Group Blog
 
 
กันยายน 2549
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
3 กันยายน 2549
 
All Blogs
 
ตะลุยแดนลอดช่องวันที่หนึ่ง : เหินฟ้าสู่สิงคโปร์



ที่สนามบินดอนเมืองผมได้นัดกับปาล์มไว้ ประมาณ 8.00 – 9.00 น. ประมาณนี้ แต่ปรากฏว่าปาล์มนั่งแท๊กซี่ออกจากบ้านแป๊บเดียวไปถึงสนามบินตั้งแต่เกือบ 7 โมงตรง ในขณะที่ผมกำลังจะนั่งรถเมล์ออกจากแถวบ้าน ซึ่งผมก็ไปถึงสนามบินราวๆ 8.45 น.ทำให้ปาล์มต้องนั่งรอนาน แต่โชคดีที่พี่เหว่ามาเป็นเพื่อนปาล์ม ปาล์มเลยไม่เหงา เมื่อพวกเราเจอกันแล้วก็ได้ทำการขับไล่พี่เหว่าให้ไปทำงาน อิอิ แล้วเราก็ไปหาข้าวกินที่บริเวณศูนย์อาหารในสนามบิน ซึ่งปกติขายให้กับพนักงานแถวนั้น แต่เราก็รู้แหล่งกินซึ่งราคาถูก ถ้าไปนั่งตามร้านทั่วๆไปในสนามบินก็คงแพงโขอยู่ เนื่องจากของเราเป็นการเดินทางแบบประหยัด เลยต้องประหยัดตั้งแต่ยังไม่ออกจากประเทศไทย อิอิ หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็มารอที่เคาเตอร์เช๊คอิน ซึ่งปรากฏว่าเจ้าหน้าทียังไม่ได้ทำงานเลย แต่มีคนมารอ เช๊คอินตั้งแถวเสียยาวเยียดมากๆ พวกผมเลยได้อยู่คิวท้ายๆ แต่ก็ไม่ถึงกับที่สุด เพราะยังมีคนมาต่อแถวหลังเราอีกมากเหมือนกัน และช่วงรอเช๊คอิน นี้แหล่ะรู้สึกใชเวลาเช๊คอินนานพอสมควร เนื่องจากมีทั้งกรุ๊ปทัวร์ คนจีนด้วย ซึ่งตามปกติเป็นพวกเรื่องมาก และไม่น่าเข้าใกล้ที่สุด เนื่องจากเป็นพวกไม่รู้จักเกรงใจชาวบ้าน เออ ไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไหร่เดี๋ยวทำให้บรรยากาศในบันทึกเสียไปหมด อิอิ




หลังจากเช๊คอินแล้ว ก็ไปที่ ตม.เพื่อประทับตราออกนอกประเทศ ซึ่งเราก็กรอกใบเข้าออก พร้อมยื่นพาสปอร์ตและบอร์ดดิงพาส ให้เจ้าหน้าที่ตรวจ หลังจากผ่านขั้นตอน ตม.ในสนามบินเรียบร้อยและเราก็เดินไปที่เกต 71 ซึ่งปรากฏว่าพวกเรา เดินผิดทางเลยต้องเดินไปทางใหม่ ซึ่งเสียเวลาและประตูก็อยู่ไกลมากๆ เราเลยเร่งรีบกันใหญ่ เพราะเรากลัวว่ามันใกล้จะถึงเวลาประตูปิดแล้ว แต่จริงๆมีคนมาหลังเราเยอะแยะ แต่เพื่อความอุ่นใจเลยอยากจะไปนั่งรอก่อน ซึ่งไปถึงประมาณสิบนาทีก็ได้ขึ้นเครื่อง ซึ่งจะต้องนั่งรถไปที่เครื่องอีกที่หนึ่งเนื่องจากแอร์เอเชียเป็นสายการบินที่เพิ่งมาทีหลังสายการบินเก่าๆทั้งหลาย เลยไม่มีที่จอดประชิดอาคารผู้โดยสาร เมื่อมาถึงเครื่องบินแล้ว เราก็เลือกที่จะนั่งใกล้หน้าต่าง และไม่ติดปีก ซึ่งผมมักจะเลือกติดหน้าต่างเวลาขึ้นเครื่องบิน เพราะจะได้ดูวิวทิวทัศน์ระหว่างทาง เครื่องออกจากสนามบินดอนเมืองเวลาเกือบๆเที่ยง และเราก็ได้ดูวิวสมใจระหว่างทาง เจ้าหน้าที่ได้นำอากาศเครื่องดื่มออกมาขายแต่เราไม่ซื้อเพราะ งก เอ้ยไม่ใช่ เพราะแอบเตรียมมากินเองเพราะซื้อข้างบนมันก็แพงเอาการทีเดียว เครื่องบินได้บินผ่านอ่าวไทย ผ่านน่านฟ้ามาเลเซีย






















