เตรียมรับมือกับวัยหมดประจำเดือน
ผู้หญิงเรามีช่วงหนึ่งที่สำคัญต่อชีวิตที่ควรเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ นั่นคือ การเข้าสู่ " วัยหมดประจำเดือน" หรือ " วัยทอง " วัยหมดประจำเดือน หรือ วัยทอง หมายถึง 1. ไม่มีประจำเดือน 1 ปี หลังจากอายุมากกว่า 40 ปี 2. ในคนที่ผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้างในช่วงอายุน้อยกว่า 40 ปี ก็ถือว่าเป็นการหมดประจำเดือนโดยการผ่าตัดซึ่งการผ่าตัดรังไข่ออก จะทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงในร่างกายคล้าย ๆ คนหมดประจำเดือน
สตรีหมดประจำเดือนอายุเฉลี่ย 50 ปี ( 45-55ปี) ปัจจุบันสตรีไทยอายุเฉลี่ยจะอยู่ได้ถึง 75 ปี หลังหมดประจำเดือน จะมีชีวิตอยู่ยาวประมาณ 25 ปี หรือ 1 ใน 3 ของชีวิต และถ้าเราจะทำชีวิตที่เหลือให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่จะปล่อยปละละเลย ก็จะทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น ปกติรังไข่จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน ซึ่งเป็นฮอร์โมนผู้หญิง จะออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย เช่นเดียวกับฮอร์โมนผู้ชายซึ่งสร้างจากถุงอัณฑะ แต่ในชาย อายุการใช้งานนานกว่า แม้อายุ 70 ปียังสร้างเชื้ออสุจิ มีบุตรได้ ในหญิงอายุเฉลี่ยแค่ 50 ปี รังไข่หยุดทำงานแล้ว ทำให้ฮอร์โมนลดน้อยลง ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ติดตามมา
ปกติรังไข่จะอยู่ที่ปีกมดลูก ขนาด 3-4 เซนติเมตร ในช่องท้องเชิงกรานบริเวณท้องน้อย มี 2 ข้าง ซ้าย- ขวา สร้างฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายมีการสะสมของไขมันเป็นสัดส่วนหญิง ทำให้ผู้หญิงมีผิวหนังนิ่มกว่าผู้ชาย และยังกระตุ้นเต้านมทำให้เต่งตึง มีน้ำมีนวล ทำให้กระดูกมีความแข็งแรง ป้องกันกระดูกพรุน ฮอร์โมนจะกระตุ้นที่มดลูกทำให้เยื่อบุมดลูกเจริญขึ้น เกิดประจำเดือน ถ้าขาดฮอร์โมน ประจำเดือนก็หมดไป จึงเป็นเครื่องชี้ว่าถ้าประจำเดือนหมด รังไข่ก็หมดหน้าที่ นอกจากนั้นฮอร์โมนยังมีผลต่อสมอง และต่ออวัยวะบางอย่าง เช่น เส้นเลือด ตับ ไต ฯลฯ
หลังหมดประจำเดือน บางคนไม่มีอาการ แต่กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ มีอาการในช่วง 3 4 ปี ก่อนและหลังหมดประจำเดือน มีอาการของระบบหลอดเลือดและกล้ามเนื้อ ทำให้ร้อนวูบวาบตามผิวหนัง เกิดจากขาดฮอร์โมน ซึ่งปกติฮอร์โมนออกฤทธิ์ที่สมอง ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เมื่อฮอร์โมนน้อยลง ทำให้การควบคุมอุณหภูมิไม่ดี ทำให้เกิดการขึ้นลงของอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ระบบหลอดเลือดจะปรับอุณหภูมิ ทำให้ร้อนวูบวาบ บางคนเป็นมาก บางคนเป็นน้อย บางคนอยู่ไม่ได้ นอนไม่หลับ เหงื่อออกง่าย ขี้ร้อน ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการเหล่านี้อาจเป็นช่วงประจำเดือนยังไม่หมดก็ได้ เป็นความแตกต่างในแต่ละคน นอกจากนี้ฮอร์โมนยังอาจควบคุมทางด้านจิตใจด้วย บางคนลืมง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ กลัว และซึมเศร้า
อาการทางระบบปัสสาวะและสืบพันธุ์ ช่องคลอดจะแห้ง เนื่องจากปกติฮอร์โมนจะกระตุ้นผนังช่องคลอดให้หนาขึ้น เมื่อขาดฮอร์โมนผนังช่องคลอดจะบาง ติดเชื้อง่าย เจ็บเวลาร่วมเพศกับสามีเพราะน้ำหล่อลื่นน้อย อาการต่อไปคือ ปัสสาวะลำบาก เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะอาศัยฮอร์โมนเพศหญิงด้วย เมื่อขาดทำให้กระเพาะปัสสาวะทำงานไม่ดี ปัสสาวะลำบาก บ่อย ติดเชื้อง่าย ถ้าได้ฮอร์โมน จะดีขึ้นชัดเจน ถัดมาช่องคลอดและมดลูกจะหย่อน เนื่องจากกล้ามเนื้อและเอ็นยึดไม่แข็งแรงโดยเฉพาะในรายที่คลอดลูกมาก หลังจากประจำเดือนหมด 5 ปีแรก กระดูกจะบางลงเร็วประมาณปีละ 2 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นบางช้าลงไปเรื่อย ๆ อาการกระดูกหักจะเกิดขึ้นง่าย เมื่อกระดูกบางไปถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ หรืออายุ 60-65 ปีขึ้นไป ดังนั้น การตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกอาจตรวจเมื่ออายุ 60-65 ปี เป็นอย่างช้า ฮอร์โมนเพศหญิงทำให้เส้นเลือดยืดหยุ่นได้ไขมันไม่ไปเกาะผนังเส้นเลือดและไขมันในเลือดลดลง ในอดีตเชื่อว่าฮอร์โมน ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ข้อมูลล่าสุด พบว่าการใช้ฮอร์โมนในสตรีวัยทองอายุมาก ทำให้โรคหัวใจกลับมากขึ้น
