การใช้คลื่นความถี่วิทยุเพื่อลดการบวมของเยื่อบุจมูก
การใช้คลื่นความถี่วิทยุในการรักษาเยื่อบุจมูกบวมหรืออักเสบเป็นการรักษาที่นิยมทำเพื่อลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและการปฏิบัติตนพื้นฐาน ขั้นตอนการรักษาทำโดยแพทย์จะใส่เครื่องมือที่เป็นเหมือนเข็มชนิดพิเศษ สำหรับปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (radiofrequency, RF) สอดเข้าไปในเยื่อบุจมูกส่วนที่เรียกว่า เทอร์บิเนตอันล่าง (Inferior turbinate) เพื่อให้เกิดความร้อนในเนื้อเยื่อดังกล่าว และกลายเป็นพังผืดเล็กๆ ซึ่งทำให้มีการหดตัวของเยื่อบุจมูกในเวลาถัดมา หลังการรักษาผู้ป่วยจะรู้สึกจมูกโล่งและหายใจได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้อาจทำให้อาการคัน, จาม, น้ำมูกไหล และ เสมหะลงคอลดลงด้วย การรักษาด้วยความถี่วิทยุนี้สามารถทำได้โดยใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ ไม่จำเป็นต้องดมยาสลบจึงไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เนื่องจากแผลจากการรักษามีขนาดเพียงเท่ารูเข็มซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก อาการปวดหรือเจ็บแผลจากการรักษาน้อย ผู้ป่วยส่วนมากไม่ได้รับประทานยาแก้ปวดและไม่ได้หยุดงานหรือหยุดเรียนเพิ่มเติม ผลของการรักษามักเห็นชัดเจนภายใน 4 สัปดาห์ มีผู้ที่รับการรักษาด้วยวิธีนี้มาหลายร้อยรายและมีงาน วิจัยยืนยันว่า ผลจากการรักษาด้วยคลื่นความถี่วิทยุสามารถลดอาการคัดจมูกได้ราวร้อยละ 80 โดยที่ผลยังคงอยู่นานไม่น้อยกว่า 1 ปี ผู้ป่วยบางรายจะนอนกรนลดลงได้ โดยทั่วไปทำการรักษาเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตามถ้าผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจอาจทำซ้ำได้อีกเนื่องจากความเสี่ยงต่ำ
การเตรียมตัวก่อนการรักษา ผู้ป่วยควรจะรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่น พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันไข้หวัดหรือการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจทำให้ต้องเลื่อนการผ่าตัด สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน หรือ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ต้องหยุดยาก่อนล่วงหน้า ทั้งนี้ต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินความพร้อมของผู้ป่วย และอาจต้องตรวจเลือดหรือ อื่นๆแล้วแต่ความจำเป็น
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา โดยทั่วไปความเสี่ยงจากการรักษาด้วยความถี่วิทยุหากทำได้อย่างถูกขั้นตอนจะมีน้อยมาก ที่อาจพบได้แก่ เลือดออกจากแผลในจมูกปริมาณเล็กน้อยและหยุดได้เอง ผู้ป่วยอาจรู้สึกหายใจไม่สะดวกเนื่องจาก มักจะมีน้ำมูกหรือคัดจมูกในช่วงสัปดาห์แรกหลังรักษา ซึ่งถ้าอาการเป็นมากผิดปกติอาจมาพบแพทย์ก่อนนัดได้ สำหรับความเสี่ยงอื่นๆ ที่พบได้แต่มีน้อยเช่น ผลข้างเคียงของยาชาเฉพาะที่ เช่น ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม หูอื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายได้เอง อย่างไรก็ตามผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือ มีโรคหัวใจร่วมด้วย อาจจะมีความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าคนที่แข็งแรงดี
การปฏิบัติตนและสิ่งที่ควรทราบหลังการรักษา
1. ผู้ป่วยเกือบทุกรายสามารถกลับบ้านได้หลังจากพักฟื้นเพียง 1-2 ชั่วโมง ยกเว้นบางรายที่แพทย์เห็นสมควรให้นอนพักนานขึ้น และผู้ป่วยจะได้รับยาแก้อักเสบ, ยาแก้ปวด, ยาลดบวม แล้วแต่อาการ 2. หลังการรักษาสัปดาห์แรก อาการมักยังไม่ดีขึ้นทันที ผู้ป่วยอาจมีอาการแสบหรือเจ็บภายในจมูกและมีน้ำมูกหรือ เลือดกำเดาออกเล็กน้อย ซึ่งอาการดังกล่าวมักจะหายไปเอง ในเวลาต่อมา 3. ท่านควรเริ่มล้างทำความสะอาดในช่องจมูกบริเวณที่รักษาอย่างเบา ๆ โดยใช้น้ำเกลือหลังรักษาไปแล้ว 48-72 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดสะเก็ดแผล ซึ่งเกิดจากน้ำมูกและคราบเลือดที่ค้างอยู่ ผู้ป่วยควรล้างจมูก วันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย ยกเว้นมีเลือดออกมากให้หยุดล้างจมูกชั่วคราว และใช้ยาหยอดห้ามเลือดแทน 4. หลังรักษาโดยทั่วไปผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตหรือทำกิจกรรมได้ปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือการกระแทกบริเวณจมูก และหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หักโหมใน 24 ชั่วโมงแรก 5. ถ้ามีเลือดออกจากจมูก ควรนอนพัก ยกศีรษะสูง หยอดยาหยอดจมูกห้ามเลือดที่แพทย์สั่งไว้ให้ แต่ถ้าเลือดออกไม่หยุด ควรไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์
การนัดตรวจติดตามอาการ แพทย์จะนัดผู้ป่วยทุกรายมาดูแผลครั้งแรกประมาณ 1 สัปดาห์หลังรักษา และหลังจากนั้นจะนัดมาเป็นระยะ หากอาการต่างๆ ไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร แพทย์จะแนะนำทางเลือกในการรักษาตามความเหมาะสมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.นพ.วิชญ์ บรรณหิรัญ คลินิกนอนกรน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Create Date : 28 เมษายน 2554 |
Last Update : 28 เมษายน 2554 9:08:54 น. |
|
5 comments
|
Counter : 768 Pageviews. |
|
|
|
ปาปํ อถ ปาโป ปาปานิ ปสฺสติ
เมื่อบาปยังไม่ส่งผล คนชั่วก็เห็นว่าเป็นของดี
ต่อเมื่อมันส่งผลเมื่อใด เมื่อนั้นเขาจึงรู้พิษสงของบาป
มีความสุขกับการอโหสิกรรมต่อเพื่อนร่วมโลก ตลอดไป..นะคะ