และก่อนจะเข้าสิงคโปร์ก็ได้บินออกมาที่ท้องทะเลอีกครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่ด้แจกเอกสาร ตม.ของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งก็กรอกไม่ยาก เพราะถ้าเปรียบกับของประเทศมาเลเซีย แต่แปลกที่ทางยุโรปไม่เคยเห็นได้กรอกเลย ผมกับปาล์มรู้สึกตื่นตาตื่นใจกันมาก เมื่อเห็นประเทศสิงคโปร์ผ่านทางอากาศ เพราะเห้นต้นไม้ที่เขาปลูกไว้มันมีความระเบียบและกว้างใหญ่ไพศาลมาก โดยเครื่องบินได้บินวนนานพอสมควรกว่าจะลงจอดได้ ซึ่งผมเข้าใจเอาเองว่าการจราจรบนในท่าอากาศยานนานาชาติชางฮีคงจะหนาแน่นพอสมควร จึงกว่าจะลงจอดได้ เมื่อเครื่องบินลงจอดแล้วซึ่งสายการบินแอร์เอเชียนี่จะจอดที่ Terminal 1 พวกเราก็เดินไปที่ ตม.ของสิงคโปร์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประทับตราเข้าเมืองให้เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่มีอะไรยุ่งยากแค่ยื่นพาสปอร์ตกับ ใบกรอกเข้าเมืองของสิงคโปร์แค่นั้นเอง เจ้าหน้าที่ก็จะฉีกหางตั๋ว เอ้ยไม่ใช่ ฉีกอีกส่วนหนึ่งไว้ให้เรายื่นตอนขาออก ซึ่งจะต้องไม่ทำหาย









และแล้วผมกับปาล์มก็ผ่านตม. ออกมารับประเป๋าที่สายพานซึ่งประเป๋ามารอเราเรียบร้อยแล้ว ต่างกับดอนเมืองที่พวกเรามารอกระเป๋า อิอิ บรรยายกาศในสนามบินก็ดีทีเดียว ซึ่งสนามบินชางฮีปีนี้ได้รับการโหวตให้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลก แต่ในสายตาผมไม่เห็นจะพิเศษเท่าไหร่เลย รอสุวรรณภูมิเปิดเหอะ จะเชียร์ให้ดีที่สุดในโลก เมื่อรับประเป๋าแล้ว พวกเราก็นั่งรถไฟฟ้าระหว่างอาคาร ซึ่งขึ้นฟรีจากอาคารหนึ่งไปอาคารสอง เพื่อจะทำการต่อรถไฟฟ้าเดินทางเข้าเมือง เราก็มองหาป้ายไปเรื่อยๆก็เห็นป้าย City train ก็เดินไปตามนั้นลงบันไดเลื่อนลงปลึก พอสมควร จนถึงสถานี ซึ่งเราจะใช้เป็นจุดแรกในการเดินทางในสิงคโปร์ แต่ก่อนอื่นเราต้องมีเครื่องมือก่อน นั้นก็คือบัตร Ezylink card ซึ่งเป็นบัตรรถไฟฟ้าของสิงคโปร์ ซึ่งจริงๆมันก็ซื้อจากตู้ได้ แต่ผมไม่อยากเสียเวลาเรียนรู้ไอ้เจ้าตู้นี้ เลยตรงดิ่งไปยังเจ้าหน้าที่ ซึ่งในออฟฟิศ ซึ่งคล้ายออฟฟิศ MRT และ BTS บ้านเราดีๆนี้เอง สำหรับบัตรไอ้ที่ว่านี้นะครับ ซื้อครั้งแรกจะต้องจ่าย 15 SGD ซึ่งจะถูกกินเปล่า 5 SGD และมัดจำในบัตร 3 SGD เหลือเงินที่จะใช้ได้จริงเพียง 7 SGD เพราะฉะนั้นการเดินทางที่แพลนไว้นี้มันเกิน 7 SGD อยู่แล้ว ผมเลยต้องเติมเงินเพิ่มพิเศษไว้ 10 SGD ซึ่งเป็นการเติมขั้นต่ำ ถ้าเหลือก็เอามา Refund ได้ซึ่งจะได้ค่ามัดจำคืนด้วย อีกอย่างใช้บัตร Ezylink จะถูกกว่าการซื้อแบบเดินทางปกติ (ก็คิดค่ากินเปล่าไปแล้วนี่) ส่วนราคาระหว่างสถานีก็หาเช๊คได้ตามเวปของบริษัทที่จัดการของสิงคโปร์เขาครับ เมื่อทุกอย่างลงตัว พวกเราได้บัตรมาแล้ว ก็เอาไปทาบลงบริเวณที่กำหนดบริเวณทางเข้า เหมือนกับ MRT ล้านเรานั่นแหล่ะครับ เมื่อประตูเปิดก็เดินเข้าไปได้ บรรยากาศของสถานีที่อยู่ใต้ดินที่นี้ เหมือน MRT บ้านเราเลย ทำให้รู้เลยว่าใครหลอกใคร อิอิ








