22 เมษายน 2553
สวัสดีค่ะ
วันแวะมาอัพบล็อค หลังจากสายตาใช้ไม่ได้มานานร่วมเดือน
เกิดการอักเสบของม่านตา ทุกวันนี้ หยอดยาและกินยาอยู่จ๊ะ
หมอว่า เกิดจากเนื่อเยื่อเซลล์ตา ของเราไม่ค่อยดีอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จากพนักงานออฟฟิศธรรมดา เริ่มใช้สายตากับคอม ทุก ๆ วัน งานที่ทำ คือ การทำบัญชี ต้องมีการตรวจสอบและใช้สายตากับคอมในการคีย์ข้อมูล ลงบัญชี และ ตรวจสอบตัวเลข ให้ตรง เพื่อให้งบทุก ๆ เดือน ไม่มีปัญหา
ตอนนั้น โรคที่เป็นเกี่ยวกับสายตาครั้งแรก คือ เยื่อบุตาอักเสบ
จากที่รู้ ๆ กันอยู่ การใช้สายตาที่ยาวนานมาก ๆ ทำให้เกิดข้อเสียได้
เนื่องจาก เราเป็นคนชอบอ่านหนังสือ บางครั้ง อ่านในที่แสงไม่พอ
อ่านในห้องน้ำ อ่านบนรถ
ชอบทำงานฝีมือ ทำทุกอย่างที่อยากทำ ซึ่งก็ต้องใช้สายตาอยู่แล้ว สมัยก่อน ชอบปักคลอสติช เป็นชีวิตจิตใจ เคยปัก เป็น 20 กว่าภาพ ทั้งภาพธรรมดา และซีเปีย แต่ที่ชอบมากมาย ชอบปักภาพใหญ่ ๆ ค่ะ ไม่ชอบปักภาพเล็ก เนื่องจากมันเสร็จเร็ว ไม่น่าภูมิใจเท่าภาพใหญ่ ภาพที่เคยผ่านการปักมาแล้ว เช่น เจ้าแม่กวนอิมเหยียบมังกร เสด็จพ่อ ร.5 ภาพ ฮก ลก ซิ่ว 3 ภาพยักษ์ และรวมภาพ นางฟ้า โปรยดอกไม้ ฯลฯ
ย้อนอดีต เมื่อ ปี 43 ได้ออกจากที่ทำงาน หันมาเปิดร้านถ่ายเอกสารเล็ก ๆ ทำจนขยายร้านออกไปเป็นจุดย่อย ๆ 5-6 จุด จนมาถึงทุกวันนี้เหลืออยู่แค่ 3 จุด นับเวลาจากวันนั้น เป็นเวลาร่วม 10 ปี
แต่ที่รู้ ๆ กันอยู่ เมื่อปี 49 ได้หันมาจับงานตุ๊กตาถัก หลังจากนั้นไม่เกิน 1 ปี อาการ เจ็บตา ก็กลับมาอีกรอบ ในส่วนนี้ เป็นที่ ม่านตา ซึ่งมันลึกลงไปอีก 1 ชั้น จากเยื่อบุตา ซึ่งเป็นในส่วนของการมองภาพ
จากที่เป็นมา เท่าที่สังเกต 1 ปี ต้องเจ็บอย่างน้อย 1-2 ครั้ง จากวันนั้นถึงวันนี้ ร่วม 4 ปี มีความรู้สึกว่า ทำมั้ย เราต้องทำร้ายตัวเอง ได้ขนาดนี้ สุดท้าย เริ่มท้อ ที่จะทำงานตุ๊กตาถักต่อ
มองหลาย ๆ มุม ว่า ควรจะหยุดได้แล้วหรือยัง ปีนี้อายุก็มากขึ้นแล้ว น้อง ๆ หลายคนรู้สึกเสียดาย ที่อยู่ ๆ พี่จะเลิกถักตุ๊กตา บางคนเสนอว่า พี่ไม่ต้องรับถัก พี่แค่ออกแบบ พี่ทำชุคคิท ออกมาขายก็ได้ อย่าเพิ่งเลิกเลย
ตอนนี้ชีวิตสับสน เราควรจะทำอย่างไรดี คิด ๆ หลาย ๆ อย่าง ภาพในสมองไม่เกิด จินตนาการไม่มี ปล่อยชีวิตภาพไป ร่วมเดือน พร้อมกับการรักษาดวงตาของเรา
ทุกวันนี้ หมอบอกว่า ตาข้างขวามีจุดมัว มองทำให้การมองภาพไม่ถนัด หมอว่าเป็นอาการข้างเคียงของ "ม่านตาอักเสบ" จุดมัว นี้จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่จะไม่หายไป มันเหมือนภาพหมอกควันบาง ๆ ทำให้การมองเห็นไม่ดีเท่าที่ควร และตาข้างซ้ายเริ่มมีจุดมัวนิดหน่อย
มาคิด ๆ ดู ถ้าเราปล่อยให้เป็นไปเรื่อย ๆ แบบนี้ เท่ากับเราซ้ำเติมจุดเจ็บของสายตา ทั้งสองข้าง เราควรหยุดได้แล้วมั้ง ........
