‘คุกกี้แนวใหม่’ ทำขายไม่ต้องมีหน้าร้าน จาก นสพ.เดลินิวส์ วันที่ 26 เมษายน 2552
. . .
‘คุกกี้แนวใหม่’ ทำขายไม่ต้องมีหน้าร้าน
จาก นสพ.เดลินิวส์ วันที่ 26 เมษายน 2552 แม้ ปัจจุบันจะมีผู้ทำอาชีพ-ทำธุรกิจเกี่ยวกับเบเกอรี่ ขนมปัง เค้ก คุกกี้ จำนวนไม่น้อย แต่ธุรกิจประเภทนี้ก็มีลูกค้าเป็นจำนวนมาก หากผู้ที่คิดจะทำอาชีพนี้สามารถสร้างความน่าสนใจใหม่ ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ได้ “ช่องทางทำกิน” ก็ยังมีรออยู่เสมอ อย่างเช่น “คุกกี้แนวใหม่” ที่จะนำเสนอในวันนี้...
//////////
คิสราภัธต์ ศรีโรจน์ หรือ ส้ม อายุ 37 ปี เป็นเจ้าของสูตรการทำคุกกี้แนวใหม่ ในชื่อ “Bakery By Kissara” เธอเล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า พลิกผันจากการทำธุรกิจเสื้อผ้าเด็ก มาทำธุรกิจเบเกอรี่เพราะพิษเศรษฐกิจ ซึ่งช่วงที่เธอเคว้งคว้างกำลังมองหาอาชีพอื่นอยู่นั้น ด้วยความสนใจในเรื่องการทำอาหารและขนมมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จึงตั้งสติและคิดว่าโอกาสที่เธอจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝันมาถึงแล้ว
“ตัดสินใจลงคอร์สเรียนการทำเบเกอรี่ทันที ด้วยความชอบเป็นทุนเดิม หลังจากเรียนการทำเบเกอรี่ในแต่ละครั้งก็จะกลับมาฝึกความชำนาญและทดลองทำต่อ ที่บ้าน ทำให้รู้ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะพวกขนมอบ และขนมเค้ก ช่วงเวลาการใส่ส่วนผสมถ้านานไปนิด ถ้าน้อยไปหน่อย หน้าตาขนม รสชาติ จะเปลี่ยนไปทันที ต้องฝึกปรือจนเชี่ยวชาญรู้กลเม็ดเคล็ดลับมากพอสมควร จึงค่อยทำธุรกิจด้านนี้อย่างจริงจัง”
ส้มบอกอีกว่า แรก ๆ ก็ให้คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านลองชิม เพื่อฟังคำติชมของแต่ละคนในเรื่องรสชาติ และหน้าตา เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุง จนเมื่อทุกอย่างลงตัวเธอก็เริ่มทำการตลาด จนเปิดเป็นธุรกิจเล็ก ๆ
กิจการนี้เน้นที่ “คุกกี้” เป็นหลัก มีอยู่ 3 แบบคือ โอ๊ต เรซิน คุกกี้ (Oat Raisin Cookie), อเมริกัน คุกกี้ (American Cookie), รัม เรซิน อัลมอนด์ (Ram Raisin Almond) ซึ่งแบบที่ขายดีที่สุดตอนนี้คือ รัม เรซิน อัลมอนด์ โดยผลิตภัณฑ์จะเน้นการใช้ส่วนผสมที่มีคุณภาพดี เพื่อให้รสชาติดี
การลงทุนทำธุรกิจนี้นั้น อุปกรณ์ที่ต้องลงทุนซื้อหามาใช้ ที่ขาดไม่ได้ หลัก ๆ คือ เตาอบ, เครื่องตีแป้ง, ตู้เย็น, ตาชั่ง, ไม้พายพลาสติก, แบบพิมพ์ ฯลฯ ซึ่งราคาค่อนข้างสูง ตรงนี้ก็ต้องดูกำลังทรัพย์ของตัวเอง หากยังมีไม่มากก็ซื้อเฉพาะอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก่อน พอมีกำไรแล้วจึงค่อย ๆ ลงทุนซื้อของมาใช้เพิ่มเติม