รถไฟฟ้าได้ออกจากสถานีสนามบินชางฮีแล้ว ซึ่งรถจะวิ่งไปแค่สองสถานีเท่านั้นอ่ะ ถึงสถานี Tenah Merah พวกเราต้องเปลี่ยนนั่งรถไฟฟ้าสาย Boon Lay แต่ลงที่สถานี Bugis ซึ่งก็ไปหลายสถานีเหมือนกัน แต่ใช้ระยะเวลาเดินทางไม่นานนัก เมื่อถึงสถานี Bugis ก็ออกมาจากสถานี ซึ่งที่นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของสิงคโปร์ เพราะขึ้นมาแล้วพวกหลงงงง ฮ่าๆๆ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็ขึ้นมาแล้วก็เอาแผนที่มากางแล้วผมก็งงว่าทิศเหนือ กับทิศใต้เนี้ยมันคือทางไหน แต่พวกเรารู้ว่าถนน Rochor เป็นที่ตั้ง โรงแรม New 7th storey ที่พวกเราจะพัก และก็รู้ว่ามันอยู่ไม่ไกลสถานี Bugis เลย ก็เลยตัดสินใจเดินไปแต่จะข้ามถนนเลยแป๊บมาว่าไม่น่าจะใช่ เลยกลับหลังหันเดินไปอีกด้านหนึ่งมาได้ประมาณ 3-400 เมตรเลยเอาแผนที่มากางใหม่ตั้งสติดูดีๆ เลยถึงบางอ้อ เฮ้ยถ้าเดินตรงไปตอนแรกอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เลยเสียเวลานิดหน่อย แต่ไม่ได้เลทไปตามกำหนดการที่พวกเราวางแผนเอาไว้เลย และแล้วก็ถึงโรงแรมแล้วก็ยื่นใบคอนเฟิร์มที่พวกเราได้จองผ่านทางอินเตอร์เน็ต เจ้าหน้าที่ก็ดูหมายเลขจองและขอพาสปร์ตทั้งของผมและปาล์ม และเซ็นการเข้าพักเป็นอันเสร็จสรรพ เราเร่งรีบขึ้นไปบนห้องพักที่ชั้น 3 ซึ่งการขึ้นลิฟท์ที่นี้จะขึ้นเองลงเองไม่ได้นะครับ จะต้องให้ลุงพนักงานเป็นคนรับส่งให้เท่านั้น หลังจากรื้อของในกระเป๋าแล้ว ก็เอาแต่ของที่จำเป็น เช่น ขนม น้ำและพาสปอร์ตซึ่งจะหายไม่ได้และต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลา พร้อมกับอุปกรณ์ถ่ายภาพด้วย ทุกอย่างเข้าไปอยู่ในกระเป๋าใบเล็กและพวกเราก็พร้อมแล้วสำหรับการตะลุยเมืองลอดช่อง





