๖ คำถามน่ารู้ โรคไขมันสะสมในตับ
ภาวะอ้วนลงพุงของคนเราที่เกิดจาก พฤติกรรมสุขภาพ พบมากขึ้นในสังคมไทย ส่งผลให้เกิดปัญหาโรคแทรกซ้อนตามมาอีกหลายโรคที่สัมพันธ์กับภาวะอ้วนลงพุง นั่นคือโรคไขมันสะสมในตับ มาทำความรู้จักที่มาของปัญหาไขมันสะสมในตับ การป้องกัน และการแก้ไข ผ่าน ๖ คำถามน่ารู้
๑. โรคไขมันสะสมในตับพบได้บ่อยแค่ไหนและลักษณะการดำเนินโรคเป็นไปอย่างไร?
โรคไขมันสะสมในตับจัดเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากข้อมูลที่มีการศึกษาพบว่ามีความชุกของโรคไขมันสะสมในตับ สูงถึงร้อยละ ๙-๔๐ และมีความสัมพันธ์กับความชุกของโรคอ้วน ส่วนความชุกของโรคไขมันสะสมในตับที่มีการอักเสบร่วมด้วยนั้นพบร้อยละ ๖-๑๓ ของประชากรทั่วไป
ในการศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่ามีผู้ป่วยโรคไขมันสะสมในตับสูงถึงร้อยละ ๗๒ ในกลุ่มผู้ป่วยตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุจากไวรัสตับอักเสบบี ซี และแอลกอฮอล์ ส่วนที่เหลือร้อยละ ๒๘ เป็นกลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ
โรคนี้พบได้บ่อยขึ้นในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น คนอ้วน จะพบปัญหาโรคไขมันสะสมในตับหรือ Non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) หรือ Non-alcoholic-steatohepatitis (NASH) ได้ ถึงร้อยละ ๓๗-๙๐ ส่วนในคนที่เป็นเบาหวานพบถึงร้อยละ ๗๒
สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้ามีโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนอยู่ จะมีโอกาสพบโรคไขมันสะสมในตับได้มากถึง ๗ ใน ๑๐ ราย
ผู้ป่วยมักไม่มีอาการแต่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องที่มีค่าการทำงานของตับผิดปกติจากการตรวจสุขภาพ โดยมีค่าที่สูงขึ้นประมาณ ๑.๕ เท่า และตรวจหาสาเหตุอื่นๆ แล้วไม่พบ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือไวรัสตับอักเสบชนิดซี
โรคนี้มักมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลานานเป็น ๑๐ ปีจึงจะเห็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ภาวะตับแข็ง และการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดได้ตั้งแต่วัยทำงาน จึงเป็นปัญหาสำคัญในระยะยาว
๒. จะรู้ได้อย่างไรว่าอาจเป็นโรคไขมันสะสมในตับ
เราสามารถตรวจตนเองเบื้องต้นได้ดังนี้
ส่วนที่ ๑ คือ การประเมินสภาพร่างกายตนเองว่ามีโรคอ้วนหรือไม่ วิธีคำนวณ โดยใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI) ที่คำนวณจาก ค่าน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยความสูงยกกำลังสอง (เมตร๒) หรือเขียนสั้น ๆ ว่า ดัชนีมวลกาย = น้ำหนัก (กิโลกรัม) หาร (ความสูง x ความสูง) ผลที่ได้จะออกมาเป็น กิโลกรัมต่อตารางเมตร ยกตัวอย่างเช่น ชายน้ำหนัก ๘๐ กิโลกรัม ความสูง ๑.๖๘ เมตร ดัชนีมวลกาย = ๘๐ หาร (๑.๖๘ x ๑.๖๘) = ๒๘.๓๔ กิโลกรัมต่อตารางเมตร เกณฑ์วินิจฉัยสำหรับคนเอเชีย ให้ค่าที่เกิน ๒๘ กก./ตร.ม. (กิโลกรัมต่อตารางเมตร) เป็นภาวะอ้วน ดังนั้น กรณีตัวอย่างชายผู้นี้จึงถือว่ามีโรคอ้วน
ส่วนที่ ๒ ตรวจสอบข้อมูลโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับภาวะไขมันเกาะตับ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ว่าได้รับการรักษาและควบคุมได้ดีหรือไม่ นอกจากนี้ การพบโรคร่วมดังกล่าวซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของภาวะอ้วนลงพุง (metabolic syndrome) จะมีโอกาสเกิดภาวะตับอักเสบและมีพังผืดในตับได้มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะอ้วนลงพุง ส่วนองค์ประกอบของภาวะอ้วนลงพุงนั้น กำหนดเกณฑ์วินิจฉัยไว้ดังนี้ คือ ก. องค์ประกอบแรกต้องมีโรคอ้วนที่วินิจฉัยโดยใช้เกณฑ์ของคนเอเชียคือ ผู้ชายมีเส้นรอบเอวอย่างน้อย ๙๐ ซม. (๓๖ นิ้ว) ผู้หญิงมีเส้นรอบเอวอย่างน้อย ๘๐ ซม (๓๒ นิ้ว) ข. ร่วมกับเกณฑ์ ๒ ข้อจาก ๔ ข้อต่อไปนี้ ๑. ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง เกินกว่า ๑๕๐ มก./ดล. ๒. ระดับไขมันคอเลสเตอรอลตัวดี (HDLcholesterol) โดย - ผู้ชายต่ำกว่า ๔๐ มก./ดล. - ผู้หญิงต่ำกว่า ๕๐ มก./ดล. ๓. มีความดันเลือดสูง ตั้งแต่ ๑๓๐/๘๕ มม.ปรอท ขึ้นไป หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันเลือดสูงที่กำลังรับยารักษาอยู่ ๔. ระดับน้ำตาลตอนเช้า (อดอาหาร) สูงตั้งแต่ ๑๐๐ มก./ดล. หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
๓. เมื่อทราบว่าเป็นโรคไขมันสะสมในตับแล้ว จะดูแลสุขภาพอย่างไร? แพทย์จะมีหลักในการดูแลรักษา ๒ ส่วนคือวิธีรักษาที่ไม่ต้องใช้ยาและการใช้ยา วิธีการรักษาที่ไม่ต้องใช้ยานั้นผู้ป่วยต้องดูแลตนเองให้มาก สำหรับการใช้ยา ปัจจุบันมียาที่อาจพิจารณาใช้ได้อยู่ไม่กี่ชนิด และผลการวิจัยก็พบว่ายาเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบของตับได้ แต่ไม่สามารถลดภาวะพังผืดในตับได้ ส่วนควรใช้ยาตัวใด และควรเริ่มยาเมื่อไรนั้นต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์
๔. การดูแลรักษาสุขภาพด้วยตนเองเบื้องต้น สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยโรคไขมันเกาะตับต้องลงมือปฏิบัติและต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันบางส่วนจึงจะได้ผลในการรักษา โดยมีรายละเอียดดังนี้ ๑. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงจนเลิกดื่ม ๒. หลีกเลี่ยงการใช้ยา อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่ไม่จำเป็น เพราะนอกจากมีโอกาสทำให้ตับอักเสบแล้ว ยังอาจทำให้มีไขมันสะสมในตับเพิ่มขึ้นได้ เช่นกลุ่มอาหารเสริม สมุนไพรที่พบว่าทำให้ตับอักเสบได้ เช่น ขี้เหล็ก มะรุม เป็นต้น ๓. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยพบว่ามีผลต่อการลดภาวะอักเสบของตับได้อย่างชัดเจน ซึ่งยืนยันได้จากทั้งผลตรวจเลือดค่าทำงานตับหรือผลการเจาะตับ หากทำได้อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าน้ำหนักจะไม่ลดลงในช่วงแรกก็ตาม โดยทั่วไปพบว่ามีผู้ป่วยเพียง ๑ ใน ๓ ที่จะออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอและลดน้ำหนักได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงภาวะดื้อต่ออินซูลินที่มีอยู่เดิมให้ลดลงซึ่งช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้น ส่วนหลักการลดน้ำหนักควรวางเป้าหมายไว้ที่ ๑ กิโลกรัมต่อสัปดาห์ (ไม่ควรเกิน ๑.๖ กิโลกรัมต่อสัปดาห์) กิจกรรมหรือชนิดของการออกกำลังกายที่แนะนำสรุปไว้ในตารางที่ ๑ คือเป็นการออกกำลังกายในระดับปานกลาง (moderate intensity physical activity) โดยควรตั้งเป้าหมายให้ทำกิจกรรมดังกล่าวได้นาน ๒๐๐ นาทีต่อสัปดาห์ ระยะเวลา ๖ เดือน (ประมาณ ครึ่งชั่วโมงต่อวัน) ส่วนวิธีประเมินผลว่าเป็นการออกกำลังกายในระดับ moderate intensity physical activity หรือไม่ให้ใช้อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งคำนวณจาก... ค่า (๒๒๐ ลบ อายุ) คูณ (ร้อยละ ๕๐-๗๐) ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยอายุ ๔๐ ปี เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลางแล้วควรมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ (๒๒๐-๔๐) x ๐.๕ (ร้อยละ ๕๐) = ๙๐ ถึง (๒๒๐-๔๐) x ๐.๗ (ร้อยละ ๕๐) = ๑๒๖ หรือมีค่าระหว่าง ๙๐-๑๒๖ ครั้ง/นาที