ณ ที่นี้จะเปิดเผยสูตรคุกกี้ “รัม เรซิน อัลมอนด์” ซึ่งมีส่วนผสมดังนี้คือ ส่วนผสมส่วนที่ 1... แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม, แป้งเค้ก 150 กรัม, ผงฟู 1/2 ช้อนชา, เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา, เกลือป่น 1/4 ช้อนชา, วานิลลาผง 1/2 ช้อนชา, นมผง 50 กรัม ส่วนผสมส่วนที่ 2... เนยสดเค็ม 275 กรัม, เนยขาว 50 กรัม, น้ำตาลทรายแดง 50 กรัม, น้ำตาลทรายขาว 75 กรัม, ไข่ไก่ 1 ฟอง ส่วนผสมส่วนที่ 3... ลูกเกดดำสับหยาบ 50 กรัม, ช็อกโกแลตชิพ 50 กรัม, อัลมอนด์สับหยาบและอบกรอบ 25 กรัม, วอลนัทอบกรอบและสับหยาบ 25 กรัม
ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากนำส่วนผสมส่วนที่ 1 มีแป้งสาลี แป้งเค้ก เบกกิ้งโซดา ผงฟู วานิลลาผง นมผง และเกลือป่น มาร่อนรวมกัน แล้วตั้งพักไว้ จากนั้นนำส่วนผสมที่ 2 คือเนยสดและเนยขาวใส่อ่างผสม ตีจนกลายเป็นของเหลว แล้วใส่น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว และไข่ตามลงไป ตีด้วยความเร็วปานกลาง ประมาณ 5-7 นาที จนส่วนผสมขึ้นฟู แล้วนำส่วนผสมที่ 1 ที่เตรียมไว้ ค่อย ๆ ใส่ลงผสมกับส่วนผสมที่ 2 แล้วคนให้ส่วนผสมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้วปิดอ่างผสมด้วยพลาสติกกันความชื้น ตั้งพักไว้ประมาณ 15 นาที
ลำดับต่อมาจึงใส่ส่วนผสมที่ 3 คือใส่ลูกเกดดำสับหยาบ ช็อกโกแลตชิพ อัลมอนด์และวอลนัทสับหยาบและอบกรอบ ลงไปในอ่างผสมแป้ง ใช้ไม้พายพลาสติกคนเบา ๆ ให้เข้ากัน พักไว้
ขั้นตอนต่อไปทาถาดอบคุกกี้ด้วยเนยขาวเล็กน้อย ใช้ช้อนตักไอศกรีมตักเนื้อคุกกี้ที่เตรียมไว้หยอดลงในถาด ให้ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว แล้วแต่งหน้าด้วยช็อกโกแลตชิพและอัลมอนด์ นำไปอบด้วยความร้อน 250 องศาเซลเซียส ประมาณ 7-10 นาที นำออกมาพักให้เย็น แล้วนำไปอบอีกครั้งโดยใช้ไฟบนล่าง ประมาณ 5-7 นาที เมื่ออบเสร็จเอาออกมาพักไว้ ห้ามโดนลม ก่อนจะแพ็กใส่กล่องให้สวยงาม พร้อมจัดส่งไปจำหน่าย โดยจะเป็นคุกกี้ที่สดใหม่ อยู่ได้นาน 15 วัน โดยรสชาติคงเดิม แต่ส้มแนะนำว่าถ้าแช่ตู้เย็นจะทำให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น
ธุรกิจเจ้านี้ไม่มีหน้าร้าน จะรับทำตามออร์เดอร์ลูกค้า พร้อมบริการส่งถึงที่ ราคาอยู่ที่กล่องละ 350 บาท (1/2 กก.) ลูกค้าสามารถกำหนดแพ็กเกจ ขนาดชิ้นคุกกี้ ได้ตามต้องการ โดยสั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์
ใครสนใจคุกกี้-ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ “Bakery By Kissara” ต้องการติดต่อกับ ส้ม-คิสราภัธต์ ศรีโรจน์ ก็ติดต่อได้ที่ 138 ถนนเจริญกรุง 82 เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ 10120 โทร. 08-1915-3482, 08-0616-9238, 08-1909-0983 ทั้งนี้ การทำธุรกิจเบเกอรี่-คุกกี้ของเจ้านี้ ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ.