ข้อห้ามใช้ฮอร์โมน
ในรายที่ไม่ควรรับประทานยาฮอร์โมน (หากจำเป็นต้องใช้ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด)
1. ในรายที่เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก ซึ่งถ้ามีอาการร้อนวูบวาม ช่องคลอดแห้ง จะต้องใช้ยาตัวอื่น 2. รายที่เส้นเลือดดำอุดตันชนิดเฉียบพลัน 3. มีนิ่วในถุงน้ำดี เพราะฮอร์โมนทำให้น้ำดีมีโคเลสเตอรอล สูง 4. เป็นโรคตับรุนแรง 5. มีเลือดออกช่องคลอดผิดปกติ ยังไม่ทราบสาเหตุ
สตรีวัยทองจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนทุกคนหรือไม่
ไม่จำเป็นทุกคน สตรีบางคนเท่านั้นที่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมน สตรีที่จำเป็นมีดังนี้
1. มีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น ซึ่งเป็นมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน จนทนไม่ได้ 2. ช่องคลอดแห้ง มีอาการแสบ หรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ 3. ปัสสาวะขัด และบ่อยโดยเฉพาะกลางคืน ผู้ป่วยมักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แต่การใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ได้ผลเลย และการตรวจปัสสาวะมักไม่พบความผิดปกติแต่อย่างไร 4. ภาวะกระดูกพรุน โดยวินิจฉัยจากการตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก ด้วยเครื่องเอ็กซเรย์พิเศษ ซึ่งแนะนำให้ตรวจเมื่ออายุประมาณ 60 ปี ยกเว้นสตรีวัยทองก่อนกำหนด และไม่เคยได้รับยาฮอร์โมน
การรับประทานฮอร์โมนต้องใช้นานเพียงใด
ในสตรีที่มีอาการร้อนวูบวาม เหงื่อออกใจสั่น ควรใช้ยาอย่างน้อย 2 -3 ปี จนกว่าร่างกายสามารถปรับสภาพได้เอง ( ถ้าหยุดยาเร็ว อาการก็กลับมาเหมือนเดิม) ภายหลังหยุดยาแล้วคอยสังเกตว่าอาการเดิมจะกลับมาหรือไม่ ถ้าอาการกลับมามากเช่นเดิม ให้รับประทานยาฮอร์โมนต่ออีก 1 ปี แล้วค่อยลองหยุดยาใหม่อีกที ส่วนการใช้ยาฮอร์โมนเพื่อรักษาภาวะกระดูกพรุน ต้องใช้ระยะยาวกว่า แต่สามารถเปลี่ยนเป็นยาอื่นที่ไม่ใช่ฮอร์โมนในภายหลังได้ แต่ราคายาสูงกว่าฮอร์โมนมาก
อาการข้างเคียงจากฮอร์โมน
1. เจ็บเต้านม อาจเป็นช่วงแรกที่เริ่มใช้ยา แต่ถ้าเป็นมากให้ลดขนาดลง 2. คลื่นไส้ พบน้อยเพราะใช้ยาขนาดต่ำ 3. ฝ้าขึ้น พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด 4. บวม ถ้าบวมมากให้หยุดยา 5. อาจมีประจำเดือนกลับมาใหม่ แล้วแต่ว่าใช้ยาสูตรไหน
ความเสี่ยงในการใช้ฮอร์โมน
1. มะเร็งเต้านม มีการศึกษาพบว่า การใช้ยานานกว่า 5 ปี เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมเล็กน้อย ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมในไทยส่วนใหญ่ไม่เคยใช้ฮอร์โมนวัยทองมาก่อน สตรีอายุมากกว่า 40 ปีทุกคน ควรได้รับการตรวจหามะเร็งเต้านมทุกปีโดยวิธีเอ็กซเรย์ ( mammogram ) ไม่ว่าจะใช้ฮอร์โมนหรือไม่ก็ตาม 2. เส้นเลือดดำอุดตัน โดยเฉพาะที่ขา ถ้ามีอาการผิดปกติเช่นขาเท้าบวมข้างใดข้างหนึ่ง รีบหยุดยาแล้วมาพบแพทย์ด่วน 3. นิ่วในถุงน้ำดี เนื่องจากมีการขับถ่าย cholesterol มากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.นพ.สุรศักดิ์ อังสุวัฒนา ภาควิชาสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Create Date : 06 มีนาคม 2554 |
|
18 comments |
Last Update : 6 มีนาคม 2554 7:50:01 น. |
Counter : 1878 Pageviews. |
|
|
|