สำหรับการออกกำลังกายในระดับสูง (high intensity physical activity) จะช่วยเผาผลาญไขมันคิดเป็นพลังงานได้ประมาณ ๒ เท่า ของการออกกำลังกายในระดับปานกลาง
๔. การควบคุมอาหารและแคลอรี โดยมีหลักการดังนี้ เลือกกินอาหารให้ครบ ๕ หมู่และควบคุมอาหารให้ได้พลังงานพอเพียงเท่าที่ร่างกายต้องการ โดยทั่วไปควรได้พลังงาน ๓๐ กิโลแคลอรี ต่อน้ำหนักตัวมาตรฐาน ๑ กก.ต่อวัน หรือ ๓๐ x น้ำหนักตัว ตัวอย่างเช่น คนน้ำหนัก ๖๐ กก. ๓๐ x ๖๐ กก. = ควรได้พลังงานประมาณ ๑,๘๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน โดยได้จากอาหาร ๓ มื้อ เฉลี่ยมื้อละ ๖๐๐ กิโลแคลอรี อาจไม่ต้องแบ่งให้เท่ากัน เพราะมื้อเช้าและกลางวัน ควรกินให้ได้พลังงานมากกว่ามื้อเย็น ผู้ป่วยโรคไขมันสะสมในตับจำเป็นต้องควบคุมพลังงานที่ร่างกายต้องการให้เหลือเพียง ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ต่อน้ำหนักตัวไม่เกิน ๙๐ กิโลกรัม หากน้ำหนักตัวเกิน ๙๐ กิโลกรัม ควรปรับปริมาณพลังงานที่ควรได้ให้ไม่เกิน ๑,๕๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ชนิดของอาหารควรเลือกให้เหมาะสมดังสรุปปริมาณแคลอรีที่ได้จากอาหารจานเดี่ยวในตารางที่ ๒
๕. เลือกกินอาหารอย่างไรให้ควบคุมปริมาณพลังงานที่เหมาะสม? ๑. เลือกอาหารว่างและผลไม้ที่มีปริมาณการดูดซึมปริมาณน้ำตาลหรือ Glycemic index ที่ต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารว่างและผลไม้ที่มีพลังงานที่สูง เช่น เครื่องดื่มที่มีนมเนยผสมปริมาณมากๆ ไอศกรีม ขนมหวานจัด ผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ที่มีค่า Glycemic index สูง ส่วนผลไม้ที่กินได้เพราะปริมาณการดูดซึมปริมาณน้ำตาลต่ำ ได้แก่ กล้วย มะละกอ แอปเปิ้ล เป็นต้น ดังสรุปปริมาณแคลอรีที่ได้ในตารางที่ ๓-๔ ๒. กินอาหารที่มีปริมาณเส้นใยสูงให้ได้ปริมาณอย่างน้อย ๔๐ กรัมต่อวัน
๓. ระลึกเสมอว่าการเผาผลาญพลังงานด้วยการออกกำลังกายต้องใช้เวลาทำอย่างสม่ำเสมอ และต้องทำควบคู่กับการควบคุมปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวันด้วย ดังนั้น การจดบันทึกชนิดและปริมาณแคลอรีของอาหารที่กินในแต่ละวันจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามผลได้ ตัวอย่างเช่น ถ้ากินข้าวมันไก่เกินที่ควรจะเป็นจำนวน ๑ จาน (๓๐๐ กรัม) จะได้พลังงานเกินที่ต้องการถึง ๕๙๖ กิโลแคลอรี ซึ่งต้องออกกำลังกายในระดับสูง เช่น ด้วยการวิ่งความเร็วประมาณ ๙-๑๒ กม./ชม. นานถึง ๑ ชั่วโมงจึงจะเผาผลาญพลังงานส่วนเกินดังกล่าวได้ รายละเอียดของพลังงานในอาหารแต่ละอย่างมีสรุปไว้ในตารางที่ ๒-๓ จากผลการวิจัยยืนยันว่าผู้ป่วยโรคไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบ หากควบคุมน้ำหนักจนลดได้ร้อยละ ๗-๑๐ ในช่วง ๙-๑๒ เดือน ทั้งจากการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้ภาวะตับอักเสบดีขึ้น ภาวะดื้อต่ออินซูลินลดลง ค่าไขมันค่าการทำงานตับก็จะดีขึ้นด้วย ผลของการควบคุมน้ำหนักที่ลดได้มากเท่าใดก็ยิ่งเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของลักษณะพยาธิวิทยาของตับชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของภาวะพังผืดยังไม่ชัดเจนจากการติดตามผล ๑ ปี
๖. จุดมุ่งหมายของการรักษาโรคไขมันสะสมในตับมีอะไรบ้าง? จุดมุ่งหมายของการรักษามีดังนี้คือ ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ป้องกันการเกิดภาวะตับแข็งด้วยการลดการอักเสบของตับ ป้องกันการเกิดมะเร็งที่อาจพบแทรกซ้อนได้
ขอบคุณข้อมูลจาก //www.doctor.or.th/node/11403
Create Date : 04 พฤษภาคม 2554 |
Last Update : 4 พฤษภาคม 2554 10:13:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1665 Pageviews. |
|
|
|
|
|