เขียนไปให้สุดฝัน : วินทร์ เลียววาริณ
เขียนไปให้สุดฝัน วินทร์ เลียววาริณ หนังสือในโครงการ เติมหัวใจใส่ห้องสมุด จำนวน 431หน้า ราคา 350.-
หนังสือแฉ (share) ประสบการณ์การเขียนนิยายของ วินทร์ เลียววาริณ
จากโปรยปกหลัง เขียนไปให้สุดฝัน เป็นหนังสือที่อธิบายวิธีการเขียนเรื่องสั้น และ นวนิยายแบบต่างๆ วิธีคิดเรื่อง สังเคราะห์ไอเดีย วางพล็อต ฯลฯ อธิบายว่าทำไมจึงเขียนแบบนั้นแบบนี้ เมื่อไรควรให้รายละเอียดตัวละคร เมื่อไรไม่ควร เมื่อไรควรบรรยายฉาก เมื่อไรไม่ควร ฯลฯ โดยยกตัวอย่างประกอบเป็นกรณีศึกษา รวมถึงวิธีวางแผนเป็นนักเขียนมืออาชีพ
เดินบนเส้นทางคนขายฝัน ในหนังสือ คุณวินทร์เล่าเรื่องราวตั้งแต่กลับจากต่างประเทศ เริ่มตั้งไข่กับงานเขียนครั้งแรกที่ทำพร้อมกันสองแนวทาง แนวแรกคือเรื่องสั้นแบบ พล็อตจ๋า เน้นความบันเทิงอย่างเดียว อ่านเอาสนุกมาก่อนสาระ กับอีกแบบคืองาน วรรณกรรมจ๋า ถ่ายทอดความคิดเน้นศิลปะลุ่มลึกกว่าแบบแรก คุณวินทร์ให้คำอธิบายแนวทางนี้ไว้ในคำนำหนังสือ เป็นที่มาของ เขียนไปให้สุดฝัน และเคยลงไว้ในเว็บไซด์ในชื่อ เงาของนักเขียนคนหนึ่ง
หาเรื่องเขียน เล่าถึงวิธีหาเรื่องมาเขียน หาจากไหนอย่างไร คุณวินทร์บอกว่างานเขียนในโลกมีมากมาย อ่านทั้งชีวิตก็ไม่หมด ไม่ว่าจะเขียนอะไรใหม่ก็ดูเหมือนจะมีคนเขียนมาหมดแล้ว เปรียบกับเวลาเข้าร้านอาหาร ไม่ว่าใหม่แค่ไหน เราก็วัดคุณค่าอาหารที่รสชาติดี กินอิ่ม มีความสุข งานเขียนนิยายก็เช่นกัน เรามิได้วัดจากรางวัลที่ได้รับ หรือผลกระทบของมันต่อสังคมโลก เป็นแรงผลักดันให้เกิดสงคราม สันติภาพ หรือการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมสักกี่ครั้ง เราวัดคุณค่าของหนังสือนิยายที่ความบันเทิง ความลุ่มลึกของสาระ และความงดงามแห่งการประพันธ์ แค่นี้พอแล้ว บางทีจุดสำคัญไม่ได้อยุ่ที่ทำของ ใหม่แต่ต้องทำงาน ดี นักเขียนไม่ควรลืมว่าการเขียนหนังสือควรเป็นประสบการณ์ที่สนุก ไม่ใช่ความทรมานและฝันร้ายตลอดเวลาที่งานไม่เสร็จ และเครียดว่าคนอ่านจะชอบมันไหม นิยายทุกเรื่องเป็น fiction แต่ไม่ใช่ fiction ทุกเรื่องเป็น Literature เราเรียก fiction ที่มีคุณภาพ มีความงดงามของเรื่องและภาษามีความลุ่มลึกว่า Literature มันเป็นเรื่องอะไรก็ได้ ขอให้เขียนได้ลุ่มลึกได้อารมณ์ มีสาระวิตามินครบ และงดงามทางศิลปะการประพันธ์ เปรียบเหมือนจิตรกรผู้ใช้สีโหลๆ ราคาถูกมาวาดเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือ ไม่ใช่คุณภาพของสีหรือพู่กัน