เชาวลี ชุมขำ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ
. . . .
Create Date : 05 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 5 พฤษภาคม 2552 22:36:20 น. |
|
3 comments
|
Counter : 6431 Pageviews. |
|
|
|
‘สลัดสุขภาพ’ สูตรแปลกใหม่ยังขายดี
จาก นสพ.เดลินิวส์ วันที่ 3 พฤษภาคม 2552
ยุค คนไทยตื่นตัวรักสุขภาพ สินค้าเพื่อสุขภาพก็ขายดีตามกระแส และกับอาหารอย่าง “สลัด” ก็โดดเด่นขึ้นมา ซึ่งก็มีผู้ทำขายทั้งสลัด และ “น้ำสลัด” โดยวันนี้ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนออีกสูตร...
สินิสุรินันท์ จงศิริกุล หรือ คุณหนึ่ง เป็นเจ้าของน้ำสลัดสูตรแม่ศรี ในนาม P.N. สลัดไฮโดร เจ้าตัวเล่าว่า ขายมาประมาณ 5 ปีแล้ว ซึ่งสูตรนั้นได้มาจากการที่ได้ไปช่วย แม่ศรี เกตุใหม่ เจ้าของสูตรน้ำสลัด จนได้น้ำสลัดสูตรครีมมาเป็นพื้นฐาน ก็ได้ทำและทดลองแจกให้คนรอบข้างได้ชิมจนคิดว่ารสชาติเป็นที่ถูกอกถูกใจ จึงทำออกขายเป็นกิจการเล็ก ๆ ที่เชียงราย โดยแพ็กส่งขายในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งสลัดไฮโดรนี้คิดว่าเป็นกิจการเล็ก ๆ ที่น่าจะไปได้สวยในเศรษฐกิจแบบนี้ ถ้ารู้จักปรับปรุงสูตร และพัฒนาคุณภาพ
สำหรับผักสลัดนั้น ใช้ผักสด ๆ จากโครงการหลวง ซึ่งมั่นใจได้ในความสะอาด และความสด ส่วนผักไฮโดรโพนิกส์ หรือผักไร้ดินนั้น จะใช้ในช่วงหน้าหนาว เพราะช่วงอากาศร้อนผักจะไม่งาม
สูตรน้ำสลัดนั้น คุณหนึ่งบอกว่ามีประมาณ 6-7 สูตร ได้แก่ ครีม, ฟักทองญี่ปุ่นงาดำ, ข้าวโพดงาดำ, กีวี, สตรอเบอรี่, ญี่ปุ่นงาดำ โดยสูตรครีม ฟักทองญี่ปุ่นงาดำ ข้าวโพดงาดำ ได้รับความนิยมมากที่สุด
ในแต่ละวันคุณหนึ่งจะขายผักสลัดต่าง ๆ ดังนี้ ข้าวโพดต้ม 4 กก., มะเขือเทศราชินี 2.5-3 กก., แครอทฝอย 1.5 กก. และกะหล่ำม่วงฝอยอีก 1 กก.
นอกจากนี้ ยังมีเผือกนึ่ง 2 กก., บรอกโคลีต้ม 1 กก., แห้วต้ม 1 กก., ฟักทองนึ่ง 3 กก., ถั่วแดงต้ม 500 กรัม, ข้าวบาร์ เล่ย์ 1 กก. และสลัดแก้ว10 กก.
