อาการปวดดูจะเป็นของคู่กับความสูงอายุ ผู้สูงอายุจึงควรรู้วิธีรับมือความปวดเอาไว้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี คำกล่าวที่ว่า ผู้สูงอายุคู่กับความปวดสามารถยืนยันได้ด้วยผลการศึกษาที่พบว่า ผู้สูงอายุ (ซึ่งหมายถึงคนที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป) มีอาการปวดตั้งแต่ 36-88% ซึ่งหมายถึงว่าผู้สูงอายุทุกๆ 3 คนจะมีอาการปวดอย่างน้อย 1 คน และ 1 ใน 5 จะต้องกินยาแก้ปวดสัปดาห์ละหลายครั้ง แถม 2 ใน 3 ต้องใช้ยาแก้ปวดชนิดที่ต้องสั่งโดยแพทย์
อาการปวดที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุจะมาจากอาการปวดที่บริเวณข้อต่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดเข่า ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดสะโพก อันเนื่องมาจากปัญหาข้อเสื่อม เอ็นยึด กระดูกเสื่อม หกล้ม ซึ่งส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและกระดูก ปกติอาการปวดจะแบ่งเป็นอาการปวดเฉียบพลัน และอาการปวดเรื้อรัง โดยอาการปวดเฉียบพลันมักมีสาเหตุมาจากการทำลายหรือการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อแบบทันทีทันใด เช่น มีดบาด ถูกของร้อนลวก ไส้ติ่งอักเสบ ขณะที่อาการปวดเรื้อรังมักจะเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น การทำลายของเนื้อเยื่อเป็นเวลานาน เช่น ข้อเสื่อม การทำลายของปลายประสาทในผู้ป่วยเบาหวาน และอาการปวดที่เกิดจากสภาพจิตใจของผู้สูงอายุเอง โดยอาการปวดอาจจะเป็นๆ หายๆ หรือปวดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน
นอกจากนี้เรายังสามารถแบ่งอาการปวดออกตามสาเหตุได้อีก คือ อาการปวดจากการกระตุ้นตัวรับความเจ็บปวด เช่น ไฟไหม้ การติดเชื้อ การอักเสบ การขาดเลือด อาการปวดจากเส้นประสาทที่เป็นจุดรับความเจ็บปวดโดนกระตุ้น เช่น อาการปวดแสบปวดร้อนจากงูสวัด อาการปวดปลายมือปลายเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน หรืออาการปวดหลังร้าวลงมาด้านหลังขา เพราะเส้นประสาทโดนกดทับ อาการปวดจากหลายพยาธิสภาพร่วมกัน เช่น อาการปวดศีรษะจากไมเกรนหรือกล้ามเนื้อรอบศีรษะหดรัดตัว ขณะที่บางคนมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดแต่ไม่สามารถหาโรคทางกายได้ ซึ่งเป็นอาการปวดจากสภาพทางจิตใจ เช่น ความเครียด หรือบางคนอาจจะมีภาวะทางจิตเวชร่วมด้วย เช่น ภาวะซึมเศร้า สภาพจิตใจไม่สดชื่น ไม่แจ่มใส ปัญหาจากอาการปวด อาการปวดส่งผลกระทบกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุค่อนข้างมาก เพราะทำให้ผู้สูงอายุต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจากอาการต่างๆ เช่น อาการนอนไม่หลับเพราะถูกความปวดรบกวน รู้สึกเบื่ออาหาร เพราะอาการเซ็งชีวิต ซึ่งจะนำไปสู่ความซึมเศร้าและทำให้น้ำหนักลดมากเกินไป นอกจากนี้ยังทำให้เกิดภาวะพึ่งพิงสูง เนื่องจากบางคนปวดจนไม่ยอมขยับเขยื้อน จึงได้แต่นอนนิ่งๆ ให้ลูกหลานช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อผลข้างเคียงของการกินยาแก้ปวดด้วย การรักษาอาการปวดในผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะแก้ปัญหาอาการปวดด้วยการกินยาเป็นหลัก ทั้งๆ ที่เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ และยังมีวิธีการอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถช่วยเยียวยาความปวดได้โดยไม่ต้องกินยา ไม่ว่าจะเป็น
- การออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกชี่กงหรือโยคะ ที่ช่วยเรื่องการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และทำให้ข้อต่อต่างๆ มีความยืดหยุ่นดีขึ้น
- การใช้ความร้อน/ความเย็น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ลูกประคบสมุนไพรเพื่อบรรเทาอาการปวด หรือการประคบด้วยน้ำแข็งในกรณีที่หกล้ม
- การนวดแผนโบราณ โดยผู้ที่มีความรู้และความชำนาญ
- การฝังเข็ม เพียงแต่มีข้อควรระวังสำหรับผู้สูงอายุที่กินยาละลายลิ่มเลือด เพราะการฝังเข็มอาจจะทำให้เลือดหยุดไหลยาก ซึ่งจะเป็นอันตรายได้
- การนั่งสมาธิ การฝึกจิต เพียงแต่ว่าอาจจะต้องเริ่มฝึกกันตั้งแต่ตอนยังไม่มีอาการปวด เพราะหากเริ่มฝึกตอนปวดจะทำได้ยาก
- การใช้สมุนไพรลดอาการปวด เช่น การใช้ว่านหางจระเข้ทาเมื่อถูกน้ำร้อนลวก
สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการใช้ยาแก้ปวด ก็อาจจะเลือกใช้ยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอล สำหรับอาการปวดทั่วไป หรือยากลุ่มบรรเทาปวดและลดอาการอักเสบ สำหรับคนที่เป็นข้อเข่าอักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ เพียงแต่ต้องระวังผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดกับกระเพาะอาหาร หรือผลกระทบต่อไตหรือความดัน ในผู้สูงอายุที่เป็นโรคไต หรือความดันโลหิตสูงฉะนั้นการใช้ยาทาก็อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอีกทางหนึ่ง
กรอบสวยๆ จากคุณ lozocat ข้อมูลจาก//www.healthtodaythailand.com/
|
ขอบคุณค่ะคุณกบที่นำมาฝาก
สวัสดีปีใหม่ค่ะ