ผมกับปาล์มใช้บันไดลงมาจากชั้นสามเพราะสงสารลุงแก ที่จะต้องรับส่งคนตลอดเวลาและอีกอย่างประหยัดพลังงานช่วยโรงแรม (เป็นคนดีมากๆ อิอิ) ผมฝากกุญแจแล้ว สิ่งที่จำต้องทำหลังจากนั้นคือ หาของกินนนนน เพราะหิวมากกกก เผอิญตอนเดินหลงน่ะ พวกเราเห็นศูนย์อาหารใต้ตึกแห่งหนึ่งแล้ว เลยไม่อยากเสียเวลา เลยเข้าไปกินที่นั้นเลย และด้วยความใหม่ต่ออาหารสิงคโปร์(ซึ่งออกแนวจีน) ผมกับปาล์มก็เก้ๆกังๆไม่รู้จะกินอะไรดี พวกเราเลือกร้านที่มีรูปภาพอาหารและก็มีราคาติดไว้เรียบร้อยเพื่อความง่ายในการตัดสินใจ แค่เดินเข้าไปในร้านอาหารแม่ค้าก็ยิ้มให้แล้ว และแล้วพวกเราก็สั่งอาหารอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะพวกเราเอาความสะดวก วิธีสั่งก็คือ ชี้เอาเลย อิอิแถมพูดอีก Number 2 . 2 dishes ตอนนี้ไม่สนประโยคไวยากรณ์อะไรทั้งนั้น ขอให้แม่ค้ารู้เรื่องก็พอแล้ว แหะๆ แม่ค้าก็ใจดีบอกให้เรานั่งรอ สองจานเนี้ยก็ทำนานไปนิดหนึ่ง เราเลยไม่แน่ใจว่าหรือว่าทำเสร็จแล้ว แต่รอให้เราไปเอาเองหรือเปล่า เลยเข้าไปถามแม่ค้า Finished? แต่แม่ค้าดันได้ยินเป็น How much? เลยตอบมาว่า 7 Dollar. เอ้า เอาเข้าไป อิอิ รู้นะว่าแม่ค้าภาษาก็คงพอๆกัน เลยจ่ายไป 7 เหรียญสำหรับสองจาน (อยากรู้ราคาเท่าไหร่ก็เอา 24x แล้วกันนะครับ) และผมก็จะยืนรอแต่แม่ค้าบอก Sit ประมาณว่าเดี๋ยวจะเสิร์ฟให้จ้ะ ประมาณนั้น รออีกแป๊บเดียวแม่ค้าก็เอาเสริฟพร้อมกับการกล่าว ขอบคุณ(Thank you) ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนคุณน้าร้านซาลาเปาข้างๆก็ยิ้มให้ เพราะคงรู้ว่าเป็นคนไทย พอผมเห็นลูกชาย(หรือคนงานไม่แน่ใจ) ของร้านนี้ใส่เสื้อสีเหลืองเรารักในหลวง เลยรู้ว่าร้านนี้ต้องมีความสัมพันธ์กับเมืองไทยแน่ๆ เลยยิ้มให้กันนิดหน่อยแต่ไม่ได้เข้าไปถามว่าเกี่ยวกันยังไงกะเมืองไทย) พูดถึงรสชาติอาหาร(ดูที่รูปนะครับ) ก็ออกแนวจืดเลี่ยนหน่อยรสชาติน้ำเหมือนหอยสไตล์อาหารจีนนั้นแหล่ะครับ แต่ก็อร่อยเหมือนกันนะครับ พวกเรากินหมด และยังพูดกับปาล์มว่ามันหมดเพราะ พวกเราหิวหรือมันอร่อยกันแน่ พูดถึงราคาอาหารที่นี้ค่อนข้างแพงเอาการถ้าเทียบกับบ้านเรา นี้ขนาดเลือกกินศูนย์อาหารตามคอนโด เฉลี่ยราคาที่กินประจำก็ประมาณ 2.05 SGD หรือประมาณ 60 บาทเชียวนะครับ ถูกที่สุดตั้งแต่กินมาอยู่ที่ 1.90 SGD น้ำก็ค่อนข้างแพง ในเซเว่นขายเหรียญกว่าๆทั้งนั้น ถูกสุดที่เคยซื้อได้อยู่ที่ 60 cent ยี่ห้อเดียวกับในเซเว่นเลย แต่มื้อแรกพวกเราไม่ได้จ่ายค่าน้ำเพราะขนไปจากเมืองไทยนี่เอง แต่น้ำที่ขนไปเนี้ยกินได้ถึงอีกเช้าวันถัดมาแค่นั้นเอง