ดูปฏิทิน ปีนี้ 2553 เป็นระยะเวลา 10 ปี พอดี เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเนียะ หรือว่า ถึงจุดเปลี่ยนของชีวตอีกแล้ว
ปี 2533 ปีจบการศึกษาจากสุพรรณ เดินทางเข้ามาใช้ชีวิตในกทม. ทำงานในสายบัญชีมาตลอดชีวิต 10 ปี เป็นสาวออฟฟิศ ที่มีความเลิศหรู แต่ไม่ได้มีความฉลาดขึ้นจากเดิมเท่าไร ฉลาดได้แค่ หัวโขนที่สวมอยู่ บนอำนาจที่มี มีลูกน้อง มีหัวหน้า มีเพื่อนร่วมงาน มีงานเดิม ๆ ที่ระยะหลัง ๆ เหมือนต้องทนทำ สุดท้าย ไม่ทน ต้องลาออกมาหาหนทางของชีวิตต่อไป
ปี 2543 ปีที่ลาออกจากงาน ปีที่สะสมประสบการณ์หลาย ๆ อย่าง ปีที่ได้เริ่มเรียนรู้การทำงานนอก ปีที่ word และ Excel ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย ช่วงที่ทำงานอยู่ ก็ได้ไปเรียนรู้เพิ่มเติมหลายอย่างเพื่อความพร้อมที่จะออกมาผจญชีวิตภายนอกกรอบ ของมนุษย์เงินเดือน ไม่ว่า จะไปลงเรียนงานฝีมือหลายรูปแบบที่ชอบ หรือว่า ไปเรียนการทำเบอเกอรี่ ฝันเล็ก ๆอยากมีร้านเป็นของตัวเอง ฯ สุดท้ายมาจบ ด้วยการออกมาทำงานร้านถ่ายเอกสาร โดยการชักชวนของพี่เขย เพราะว่า เห็นว่ามีศูนย์รอง เปิดใหม่ของ สวนสุนันทา ที่เขตห้วยขวาง
ปี 2553 ปีนี้ สวนสุนันทา สถาบันใหญ่ ได้สร้างตึกใหม่ หลายตึก ได้โยกย้าย นักศึกษา จากจุดห้วยขวาง เข้าสถาบันใหญ่ ศูนย์รองฯ นี้จึงถึงจุดปิดตัวลง โดยที่ร้านเรา ต้องทำการค้ากับทางนักศึกษา มีผลกระทบอย่างมากมาย
สุดท้าย เมื่อคุณนั่งอยู่ดี ๆ ที่นั่งอยู่ ก็สั่นไหว เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉัน มันเป็นเวลา 10 ปี อีกแล้วเหรอเนียะ
ชีวิต ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้วเหรอ
มาประจวบเหมาะกับ สายตา ฉันเป็นอะไรแบบนี้ได้อย่างไร
หันไปทางไหน ทำอะไร คิด ๆ ๆ และคิด ต่อๆ ไป
เค้าว่า ทุกคน มีความฝัน และมีความหวัง ชีวิตจะไม่หยุดนิ่ง และดำเนินต่อไป
สิ้นเดือนเมษายน สถาบัน ปิดตัวลงอย่างถาวร
แล้วร้านถ่ายเอกสารของเราล่ะ ต้องปิดตัวลงหรือเปล่า
แล้วงานถักตุ๊กตาล่ะ ต้องโดนยกเลิก เพราะข้อจำกัดของสายตาเราหรือเปล่า
แล้วต่อไปล่ะ เราจะทำอะไรดี ???????????
ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวสมอง เราจะจัดการกับชีวิตของเราอย่างไร และต่อไปดี
ชีวิตฉันต้องสู้ ชีวิตต้องไม่ท้อ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
แหม ๆ ชีวิต 10 ปี นี้สามารถเขียนอะไรได้มากมายขนาดนี้ และยังมีอะไรอยากเขียนต่อไปเรื่อยๆ ไว้มีอะไรคืบหน้ากว่านี้ แล้วจะมาเขียนให้ฟังใหม่นะจ๊ะ ไปก่อน ขอเวลาตั้งตัวเล็กน้อย วันไหน ตั้งตัวได้แล้ว จะมาเล่าสู่กันฟังจ๊ะ สู้โว๊ยยยยยยยยย
...................................................................
10 พฤษภาคม 2553
วันเปิดเทอมวันแรกของลูกชาย (น้องลอตเต้) ปีนี้ขึ้น ม.3 และลูกสาว (น้องการ์ตูน) ขึ้นอนุบาล 3
สถาการณ์การเมืองร้อนแรง สถานการณ์ที่ร้านถ่ายฯ ก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน สัปดาห์นี้ เปิดเทอมมา ไม่มีการเรียนการสอนที่สถาบันอีกแล้วล่ะค่ะ เด็ก ๆ ย้ายเข้าศูนย์ใหญ่เป็นที่เรียบร้อย
สภาพสายตา วันนี้หมอนัด แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ไป เพราะช่วงเช้านี้ต้องประชุมผู้ปกครอง น้องการ์ตูน เข้าอนุบาล 3 เสียก่อน คงต้องผลัดไปก่อนไว้ไปหาวันหลัง
ตอนนี้ เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว ต้องกลับมามองออเดอร์ค้างเก่าที่ติดหนี้ลูกค้าไว้
เริ่มจาก หมีแต่งงาน 3 คู่ , หมีรับปริญญา 4 ตัว, และออเดอร์ของนอร์เวย์อีก 10 รายการ
จาก 2 สัปดาห์ที่ผ่านไป ได้จัดทำเสร็จไปแล้ว 2 เจ้า ตอนนี้ เหลือ ออเดอร์ของนอร์เวย์อีก 10 รายการ ซึ่งต้องขอขอบคุณพี่พิมเป็นอย่างมากที่เข้าใจ สั่งของมาตั้งแต่ กลางเดือน กพ. นัดส่งเดือน เม.ย. ณ ตอนนี้ ต้นเดือน พ.ค.ไปแล้ว ยังไม่ได้ทำให้เลย ต้องขอขอบคุณไว้ณ ที่นี้จริง ๆ ที่ให้โอกาสแก่เรา
เมื่อเสาร์ที่ 8 ที่ผ่านมา ได้นัดเพื่อนๆ มามิตติ้งที่ร้าน มีน้องสอง น้องเอ๋ น้องต้อม (โทมารุ) คุณปุ๊ น้องเจมส์ (เสียดายน้องเจมส์มาไม่ได้) มีการนัดทำข้าวเกรียบปากหม้อ ให้ชิมกัน เป็นอีก 1 งานที่จะเริ่มต้นหารายได้ให้กับตัวเอง
ข้าวเกรียบปากหม้อสุพรรณ ..... ทำมั้ยต้องสุพรรณ ก็มันเป็นสูตรเฉพาะที่ทำกินกันมาตั้งแต่เด็ก พี่ปุ๊กเริ่มหัดทำ ช่วยแม่ ช่วยพี่ ทำตั้งแต่อยู่มัธยม ไม่คิดเหมือนกันว่า มันจะเอามาเป็นอีก 1 อาชีพได้
เริ่มจากสั่งทำหม้อข้าวเกรียบ 3 หลุม สนนราคาตกประมาณ 800 กว่าบาท แต่พี่สาวที่แสนดี ให้มาด้วยราคาแค่ 99 บาท เนื่องจากข้อหาอยากให้ ไม่อยากให้เราเสียเงิน แต่เราอยากให้ เพราะว่า ต้องการเอามาทำมาหากิน
สมัยก่อน พี่ปุ๊กใช้ หม้อนึ่งข้าวเหนียว หรือหม้อแม่นาค ในการทำ ปากกว้าง แคะง่าย ละเลงแป้ง 1 ครั้ง ทำได้ 2 ตัวใหญ่
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทุลักทุเล พอสมควร เนื่องจากว่า ไม่ได้ทำมาร่วม 10 ปี เช่นกัน สมัยอยู่ ออฟฟิศ เคยทำขาย สมัยนั้น น้อง ๆ ต้องเป็นฝ่ายหาออเดอร์มาให้พี่ปุ๊ก อย่างน้อย 30 กล่อง พี่ถึงจะทำ
ทำมั้ยต้องมีเงื่อนไขละค่ะ เนื่องจากกลับจากที่ทำงาน 2 ทุ่ม ต้องมานั่งทำถึงเที่ยงคืน กว่าจะเสร็จ แล้วขอโทษนะค่ะ ต้องเก็บเข้าตู้เย็น แล้วหิ้วไปให้พวกน้อง ๆ เข้าไมโครเวฟกินที่ออฟพิศตอนเที่ยงของอีกวัน พวกเค้าก็อยากกิน เป็นเพราะว่า อยากอุดหนุน และ อร่อย (ขอบอก) 555555
ณ วันนี้ ได้กลับมาทำอีกครั้ง พี่ปุ๊กทั้งเหนื่อยและร้อน เพราะว่า อากาศตอนนี้แย่มากๆ นึก ๆ ว่าทำกินกัน ทำไปทำมา พี่เต้ ลูกชาย หิ้วไปขายให้ แล้วข้างบ้านเห็น ก็มาอุดหนุนกัน สรุปเสาร์ ที่ผ่านมาพี่ปุ๊กขายไปได้ 16 กล่อง ๆ ละ 25 บาท ได้เงินมา 400 บาท เอาฤกษ์เอาชัย
มีคนดินผ่านมาเห็น สนใจเดินเข้ามาถาม แต่ขอโทษนะคะ ไส้ที่ทำไว้หมดค่ะ เหลือแต่แป้ง ทำเสร็จประมาณ บ่าย 3 โมง ของหมด ถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อยค่ะ แต่กำลังใจมาเป็นกอง
หลังจากนั้น ถัดไปอีก 1 วัน มีคนถามหาอยากกินอีก มีคนอยากให้ทำไส้สาคูไส้หมู โอ๊ย ๆ เกิดกิเลส อยากทำค่ะ แต่ต้องขอเวลา เนื่องจากแม่ค้าเรา มีภารกิจมากมาย ไม่สามารถแยกตัวเองได้
ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า อนาคต มีโครงการ จะทำฝากขาย ไว้วันหลังจะทำแล้วถ่ายรูปมาให้ดูนะค่ะ ว่า หน้าตาข้าวเกรียบปากหม้อสุพรรณ เป็นเช่นไร ไว้มาตามกันต่อค่ะ ว่ามีภารกิจอะไรอีกที่พี่ปุ๊กจะทำต่อ 555555
|
สู้ ๆ นะคะ...ที่ปลายอุโมงค์ มีแสงสว่างเสมออ่ะ...อิอิ....