สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
กลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรัง

อย่างไรจึงเรียกว่าอ่อนล้าเรื้อรัง

กลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS) เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังแต่ประการใด และการพักผ่อนก็ไม่ช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้น รวมถึงอาจจะพบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย และต้องมีอาการอ่อนล้าเรื้อรังเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ผู้ป่วยบางคนอาจจะมีอาการหลังการเป็นไข้หวัดใหญ่ อย่างไรก็ดี กลไกการเกิดโรคจะทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกันและระบบต่อมไร้ท่อ ด้วยเหตุนี้องค์การอนามัยโลกจึงได้จัดกลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรังเป็นโรคทางระบบประสาท

แต่เนื่องจากกลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรังจะมีอาการที่หลากหลาย หลายหน่วยงานจึงให้คำจำกัดความดังต่อไปนี้ ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ (พ.ศ.2537) ให้คำจำกัดความว่า เป็นกลุ่มอาการที่ประกอบด้วยอาการอ่อนล้าร่วมกับอาการอื่นๆ ตั้งแต่ 4อาการขึ้นไป เกณฑ์ของออกซ์ฟอร์ด (พ.ศ.2534) กล่าวว่า
กลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรังเป็นกลุ่มอาการที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน บางครั้งจึงเรียกว่ากลุ่มอาการอ่อนล้าหลังติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงอาการสมองอ่อนล้า และอาจจะมีความผิดปกติทางจิตร่วมด้วย
กลุ่มงานคลินิกแคนาเดียน (พ.ศ.2543) ให้ความจำกัดความว่า เป็นอาการอ่อนล้าหลังออกกำลัง รบกวนการนอนหลับ และมีอาการปวด อาจจะมีอาการทางประสาทตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป โดยมีความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ต่อมไร้ท่อ ภูมิคุ้มกัน และมีอาการอย่างน้อย 6 เดือน

สาเหตุ

ถึงปัจจุบันวงการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการโรคนี้ และยังไม่มีการตรวจยืนยันด้วยห้องปฏิบัติการ

กลุ่มเสี่ยง

กลุ่มอาการนี้พบ 7-3,000 คนต่อประชากร 100,000 คน ทั้งนี้เนื่องจากคำจำกัดความของโรคที่แตกต่างกันดังกล่าวมาแล้วนั่นเอง แต่องค์กรสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกาได้ประเมินว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 1,000,000 คนเป็นโรคนี้ และในประเทศอังกฤษพบราว 250,000 คน ส่วนใหญ่พบในคนที่มีอายุระหว่าง 40-50 ปี ปี สำหรับในประเทศกลุ่มอาเซียน ได้แก่ เวียดนามพบ 151,953 คน ฟิลิปปินส์ 158,532 คน สิงคโปร์ 8,003 คน ส่วนประเทศไทยพบว่ามีคนเป็นโรคนี้ 119,238 คน
กลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรังเกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ แต่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบมากในคนที่มีอายุระหว่าง 40-59 ปี ซึ่งอาจจะมีคนในครอบครัวมีอาการเช่นนี้ด้วย แต่ไม่ใช่โรคติดต่อ

อาการ

กลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรังจะเกี่ยวข้องกับโรคหลายๆ ระบบ จึงทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น เหนื่อยง่าย รู้สึกไม่สดชื่นหลังตื่นนอน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ สมาธิสั้น เป็นต้น จนมีผลต่อร่างกายและจิตใจในที่สุด สำหรับอาการอื่นๆ ที่อาจพบได้อีกก็อย่างเช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความรู้สึกไว เปลี่ยนท่าเร็วๆ ไม่ได้ อาหารไม่ย่อย ซึมเศร้า และภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ เกิดปัญหากับหัวใจและปอด เป็นต้น

อาการแสดง

อาการเริ่มต้น ส่วนใหญ่มักเกิดอาการอย่างเฉียบพลันทันที เช่น มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาจึงให้เกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคนี้ไว้ว่าต้องประกอบด้วยอาการอ่อนล้าที่เกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับการออกแรง จนมีผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวัน และแม้จะพักก็ไม่หาย
รวมถึงต้องมีอาการต่อไปนี้ตั้งแต่ 4 อย่างขึ้นไปเป็นเวลานานอย่างน้อย 6 เดือน คือ

- ไม่มีสมาธิ ความจำเสื่อมถอย
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังออกกำลัง รู้สึกว่าร่างกายและสมองเกิดความอ่อนล้า
- หลับไม่เต็มอิ่ม
- ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดข้อหลายข้อ
- ปวดหัวอย่างรุนแรง
- เจ็บคอบ่อยๆ
- เจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอ หรือรักแร้
และอาจจะมีอาการที่ตรวจพบร่วมด้วย ได้แก่
- ปวดมวนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเสีย
- หนาวสั่นและเหงื่อออกในเวลากลางคืน
- สมาธิสั้น
- เจ็บหน้าอก
- หายใจติดขัด
- ไอเรื้อรัง
- การมองเห็นผิดปกติ ( ภาพเบลอ ไวต่อแสง ปวดตา หรือตาแห้ง)
- แพ้หรือไวต่ออาหาร แอลกอฮอล์ กลิ่น สารเคมี ยาหรือเสียง
- ยืนนานๆ จะมีอาการเป็นลม วิงเวียน ใจสั่น มึนศีรษะ เซ ทรงตัวไม่อยู่
- มีปัญหาด้านจิตใจ (ซึมเศร้า อารมณ์ไม่แน่นอน ตื่นเต้น หวาดกลัว)