ศิลปะการเปรียบเทียบ คุณวินทร์เล่าเกี่ยวกับการวาดภาพกับการเขียนนิยาย ว่ามีหลักการและองค์ประกอบคล้ายหรือแตกต่างกันอย่างไร อะไรเป็นจุดเด่นของภาพ เส้นนำสายตา การทำให้ภาพน่าสนใจ เปรียบได้กับการวางโครงเรื่องของนิยาย หรือเรื่องสั้นก็อาศัยหลักการเดียวกันนี้ จุดนำสายตา คือการเปิดเรื่องและการปูเรื่อง จุดเด่นคือไคลแมกซ์ของเรื่องการวางภาพแบบที่จุดเด่นไม่อยู่กลางภาพ ก็คือการเล่าเรื่องแบบไม่บอกหมดให้คนอ่านคิดเอง ผสมเองนักเขียนสร้างองค์ประกอบและพล็อตย่อยที่ต้องการแล้วร้อยพวกมันเข้าด้วยกันในลักษณาการเดียวกับการวาดรูป เมื่อนักเขียนวางโครงเรื่องจนได้องค์ประกอบภาพลงตัวแล้ว ก็ ระบายสี โดยใส่รายละเอียดของตัวละครฉาก บทบรรยาย บทสนทนา ฯลฯ เพื่อให้เรื่องชัดเจนสมบูรณ์ นวนิยาย คือการคลุกกันของพล็อตย่อย ดนตรีคือการคลุกกันของตัวโน้ต ถ้าคลุกกันได้อย่างสมดุลก็เป็นงานที่ดี คุณวินทร์บอกว่า การเขียนนิยายก็คือการทำงานศิลปะชิ้นหนึ่ง เมื่อมันเป็นศิลปะ มันจะเป็นอะไรก็ได้ตามใจอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีแต่ตัวหนังสือ หรือเป็นตามขนบที่ทำมาหลายร้อยปี ความงามคือสัดส่วนที่ดี คือความลงตัวในศิลปะทุกแขนง
Less is more ปัญหาของงานศิลปะจำนวนมาก คือมีองค์ประกอบในงานมากเกินไป นักเขียนควรรู้ว่าอะไรควรเน้น อะไรควรเป็นกลาง อะไรควรเบลอ องค์ประกอบต้องมีอยู่แต่ไม่สำคัญก็ทำให้มันเจือจางลงกลายเป็นกลาง คำถามคือรู้ได้อย่างไรว่าแค่ไหนจึงจะพอดีไม่มากไป ง่ายนิดเดียว! คำตอบคือ ถ้าตัดฉากนั้นออกไปแล้วยังอ่านรู้เรื่องแสดงว่าฉากนั้นไม่จำเป็นต้องมีอยู่ งานเรื่องสั้นและนวนิยายต้องรู้จักเว้นพื้นที่ว่าง ไม่ต้องบรรยายทุกจุดรายละเอียดของฉากและตัวละคร ฉากที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใส่หรือทำให้เป็นกลาง หรือ เบลอ งานเขียนที่อัดเนื้อเรื่องจนไม่มีพื้นที่ให้หายใจอ่านแล้วชวนวาง
พล็อตย่อย คุณวินทร์เล่าว่า หากคัดเลือกนักเขียนที่เก่งในเรื่องเน้นพล็อต (plot-based) ของโลกมาสักสิบคน กิมย้ง คือหนึ่งในนั้น ตลอดชีวิตเขาเขียนนวนิยายและเรื่องสั้นแค่สิบห้าเรื่องเท่านั้น แต่แทบทุกเรื่องทำให้ยุทธจักรสะเทือน กิมย้งเป็นนักอ่านตัวยงทั้งตำนานจีน ไปจนถึงวรรณกรรมตะวันตก เมื่อเขานำวิธีการแต่งเรื่องแบบตะวันตกมาผสมกับวิธีการเขียนแบบตะวันออก ผสานกับจินตนาการไร้ขอบเขตของเขา ก็คือกำเนิดของนิยายจีนกำลังภายในแนวใหม่ กิมย้งเป็นราชาแห่งการสร้างพล็อต พล็อตหลัก และพล็อตย่อยของเขาประณีตอย่างยิ่ง แม้ว่านวนิยายสามารถมีพล็อตย่อยได้ไม่จำกัด ก็ยังต้องเชื่อมพล็อตย่อยเข้าด้วยกันเพื่อไม่ให้เรื่องรุงรัง เรื่องย่อยในเรื่องสั้นอาจจะใช้ตัวละครตัวเดียวกันเชื่อม ตัวอย่างที่คลาสสิคและงดงามที่สุดเรื่องหนึ่งคือ The Godfather 2 ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และมาริโอ พูโช (ลองหาอ่านจากหนังสือได้ตัวอย่างละเอียดมาก) หลักการง่ายๆ คือ ไม่ว่าจะมีกี่พล็อตย่อย โยงมันเข้ากับแกนกลางเรื่องเสมอ ถ้าพล็อตย่อยนั้นไม่สามารถเสียบเข้ากับแกนกลาง สมควรพิจารณาตัดมันทิ้งไป ปัญหาของนวนิยายจำนวนมาก คือสร้างพล็อตย่อยที่ไม่เกี่ยวกับแกนเรื่องหลัก เป็นพล็อตย่อยลอยๆ นึกจะใส่ก็ใส่เข้าไป โดยไม่สนใจว่ามันจะส่งผลต่อแกนเรื่องหลักอย่างไร หรือบางทีก็ส่งผลเพียงเล็กน้อย คุณวินทร์แนะนำว่า อย่าเสียดายถ้ามันไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง เจี๋ยนมันทิ้งไปเลย แต่เก็บท่อนที่ตัดไว้ในฐานข้อมูลอาจได้ใช้ในโอกาสหน้า เรื่องพล็อตย่อยไม่จำเป็น มียกตัวอย่างเรื่องมังกรหยกภาคแรก กับ Pulp Fiction ที่คุณวินทร์ยกมาเปรียบอย่างละเอียด แยกเป็นฉาก พล็อตรอง พล็อตหลัก เรื่อง RedHerring การปูพื้นนิยาย คุณวินทร์เล่าเทคนิคในการปูพื้นแบบเล่าย้อน ซ่อนไว้ หลอก เบี่ยงเบนความสนใจ ที่มักใช้ในนิยายสืบสวนฆาตกรรม โดยยกตัวอย่างจากนวนิยายเรื่องปีกแดง Chekhovs Gun นักเขียน AntonChekhov เขียนไว้ว่า ถ้าในบทที่ 1คุณแต่งเรื่องให้มีปืนยาวกระบอกหนึ่งแขวนไว้บนผนัง ในบทที่ 2 หรือ 3 ปืนนั่นต้องยิงอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ยิง มันก็ไม่ควรอยู่ในเรื่องตั้งแต่แรก นี่เป็นที่มาของคำว่า Chekhovs Gun ในวงการเขียนมักใช้วลีนี้ เมื่อเอ่ยถึงองค์ประกอบที่ดูไม่สำคัญ แต่กลายเป็นจุดสำคัญโดยนักเขียนเจตนาให้จุดนั้นดูไม่สำคัญ คุณวินทร์ยกตัวอย่างเรื่อง The Shawshank Redemtion อย่างละเอียด ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีมากของการใช้ Chekhovs Gun ที่ได้ผลดีมาก และอีกเรื่องที่หักมุมโดยใช้องค์ประกอบนี้ได้ผลคือเรื่อ งThe Sixth Sense (มีการยกตัวอย่างและอธิบายจุดสำคัญไว้อย่างละเอียดในหนังสือ)
ลำดับเรื่อง คุณวินทร์ยกตัวอย่างเรื่อง Memento ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ว่าเป็นตัวอย่างการจัดลำดับฉากเล่าเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง ส่งผลให้พล็อตที่ดูธรรมดากลายเป็นเรื่องที่สุดยอดที่สุดเรื่องหนึ่งของวงการภาพยนตร์ การจัดลำดับเหตุการณ์ของเรื่อง เป็นกระบวนการที่สำคัญมากในการเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายเรื่องที่พล็อตดีมาก แต่จัดลำดับไม่เป็น อาจน่าเบื่อ ตรงกันข้าม เรื่องที่มีพล็อตธรรมดาแต่จัดเหตุการณ์ก่อนหลังได้ดี มักจะดี หรืออย่างน้อยที่สุดก็รอดตัว จะเห็นว่าวิธีการเล่าแต่ละแบบเหมาะสมกับนิยายแต่ละเรื่อง ขึ้นอยู่กับการออกแบบเรื่องว่าวิธีไหนให้พลังมากที่สุด จะเขียนเรื่องที่สนุกและจับคนอ่านอยู่ นักเขียนต้องรู้ว่าควรเริ่มเล่าจากตรงไหน
