและเลือด บำรุงสมอง ช่วยความจำ ทำให้นอนหลับ
2. น้ำผึ้งจากเกสรดอกลิ้นจี่ แก้กระหาย กระตุ้นน้ำลาย บำรุงหัวใจและไต
3. น้ำผึ้งจากเกสรเบญจมาศป่า ขับร้อนขับไฟ ขับลมแก้พิษ
4. น้ำผึ้งจากเกสรอบเชยป่า ขับร้อนกระตุ้นความอยากอาหาร บำรุงม้าม บำรุงประสาท
5. น้ำผึ้งจากเกสรของส้ม ลดบวม-ขับพิษ แก้กระหายน้ำ


เวลาที่เหมาะสมในการกินน้ำผึ้ง

1. ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง
ถ้าดื่มโดยผสมน้ำอุ่น จะมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร และทำให้กรดในกระเพาะอาหารเจือจาง ลดการระคายเคือง เหมาะสำหรับผู้ป่วย โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ถ้าดื่มโดยผสมน้ำเย็น จะมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร รวมทั้งกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้กระตุ้นการถ่ายอุจจาระ

2. ควรดื่มหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง
เพราะการดื่มหลังอาหารทันที จะทำให้มีการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดให้สูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก อีกทั้งจะเป็นการกระตุ้นน้ำย่อยกระเพาะอาหารมากยิ่งขึ้นอีก

3 ควรดื่มก่อนนอนเหมาะสำหรับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง และนอนหลับยาก







ขอบคุณข้อมูลความรู้ดีดีจากเว็ปไซด์หมอชาวบ้าน


Create Date : 25 มิถุนายน 2552
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 9:07:50 น. 0 comments
Counter : 1004 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
25 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.