การทำงาน ความพิการและสุขภาพ ผู้ป่วยมักจะบอกว่ามีความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ ลดลง โดยเฉพาะงานที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นอาการที่คล้ายๆ กับคนที่เป็นโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคเอดส์ระยะท้าย โรคลูปัส โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และอาจจะส่งผลต่อการทำงานมากกว่าโรคบางโรค เช่น หัวใจล้มเหลว เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยประมาณ 2 ใน 3 จะทำงานได้น้อยลง หากได้พักอาการก็จะดีขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่สามารถกลับมาทำงานอย่างเต็มที่ได้เหมือนเดิม
เชาวน์ปัญญา ผู้ป่วยอาจจะมีเชาวน์ปัญญาเสื่อมถอยเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากสมาธิ ความจำและการตอบสนองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงต้องใช้เวลานานขึ้นในการทำความเข้าใจงานที่ทำ จนอาจจะเกิดความเสียหายในการทำงานได้ รวมถึงยังมีความสามารถในการรับรู้ การพูด การใช้ภาษา และความมีเหตุผล ลดลง

การวินิจฉัย

เนื่องจากยังไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จะช่วยยืนยันสาเหตุของโรคนี้ การวินิจฉัยส่วนใหญ่จึงต้องใช้วิธีการสอบประวัติเป็นส่วนใหญ่

การรักษา

แม้ว่าจะเป็นโรคที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย หากไม่ได้รับการรักษา แต่เนื่องจากยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรัง ทำให้แพทย์ผู้ตรวจรักษาจำเป็นต้องค้นหาสาเหตุของโรตตามอาการที่ปรากฎ ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาใดๆ ที่ทำให้โรคนี้หายขาดได้ จึงมีผู้ป่วยเพียง 5 % ที่มีโอกาสหายขาด จากการรักษาตามอาการ ขณะที่ผู้ป่วยจำนวนมากไม่หายขาด แม้ว่าจะได้รับการรักษาด้วยวิธีการดูแลเรื่องอาหาร การทำกายภาพบำบัด การให้อาหารเสริม ยาต้านโรคซึมเศร้า ยาบรรเทาปวด และการรักษาโดยแพทย์ทางเลือก แต่การรักษาบางอย่างก็ให้ผลดีที่น่าสนใจดังนี้

การรักษาเชาวน์ปัญญาและพฤติกรรม ซึ่งเป็นการแก้ไขอาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป วันต่อวัน เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดอาการของโรคได้ในผู้ป่วยบางราย โดยข้อมูลจากการทบทวนผลงานในการศึกษา(literature review) 15 การศึกษาที่ทำกับผู้ป่วยจำนวน 1,043 รายพบว่า การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับการรักษาทั่วๆ ไปที่ได้ผลเพียง 26%

การทำกายภาพบำบัด มีการศึกษาพบว่า หลังการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดนาน 12 สัปดาห์ขึ้นไป ทำให้อาการอ่อนล้าของผู้ป่วยดีขึ้น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักจะเป็นๆ หายๆ และมีระดับความรุนแรงที่ไม่แน่นอน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ด้วยการให้ผู้ป่วยจัดตารางกิจวัตรประจำวันใหม่ ให้มีการออกกำลังและการพักผ่อนที่สมดุลกัน โดยค่อยๆ เริ่มออกกำลังทีละน้อยในช่วงแรก เพื่อให้ผู้ป่วยมีเวลาปรับตัว เพราะการหักโหมมากเกินไปจะทำให้อาการแย่ลง หลังจากที่ปรับตัวได้จึงค่อยๆ เพิ่มกิจกรรมการออกกำลังให้มากขึ้น จนกระทั่งผู้ป่วยสามารถออกกำลังได้เป็นกิจกรรมประจำวัน

การรักษาอื่นๆ ส่วนวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การใช้ยาต้านโรคซึมเศร้า การใช้สารปรับเปลี่ยนภูมิคุ้มกัน ยานอนหลับ เป็นวิธีการที่ยังให้ผลการรักษาไม่ดีนัก

การฟื้นตัว

ดังได้กล่าวมาแล้วว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจะมีโอกาสหายเพียงร้อยละ 5 ส่วนผู้ป่วยที่สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 8-30 (แล้วแต่ผลการศึกษา) รวมถึงการฟื้นตัวยังมีความสัมพันธ์กับอายุ โดยผู้ที่มีอายุน้อยและไม่มีโรคประจำตัวอื่นๆ มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้มากกว่า

การเสียชีวิต

ผู้ที่เป็นโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตไม่แตกต่างจากคนทั่วๆ ไป อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายจะมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย




ข้อมูลจาก
//www.healthtodaythailand.com/



Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2555 9:09:20 น. 6 comments
Counter : 869 Pageviews.

 
นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี

รักษาแสงสว่างแห่งชีวิตไว้ ตลอดไป...นะคะ





โดย: พรหมญาณี วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:10:35:53 น.  

 
แวะมาทักทายบล๊อกสุขภาพ..ขอให้น้องกบมึสุขภาพแข็งแรงมากๆนะคะ


โดย: รุ่งฤดี วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:20:23:40 น.  

 
กำลังหาสาเหตุเชียวค่ะ แต่กลับไม่พบ
แม่เริ่มมีอาการ ขาเปลี้ยๆเพลียๆ เดินแล้วหมดแรง
ตอนนี้เลยให้พักเยอะๆ และหัดเดินใหม่อีกรอบ


โดย: ณ ขณะหนึ่ง วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:20:40:23 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับคุณกบ







โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:5:53:59 น.  

 

######################
สวัสดียามเช้าตรู่ค่ะคุณกบ


โดย: เกศสุริยง วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:7:10:01 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


สวัสดีเช้าวันพฤหัสบดีค่ะคุณกบ


โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:7:45:09 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
15 กุมภาพันธ์ 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.