การเปิดเรื่อง คุณเคยมีอาการ รักแรกพบ ไหม? คุณเจอผู้หญิงหรือผู้ชายคนหนึ่งแล้วชอบเธอหรือเขามาก จนแอบกระซิบกับตัวเองว่า เป็นความรักแน่เลย แน่ละ มันยังไม่ใช่ความรัก แต่อาการชอบสุดขีดแบบนี้ ควรเป็นเป้าหมายของการเปิดเรื่องสั้นและนวนิยายทุกเรื่อง การเปิดเรื่องก็เหมือนกับการที่คุณมีนัดกับคู่นัดครั้งแรก ต้องแต่งตัวให้เหมาะสมดูดี แต่ไม่เผยหมด พบกันครั้งแรกแล้วประทับใจ รู้สึกว่าคู่นัดมีสิ่งที่น่าค้นหาต่อ แต่อย่างไรก็ตามการเปิดเรื่องแบบ เอาอยู่ ไม่จำเป็นต้องใช้ฉากแอคชั่นเสมอไป ฉากเปิดเรื่องแบบสร้างความอยากรู้อยากเห็น คือหัวใจการเปิดเรื่อง TheMatrix (มีตัวอย่างในหนังสืออย่างละเอียด) ส่วนมากมันมีอยู่ในนิยายระทึกขวัญ Thriler ฉากเปิดแบบใช้อารมณ์สะเทือนใจ เป็นวิธีที่ดี ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเศร้าน้ำตาไหลท่วมหัวเข่า แต่เป็นข้อความที่อ่านแล้วใจสะเทือน คุณวินทร์ยกตัวอย่างเรื่อง ผีเสื้อกับดอกไม้ไฟมาแนะนำในหนังสือ ฉากเปิดเรื่องโดยบรรยายธรรมชาติ งานนักเขียนชั้นครูสมัยก่อนจำนวนมาก เปิดเรื่องโดยบรรยายฉากธรรมชาติ ใช้ภาษาสวยงาม บรรยายเห็นภาพพจน์ วิธีเปิดเรื่องแบบนี้ค่อนข้างเนิบนาบ เป้าหมายคือใช้อารมณ์เรื่องจับคนอ่าน การเปิดเรื่องแบบนี้ต้องใช้ฝีมือทางภาษามากกว่าการเปิดเรื่องแบบอื่น คุณวินทร์ยกตัวอย่างบทเปิดเรื่องของนวนิยาย แผ่นดินของเรา ของนักเขียนชั้นครู แม่อนงค์ (มาลัย ชูพินิจ)และอีกหลายเรื่องที่มีบทเปิดเรื่องบรรยาย นอกจากนี้ยังมีฉากเปิดเรื่องโดยการใช้ตัวละคร, บทสนทนา , เล่าเหตุการณ์ , ฉากแอ็คชั่น , ฉากเซ็กส์ , ภาพแอ็บสแทร็ก , แนวทดลอง, แบบผสม ที่ยกตัวอย่างงานคุณวินทร์เอง และอีกหลายเรื่องเป็นการเปิดเรื่องที่ยกตัวอย่างแบบเข้าใจง่าย ที่ยกมายังไม่ถึงครึ่งเล่มของหนังสือ ยังมีเรื่องดีๆ ที่น่ารู้อีกมากทั้ง ฉากปิดนิยาย เทคนิคต่างๆ ในการเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น อารมณ์ขัน เทคนิคการเล่าเรื่องแบบต่างๆ การหักมุมการใช้สัญลักษณ์ในงานเขียน เทคนิคการเขียน หลายอย่างสามารถนำเอามาใช้ และสร้างสรรค์งานได้และอ่านเข้าใจง่าย
ปิดท้ายบทที่เรื่องน่าอัศจรรย์ คุณวินทร์บอกว่า คำว่า นักเขียนอาชีพแปลว่าจ่ายค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ ค่าดูหนัง ค่าเล่าเรียนลูก ทุกอย่างด้วยรายได้จากการเขียนหนังสือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่คิดจะเป็นนักเขียนอาชีพ ก็น่ากลัวแล้ว รอดชีวิตมาสิบปี ในฐานะนักเขียนอาชีพรู้สึกอย่างไร? รู้สึกว่าปาฏิหาริย์มีจริง! ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! แต่ปาฏิหาริย์ชนิดนี้มาพร้อมการออกแรง การเขียนหนังสือเป็นงานหนัก การเขียนให้ดียิ่งหนัก การรักษาคุณภาพต่อเนื่องยิ่งหนักเข้าไปอีก การเป็นนักเขียนอาชีพเมืองไทยมีข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือเรื่องรายได้ หยุดเขียนวันไหน ก็อดวันนั้น เพราะรายได้จากการพิมพ์หนังสือขาย ไม่ใช่เงินก้อนใหญ่ที่อนุญาตให้เกษียณได้ การทำงานโดยมีภาระนี้ค้ำคออยู่ ทำให้ทำงานดีได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น นักอ่านก็เปลี่ยนไป คนอ่านแบบจริงจังมีน้อยลง จากกลุ่มที่อ่านทุกอย่าง เป็นกลุ่มที่อ่านเฉพาะบางแนวเท่านั้น และหลายคนวิวัฒนาการเป็นพวกชอบอ่านข้อความสั้น บทความหนึ่งหน้าถือว่า ยาวมาก โมเดลเขียนเอง-พิมพ์เอง-ขายเอง จึงอาจเป็นทางรอดทางเดียวก็เป็นได้ ในวงการนักเขียน ประสบการณ์สามสิบปีไม่จัดว่ายาว เพราะการเรียนรู้ไม่มีจุดสิ้นสุดนักเขียนที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ไม่ต้องเรียนอะไรใหม่ คือนักเขียนที่ตายแล้ว นักเขียนต้องตามโลกให้ทัน การเปิดโลกทำให้ได้รับข้อมูลใหม่ๆ มาทำงานตลอดเวลา ทำให้ไม่ตัน นี่แปลว่านักเขียนไม่เพียงต้องเป็นนักอ่านตัวยง ยังต้องเป็นนักคิด คิดไกลกว่าคนอื่น ตั้งคำถามต่อทุกสิ่ง เมื่อมองโลกทะลุ ก็มีมุมมองการเขียนที่ลึกขึ้นกว่าแค่เขียนนิยายธรรมดาเรื่องหนึ่ง การเข้าใจโลกทำให้เราเขียนงานที่สมจริง แม้จะเป็นนิยายน้ำเน่า ก็เขียนได้ลึกกว่า สมจริงกว่า นักเขียนควรเป็นอิสระจากกรอบคิด ก้าวข้ามกติกา ความเคยชิน ลองเขียนเรื่องที่ไม่เคยเขียนมาก่อนบ้างจะสนุก หากนักเขียนไม่สนุกกับการเขียนหนังสือ ผู้อ่านจะสนุกได้อย่างไร อีกข้อหนึ่งนักเขียนควรมีคุณสมบัติของการเป็นนักคิดด้วย คือไม่ใช่รอสิ่งที่เป็นข้อมูลชั้นสองหรือผู้อื่นเล่าให้ฟัง เราคิดริเริ่มขึ้นมาก่อนได้ เดินนำหน้าผู้อ่านสักสองสามก้าวเสมอ หน้าสุดท้ายของหนังสือ คุณวินทร์เขียนไว้ว่า คนอยากเขียน มีลมหายใจได้ด้วยการเขียน มีสาระหรือไม่มีก็ช่าง แค่อยากเขียน เหมือนคัน ก็ต้องเกา ดังฉะนี้ ใครอยากเขียน ก็เขียน อย่าเพิ่งรีบคิดไปไกล ว่าจะพิมพ์งานที่ไหน จะขายได้กี่เล่ม จะสวมสูทตัวไหนไปรับรางวัล เขียนๆๆๆๆ เขียนให้หายคันในหัวใจ เขียนแล้วมีความสุขก็เท่ากับได้รับรางวัลเรียบร้อยแล้ว จงเขียนด้วยใจรักงานเขียน เขียนด้วยความเพียร เขียนด้วยความทนทาน ความรักในการเขียนจะให้ศิลปะความเพียร ให้ผลงาน ความทนทานให้พลัง ที่จะเดินไปข้างหน้าเมื่อได้เป็นนักเขียน ความจริงคือ คนที่ไม่ได้เป็นนักเขียน ร้อยละร้อยไม่ใช่เพราะเขียนแย่ แต่เพราะเลิกล้มกลางคัน เพราะจะเป็นนักเขียนต้องทนทานเหมือนยางรถยนต์ แล่นไปได้ทุกสภาพถนน ทุกสภาพดินฟ้าอากาศ หมุนไปข้างหน้าตลอดเวลา ระยะทางยังอีกไกล ก้มหน้าเขียนไปและเขียนไปให้สุดฝัน...
