ทราบไหมคะว่าเราแต่ละคนล้วนมียาต้านโรคขนานเอกอยู่กับตัว เพียงแต่รอให้เรานำไปแจกจ่ายแก่คนอื่นๆเท่านั้นเอง
ยาขนานเอกที่ว่าก็คืออ้อมกอดของเรานี่เองค่ะ ซึ่งทางจิตวิทยาเชื่อมานานแล้วว่าการกอดการสัมผัสจะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาด้วยความอบอุ่น เป็นคนมีนิสัยโอบอ้อมอารี
ทางด้านวิทยาศาสตร์ นายไมเคิล มีนี และผู้ร่วมงานแห่งมหาวิทยาลัยแม็กกิล เมืองมอนทรีออล แคนาดา ก็ได้ทำการทดลองในหนูพบว่า ลูกหนูที่มีแม่ที่ให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกด้วยการเลียหัวเลียหางขณะที่ให้นมลูก เมื่อเปรียบเทียบกับลูกหนูที่แม่ไม่ค่อยสนใจลูก จะพบว่าลูกหนูที่ได้รับความรักความอบอุ่นจะต่อสู้กับความเครียดได้ดีกว่าเมื่อโตขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ทีมนี้จึงสรุปว่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกของหนูจะไม่เหมือนกับของคน แต่การเลียของแม่หนูเทียบได้กับการโอบอุ้ม พูดจาอ่อนหวานของแม่ลูกในคน
สำหรับในคนนั้น ได้ทำการสอบถามชาย 116 คนโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และหญิง 400 คนโดยมหาวิทยาลัยอริโซนา เกี่ยวกับชีวิตในวัยเยาว์ พบว่า ของคนที่พ่อแม่เป็นคนใจดี ให้ความรักความอบอุ่น มีเพียง 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความเครียด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ แผลในกระเพาะอาหาร และโรคพิษสุราเรื้อรัง ขณะที่คนที่ไม่ได้รับความอบอุ่นในตอนเด็กจะมีถึง 87 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นโรคดังกล่าว
นอกจากนี้เขายังพบว่าคนที่ได้รับความรักความอบอุ่น เอาใจใส่จะมีสุขนิสัยที่ดี เช่น การกินอาหารและการเลือกคบเพื่อน อีกด้วย
ส่วนของไทยนั้น แพทย์หญิงนิตยา คชภักดี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มีข้อแนะนำให้แก่คุณพ่อคุณแม่และครอบครัวไทยถึงความสำคัญของการ "กอด" ว่า การกอดหรือสัมผัสร่างกาย ที่ผู้ใหญ่และเด็กมีระหว่างกันคือการแสดงความเอ็นดู ความรู้สึกที่ดีจากสัมผัสอ่อนโยน
ทั้งนี้ ตัวเด็กมีประสาทสัมผัสที่ไวคือผิวหนัง ทำให้มีการสื่อประสาทจากผิวหนังเข้าไปตามเส้นประสาท ส่งไปสมอง เชื่อมโยงกับความรู้สึกดีๆ จะทำให้เกิดความสุข ไม่ใช่พัฒนาสมองอย่างเดียว แต่ยังพัฒนาจิตใจ บุคลิกภาพ ทำให้กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด สร้างภูมิคุ้มกันโรคจิตใจอ่อนแอ สร้างความผูกพัน
กอด ยาวิเศษที่ไม่ต้องซื้อหา ว่าแต่...วันนี้คุณกอดลูกหรือยังคะ
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [
