มกราคม 2556

 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
11
14
16
18
22
23
25
27
28
29
30
 
 
All Blog
14-15>>>ระหว่างรอรถเมล์...ฆ่าเวลาไปสองเล่ม...
วันนี้รู้ซึ้งเลยค่ะว่า...การขับรถไม่เป็นมันลำบากอย่างนี้นี่เอง...ทั้งๆที่บ้านห่างจากตัวเมืองแค่สามกิโลฯแต่ไม่มีปัญญากลับบ้าน ต้องรอรถรอบเมืองที่ปกติ 15 นาทีจะมีคัน แต่...วันนี้ วันเสาร์ คุณพี่แกเลยหยุดวิ่งซะงั้น Smiley ไม่เป็นไร...ไปขึ้นรถที่วิ่งระหว่างอำเภอก็ได้ ผ่านบ้านเราเหมือนกัน แต่...ป้าที่ท่ารถก็ดับความฝันว่า อ๋อ รถ...ไม่มีแล้วหนู มันเลิกวิ่งตั้งแต่บ่ายแล้ว...Smiley ไม่เป็นไรๆ...เดินไปขึ้นรถอีกท่าที่ตลาดก็ได้...เดินไปประมาณครึ่งกิโลฯ มือสองข้างหิ้วหนังสือสองถุงใหญ่ ของใช้อีกหนึ่งถุง และกางเกงอีกหนึ่งถุง (เสียดายตังค์ค่ามอ'ไซค์รับจ้าง) พะรุงพะรังเดินไปเรื่อยๆ ก็ถึง...จากนั้น...ออกกี่โมงคะลุง...นั่งรอบนรถเลยหนู สี่โมงครึ่งก็ออกแล้ว...ก้มน่าดูนาฬิกาแล้วตกใจ...ตอนนั้นเพิ่งบ่ายสามโมงนิดๆเอง ฮือ...รอก็รอ...แอบคิดในใจ ถ้าเดินไปคงกลับถึงบ้านพอดี Smiley ขึ้นนั่งบนรถก็เจอเพื่อนร่วมชะตากรรมเป็นน้องนักเรียนอีกสองคนทำหน้าเซ็งๆ...แหงสิ...บ้านอยู่ในอำเภอเมืองแท้ๆแต่ทำไมหารถกลับยากอย่างนี้นะ...คว้าถุงหนังสือมาเปิด หยิบวรรณกรรมเยาวชนที่ซื้อได้ในราคาลด 50% กับ 70% ออกมา...ตั้งใจว่าจะซื้อเก็บไว้ส่งไปบริจาคห้องสมุดโรงเรียนประถมแถวต่างจังหวัด(นี่บ้านแกยังไม่ต่างจังหวัดพออีกเหรอ???)...แต่ป้าขออ่านฆ่าเวลาก่อนนะลูก...



เมฆสีเงิน...กนกวลี พจนปกรณ์...บอกเล่าเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เติบโตมาในชนบท กับแม่ ยายและพ่อใหญ่ เด็กหญิงไม่รู้ว่าพ่อคือใคร และมักจะถูกเพื่อนๆล้อเสมอจนต้องมีน้ำตาเสมอ
"แม่ ปอยมีพ่อมั้ย"
"มีสิ ทุกคนต้องมีพ่อ"
"งั้นพ่อปอยอยู่ไหนจ๊ะแม่"
"แม่รักปอย ยายรักปอย และพ่อใหญ่ก็รักปอย ทุกคนในบ้านรักปอย แค่นี้ปอยยังไม่พอใจอีกหรือลูก"
"แต่ใครๆก็ล้อปอยนี่แม่จ๋า ไอ้ปูมันชอบว่าปอยไม่มีพ่อ ไอ้ยุ้ยด้วย มันว่าปอยอยู่เรื่อย มันว่าแม่มันบอกมันว่าแม่ปอยยังไม่ได้แต่งงาน คนไม่แต่งงานไม่มีลูกหรอก แล้วจริงๆแม่ยังไม่ได้แต่งงานใช่มั้ยจ๊ะ"
"แม่จะเป็นอะไรก็ช่าง ปอยอย่าสนใจคนอื่นพูดเลยลูก...คนดี...เชื่อแม่นะ ใครจะว่าอะไรเราก็ช่าง เฉยซะ ไม่ต้องไปเถียง ไม่ต้องไปต่อความ"
"ปอยทนไม่ได้ เวลาเพื่อนมันล้อ ปอยอยากร้องไห้แล้วน้ำตามันก็ไหลทุกทีน่ะแม่"
"แม่จะสอนนะลูก ต่อไปนี้ถ้าใครล้อ ลูกต้องคิดในใจว่าลูกมีแม่ที่รักลูก ลูกมีพ่อใหญ่ที่รักลูก และก็มียายที่รักลูก พูดอย่างนี้ปอยเข้าใจมั้ย"
"จ้ะ"

เด็กหญิงปอยก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ตลอดมา จนวันปิดเทอมมาถึงน้าชายน้าสะใภ้และลูกสาวของน้าก็เดินทางมาเยี่ยมบ้าน ปอยดีใจที่ได้มีเพื่อนเล่น และลูกสาวของน้าก็เข้ากันได้ดีกับปอย จะมีก็แต่น้าสะใภ้ที่มึนตึงใส่ วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปิดเทอมอีกครั้ง น้าชายมารับปอยเข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯ ให้เรียนหนังสือที่นั่น ท่ามกลางความมึนตึงของน้าสะใภ้เหมือนเคย จนกระทั่ง...วันที่ปอยไม่สบายหนักเข้าโรงพยาบาล ปอยร้องเรียกหาแม่ จนแม่มาเยี่ยม ปอยขอกลับไปอยู่บ้านกับแม่ ไม่อยากอยู่ที่กรุงเทพฯอีกแล้ว แม่จึงบอกความจริงกับปอยเรื่องพ่อ...สุดท้าย เด็กหญิงปอยก็ได้รู้สักทีว่าพ่อของตัวเองคือใคร...

อ่านจบ...เรื่องสั้นๆ อ่านง่าย ใช้เวลาไม่นาน...เพราะอ่านจบแล้ว รถก็ยังไม่ออก 555...ชอบฉากในเรื่องที่เล่าถึงเด็กในชนบทว่าเขาเล่นอะไรกันบ้าง ผ่านปอยและปู...เช่น ปีนต้นไม้ เล่นขายของ วิ่งเล่นตามทุ่งนาบ้าง...สนุกดีค่ะ ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้เขาจะอ่านเข้าใจกันไหม...




เด็กชายมะลิวัลย์...ประภัสสร เสวิกุล...เป็นเรื่องของเด็กชายมะลิ ผู้เกิดมาผิวขาว และเกิดหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองผ่านไปไม่นาน ที่บ้านของมะลิมีฐานะค่อนข้างไปทางยากจน บ้านยังต้องเช่าอยู่ พ่อซึ่งเป็นอดีตนักเรียนนายร้อยและรับราชการทหาร แต่เพราะไปขัดแย้งกันในหน้าที่การงาน ทำให้ต้องลาออกและมารับจ้างทำงานและมักจะดื่มเหล้าเป็นประจำ...แกว่า...แกดื่มปีละสองวัน...คือวันฝนตกกับวันที่ฝนไม่ตก...มะลิมีพี่สาวและพี่ชายอย่างละหนึ่งคนที่อายุห่างจากมะลิหลายปี มะลิเกิดมาสุขภาพก็ไม่ค่อยแข็งแรงและเพราะที่บ้านไม่ค่อยจะมีเงิน พอป่วยก็ต้องหายากินไปตามอัตภาพ จนสุดท้ายมะลิก็กลายเป็นโรคโปลิโอทำให้ร่างกายไม่สมประกอบเหมือนเดิม ไปโรงเรียนก็โดนเพื่อนๆล้อ จนคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ก็ได้เพื่อนสนิทที่อยู่ในซอยเดียวกันเตือนสติ
"เราไม่อยากอยู่เสาชิงช้าแล้ว ที่นี่มีแต่คนคอยแกล้ง คอยหัวเราะเยาะเรา..."......"เราจะให้แม่พาเราไปอยู่ที่อื่น"
"นายจะทิ้งขานายไว้ที่นี่หรือเอามันไปด้วย"
"ขาของเรา เราก็ต้องเอาไปด้วยสิ"
"งั้นนายก็ไม่มีวันที่จะหนีไปไหนพ้น"

ถึงบ้านของมะลิจะยากจน แต่เรียกได้ว่ามีศักดิ์ศรี และรวยน้ำใจ ใครเดือดร้อนมาก็ช่วยเหลือกันไปตามอัตภาพ และแบ่งปันกันยามมีพอ...ในวงเหล้าของพ่อมะลิ มักจะมีปัญหาอะไรเอ่ยถามกันอยู่เสมอ...ซึ่งก็เฮฮากันตามประสาคนเมา...แต่คำถามหนึ่งของแม่ที่ทำให้ลูกๆสงสัยและยังไม่ได้คำตอบคือ...ถ้ามีปลาอยู่ตัวหนึ่ง ทำอย่างไรถึงจะกินได้ตลอดปี...สุดท้ายแม่ก็เฉลยให้ลูกๆรู้จากการกระทำของแม่เอง
"คนเราอยู่กันแค่หลังคาบ้านจะเกยกัน มันก็เหมือนคนร่วมชายคาเดียวกัน มีอะไรนิดอะไรหน่อยก็ต้องแบ่งปันกันกิน"
"เจ๊กพวกนั้นรวยกว่าเราตั้งเยอะ"......"เขามีกะตังค์ซื้อกินเองได้ แต่เรานานๆกว่าจะได้กินอะไรดีๆสักที"
"ที่มณฑาพูดก็ถูก"....."แต่ของกินน่ะมันอยู่ในท้องเราชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ไมตรีจิตต่างหากที่มันจะยั่งยืนอยู่ในจิตใจคน..."......."จำปัญหาอะไรเอ่ย?ที่แม่ถามได้ไหมว่า ถ้ามีปลาตัวหนึ่งทำอย่างไรถึงจะกินได้ตลอดปี"
"จำได้ฮะ"
...แม่ส่งจานสังกะสีที่ใส่ฝักบัวผักหนึ่งกับปลาแห้งครึ่งตัวให้พี่โมก "เอานี่ไปให้บ้านเจ๊กอ้วนที"

หลังอ่านไปได้ครึ่งเล่ม...รถก็ได้เวลาออกเสียที และแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงบ้านเรียบร้อย Smiley ทำให้ต้องมาอ่านอีกครึ่งเล่มที่เหลือที่บ้านต่อ...เรื่องนี้จะเล่าออกมาเป็นตอนๆค่ะ แต่ละตอนก็จะแทรกข้อคิดต่างๆลงไปด้วย จนไปถึงตอนสุดท้าย...มะลิของเราโตเป็นหนุ่มจะได้ทำงานทำการกับเขา เมื่อเงินเดือนออกเพื่อนๆก็พากันไปเลี้ยงฉลอง...เมาเละเทะกลับบ้าน กว่าจะตื่นก็เกือบครึ่งวัน...พ่อหยุดงานเพื่อดูแลมะลิ (เพราะมีประสบการณ์การเมามาอย่างโชกโชน)
"แม่แกน่ะเขานอนร้องไห้ตั้งแต่ได้ยินเสียงแกอ้วก"......"กินเข้าไปทำไมเหล้าน่ะ มันได้ดิบได้ดีอะไรขึ้นมา"......."บ้านนี้น่ะ มีไอ้ขี้เมาคนเดียวก็พอแล้ว"...หลังจากนั้นมะลิก็ไม่เคยกินเหล้าอีกเลย ส่วนพ่อ...ก็กินแค่ปีละสองวันเหมือนเดิม...Smiley


นานๆ อ่านเรื่องแบบนี้บ้างก็ดีนะคะ ทำใ้ห้นึกย้อนไปถึงวัยเด็ก เล่นซนบ้าง ไม่เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่บ้าง และบางครั้งคำสอน คำบอกเล่าของผู้ใหญ่ที่เราเคยฟังแล้วไม่เข้าใจในวันนั้น...พอได้มาอ่านอีกที...ในวันนี้ เรากลับเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น...เรียกได้ว่าอ่านได้เพลินทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยล่ะค่



Create Date : 26 มกราคม 2556
Last Update : 1 มกราคม 2557 20:02:52 น.
Counter : 2321 Pageviews.

5 comments
  
อ่านรีวิวนี้แล้วสะท้อนใจ ข้อแรกคือ อายุก็เยอะแล้วแต่ยังขับรถไม่เป็นT T ลำบากจริงๆค่ะ อีกข้อหนึ่งคือ มาคิดว่าเหตุใดตอนนี้เราจึงไม่ได้ซื้อวรรณกรรมเยาวชนมาอ่านบ้างเลย

อ่านรีวิวเรื่องแรกแล้วนึกถึงวรรณกรรมเยาชนเรื่องนึง(จำชื่อไม่ได้) ที่ตัวเอกเป็นเด็กหญิงชื่อนางฟ้า มีเพื่อนที่มีพ่อแม่สมบูรณ์ แล้วไปแอบกันในบ้านต้นไม้ สุดท้ายพ่อแม่ของเพื่อนเด็กก็รับเป็นลูก เป็นเรื่องที่อ่านบ่อย (อีกเรื่องคือบ้านพิลึก ก็อ่านบ่อยเช่นกัน) ตอนที่ยังรุ่นๆอยู่นะคะ

เรื่องที่สองก็น่าอ่านเช่นกันค่ะ

โดย: Sab Zab' วันที่: 26 มกราคม 2556 เวลา:23:15:45 น.
  
สะท้อนใจด้วยคน เพราะไม่กล้าขับรถเหมือนกัน
วรรณกรรมเยาวชน จะอ่านเป็นพัก ๆ ค่ะ เมื่อก่อนจะชอบนายอินทร์อะวอร์ด และงานแปลบางเล่ม
โดย: ~:พุดน้ำบุศย์:~ วันที่: 27 มกราคม 2556 เวลา:10:01:20 น.
  
คุณ Sab Zab'...รู้สึกดีที่มีพวกค่ะ

คุณพุดน้ำบุศย์...มีอยู่ช่วงหนึ่งอ่านเยอะมากค่ะ แต่...บางเล่มอ่านแล้วแอบคิดว่าเด็กจะอ่านเข้าใจไหม เพราะ...เราอ่านเองบางทียังงงๆ
โดย: Aneem วันที่: 27 มกราคม 2556 เวลา:10:19:11 น.
  
ขับมอเตอร์ไซค์พอได้ค่ะ แต่...ไม่มีใบขับขี่ เลยไปไหนมาไหนลำบากพอกับคุณ Aneem เลยอะค่ะ

สองเล่มนี้น่าอ่านมาก ๆ เลยค่ะ อ่านไปก็สะเทือนใจแทนเด็ก ๆ อะค่ะ
โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 27 มกราคม 2556 เวลา:19:46:34 น.
  
คุณหวานเย็นฯ...แม้แต่มอเตอร์ไซค์ยังไม่เป็นเลยค่ะ
โดย: Aneem วันที่: 27 มกราคม 2556 เวลา:21:07:22 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aneem
Location :
สระบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



ปีนี้+++ตั้งเป้าไว้ว่าจะพยายามซื้อหนังสือให้น้อยลง...แต่จะอ่านของเก่าที่ดองอยู่ให้มากขึ้น...จำทำได้มั้ยนะ!!!