เล่มนี้ของพี่ดียังไง? เขียนไปให้สุดฝัน ไม่ใช่หนังสือตำราสอนงานเขียนแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่เป็นหนังสือแชร์ประสบการณ์งานเขียนกว่าสามสิบปีของคุณวินทร์ ที่อ่านง่าย ให้ข้อมูลได้กว้างมาก หลายข้อสำคัญยกตัวอย่างจากภาพยนตร์ที่เคยดู ทั้งที่ดูแล้วชอบมาก ดูแล้วกลางๆ หรือดูแล้วไม่เข้าใจเลย แต่ผ่านตาจากหนังทำให้เข้าใจได้ไม่ยากเมื่อยกตัวอย่างเปรียบเทียบ คุณวินทร์อธิบายแต่ละฉากได้อย่างเห็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการดำเนินเรื่อง หรือบทเปิดเรื่องหนังดูยากแบบ The Matrix , Memento หรือหนังสือยอดฮิตอย่าง มังกรหยก หนังอภิมหาอมตะอย่าง The Godfather , The Shawshank Redemtion และอีกหลายเรื่อง ทั้งของคุณวินทร์ และนักเขียนท่านอื่น แยกย่อยฉากต่อฉาก พลิอตหลัก พล็อตรอง การดำเนินเรื่องแบบไหน ให้ผลอย่างไร และปิดท้ายด้วยข้อความจากนักเขียนชั้นครูหลายท่าน ที่ให้คำนิยามนักเขียนไว้ในหลากหลายแบบ เขียนไปให้สุดฝัน เหมาะสำหรับนักเขียนและนักอยากเขียน ที่กำลังเริ่มต้นเดินทางสายนักเขียน รวมถึงนักเรียน นักศึกษา นักธุรกิจ ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องใช้การเขียน และใครก็ตามที่อยากเขียนได้ดี หรืออ่านพล็อตนิยายต่างๆ ไว้ศึกษา นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังเป็นหนังสือในโครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุดอีกด้วย
อ่านแล้วได้อะไร? หลายครั้งที่ถามตัวเองว่าเขียนไปทำไม เขียนเพื่ออะไร เพื่อความสุขของตัวเอง เพื่อคนอ่าน เพื่อเป็นหนังสือ เพื่อเงิน หรือเพื่อสนองความอยากเอาชนะตัวเอง มันมีหลากหลายความรู้สึกปนเปอยู่ในนั้นแบบแยกไม่ออก บางครั้งที่เหนื่อย บางทีก็ท้อ อยากวาง อยากพอ แต่พออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ได้ลูกฮึด ได้ไฟ ได้ฝัน และได้คิด แต่จะทำได้หรือไม่นั้น ก็คงต้อง เขียนไปให้สุดฝัน แค่นั้นเอง...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ขอบคุณของแต่งบล็อกสวยๆ จากคุณยายเก๋าและคุณญามี่ค่ะ ขอบคุณเพลงเพราะๆ จากอินเตอร์เน็ตค่ะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ ^___^
Create Date : 23 กันยายน 2559 |
|
34 comments |
Last Update : 23 กันยายน 2559 0:39:51 น. |
Counter : 3041 Pageviews. |
|
|
|
แนะนำได้เข้าใจ... ผมนั่งละเลียดอ่าน แหะ ๆ ใช้ถูกหรือเปล่า
ไม่รู้ รู้สึกเช่นนี้นจริง ๆ กลัวข้อความจะหมด.. เพราะเป็น
ประโยชน์จริง ๆ
ชอบตรงที่ว่า แขวนปืน ตั้งแต่บทที่ 1 ตอนที่ 2 ก็ยังมี
ถ้าไม่ความสำคัญให้ตัดทิ้งไป... ดีกว่า
พฤติกรรมคนอ่านหนังสือเปลี่ยนไปเยอะ จริงเลยครับ เขาไปอ่าน
อะไรที่สั้น ๆ ตามเน็ต นักเขียนไทยคงใส้แห้งต่อไป
พอดีเราไม่ใช่นักเขียน เลยเฉย ๆ 555 เพียงแต่อยากเล่า
และฝึกปรือ ขอเพียงมีคนเข้ามาอ่านก็พอใจที่สุดแล้วครับ
คุณนุ่น
เดี๋ยวจะ จดบันทึกไว้ก่อน ว่าจะแวะมาอ่านบล๊อกตอนนี้อีก
กันลืม แหะ ๆ ไม่คิดอุดหนุนคุณวินทร์เลยเหรอ.. พอดี ๆ
ไม่ค่อยเดินไปตามร้านหนังสือเท่าใดนะครับ ชอบอยู่ในที่
เงียบ พวกป่า กับธรรมชาติ
งั้นโหวตให้คุณน่นก่อน กันลืม
lovereason Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
ต่อท้ายอีกติ๊ดเดียว... จะลองหาซื้อหนังสือนี้บ้างครับ