อย่างไรก็ตาม ผักทุกอย่างทุกชนิดนี้จะขายในช่วงเวลาเย็น ฉะนั้นเวลาทำขายจะทำให้เสร็จในเวลาประมาณ 13.00 น. และแช่เย็นไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง ผักจะสด และกรอบน่าทาน
ในส่วนของสูตรน้ำสลัด สูตรครีม ใช้อัตราส่วนดังนี้คือ น้ำมันสลัด 40%, นม 25%, น้ำตาลทราย 10%, น้ำส้มสายชู 5%, เกลือ 2% และไข่แดงสุก 18%
วิธีทำน้ำสลัดสูตรครีม ตีน้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู และเกลือให้เข้ากัน จนน้ำตาลทรายละลาย จากนั้น ตามด้วยน้ำมันสลัด, นม และไข่แดงสุก ใส่ลงไปตีด้วย
เมื่อส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันแล้ว ค่อย ๆ นำส่วนผสมทยอยใส่ลงไปในเครื่องปั่นทีละน้อย ปั่นตีให้เข้ากันจนเนียน
ขั้นตอนการตีนั้น ที่จริงใช้วิธีตีด้วยมือจะดีกว่าตีด้วยเครื่องตี เพราะเนื้อสลัดที่ออกมาจะดูเนียน และสวยน่าทาน
ต่อไป น้ำสลัดสูตรฟักทองญี่ปุ่นงาดำ (และสูตรข้าวโพดญี่ปุ่นงาดำ) ใช้ฟักทองนึ่ง 10% (หรือข้าวโพดนึ่ง 10%), น้ำตาลทราย 15%, เกลือ 2%, น้ำมันมะกอก 10%, น้ำส้มสายชู 10% งาขาวงาดำคั่ว 3%
วิธีทำน้ำสลัดสูตรฟักทองญี่ปุ่นงาดำ และสูตรข้าวโพดญี่ปุ่นงาดำ ละลายน้ำตาลทราย เกลือ น้ำมันมะกอก และน้ำส้มสายชู ให้เข้าด้วยกัน โดยน้ำสลัดที่ได้จะเป็นน้ำใส ๆ จากนั้นค่อย ๆ ตีหรือปั่นฟักทองนึ่ง (หรือข้าวโพดนึ่ง) โดยนำน้ำสลัดลงไปปั่นรวมกันจนทุกอย่างเข้ากันดี เป็นอันเสร็จ
อีกสูตร น้ำสลัดสูตรน้ำผึ้งมะนาวงา ใช้น้ำผึ้ง 50%, น้ำมะนาวสด 30%, เกลือ 2%, น้ำมันมะกอก 10% และงาขาว งาดำบดหยาบ ๆ 8%
วิธีทำน้ำสลัดสูตรน้ำผึ้งมะนาวงา คนน้ำผึ้ง น้ำมะนาว และเกลือให้เข้ากัน จากนั้นใส่น้ำมันมะกอกลงไปคนให้เข้ากัน และตามด้วยงาขาว งาดำบดหยาบ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว
ในการทำขายถ้าใช้ผักในปริมาณที่ระบุไว้แต่ตอนต้น เฉลี่ยแล้วจะจัดสลัดได้ประมาณ 70 ชุด ขายชุดละ 30 บาท ขายหมดก็ได้ประมาณ 2,100 บาท โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 1,200 บาท หรือประมาณ 50-60%
ขณะที่เงินลงทุนเรื่องของอุปกรณ์นั้น ถ้าเป็นกิจการเล็ก ๆ ก็ไม่เกิน 10,000 บาท หรืออาจเพิ่มขึ้นอีกตามขนาดของกิจการ ซึ่งก็นับว่าลงทุนไม่สูงมาก น่าสนใจไม่น้อยสำหรับผู้ต้องการสร้างรายได้ที่มีทุนไม่มาก
ส่วนถ้าใครสนใจ “สลัดสุขภาพ” เจ้านี้ แถวรังสิตก็มีขายเกือบทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ ที่หน้าหมู่บ้านรัตนโกสินทร์ 200 ปี ช่วงเวลา 16.00-20.00 น. หรือสอบถามจุดขายที่ โทร. 08-4011-9335, 08-6303-8453.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล
. . .