หลังจากกินข้าวมื้อแรกในสิงคโปร์เรียบร้อยแล้วก็เดินข้ามฝั่งถนนมาอีกฝั่งหนึ่งก็จะเป็นสถานีรถไฟฟ้า Bugis ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทางของพวกเราเกือบจะทุกครั้ง พวกเรานั่งรถไฟฟ้าสายสีเขียวปลายทาง Boon Lay เหมือนตอนขามาจากสนามบินไปลงที่สถานี Raffles place ซึ่งห่างกันราวสองสถานี พอโพล่ขึ้นมาจากสถานีแล้ว พวกเราก็หลงทิศอีกตามเคย ตั้งหลัก(ถ่ายรูป) ซักพักแล้วก็กางแผนที่ออก และเดินไปตามแผนที่เพื่อหาทางไป Merlion ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษญ์ของประเทศสิงคโปร์นั้นเอง พวกเราหาสะพานลอยข้ามถนนไม่เจอ ต้องเดินย้อนกลับมาอีกนิดหน่อย เป็นสะพานออกมาจากในห้าง แล้วพวกเราก็ข้ามไปฝั่งตรงกันข้าม ถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วก็เดินไปจนถึงไอ้ Merlion ซึ่งมีส่วนหัวเป็นสิงโตแต่ส่วนล่างเป็นหางปลา สัญลักษณ์การท่องเที่ยวของสิงคโปร์ แต่ตอนนี้กลายเป็นสัญลักษญ์ของประเทศสิงคโปร์ไปแล้วในสายตานักท่องเที่ยว จุดนี้แหล่ะเป็นจุดที่ฮิตที่สุดของสิงคโปร์ แต่ละปีจะมีคนมาถ่ายรูปกับไอ้เจ้าตัวนี้ปีละ หนึ่งล้านคนเลยทีเดียวนักท่องเที่ยวก็เยอะเหมือนกัน แต่ไม่เบียดเสียดกันมากนัก คนไทยเองก็มีหลายคน แขกก็เยอะ โซนเอเชียไกลก็เยอะ แต่ไม่ค่อยเห็นฝรั่งเยอะเท่าไหร่เลย สู้บ้านเราไม่ได้ฝรั่งชอบมากันจัง















ถ่ายรูปกับไอ้เจ้า Merlion แล้วพวกเราก็เดินข้ามสะพานมาทางฝั่ง โรงละคร Esplanade ซึ่งมีรูปร่างเหมือนทุเรียนสองลูก แต่ยังครับ พวกเรายังไม่ไปหาไอ้เจ้าทุเรียนหรอก พวกเราเดินอ้อมไปยังสนามกีฬาปาดัง ซึ่งฝังตรงข้ามเป็นศาลและศาลาว่าการเมืองของเขา (City Hall) แล้วเดินย้อนกลับมาทาง Esplanade อีกครั้งหนึ่ง เข้าไปข้างในก็มีเด็กวัยรุ่นมาดูการแสดงเยอะเหมือนกัน ซึ่งช่วงนี้ก็ใกล้จะถึงวันชาติสิงคโปร์เลยมีการแสดงทุกวัน และมีการเตรียมงานใหญ่ในวันที่ 9 ส.ค.นี้แหล่ะ แต่เสียดายที่ผมอยู่ไม่ถึงงั้นได้ร่วมงานแน่ๆ ได้แต่ดูภาพจากทีวีของงานปีที่ผ่านมาซึ่งยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างพลุสวยๆ





พวกเราเดินต่อในขณะที่ขามันจะไม่อยากไปกับตัวแล้ว แต่เนื่องจากใจมันยังสู้ จึงเดินข้ามไปถนนอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นบริเวณที่เรียกว่า Sutec City เมืองฮวงจุ้ย เพื่อไปดูการแสดงน้ำพุซึ่งจะเริ่มเกือบ 2 ทุ่ม พวกผมไปนั่งรอดู ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาแสดงไปหรือยัง หรือยังไม่แสดง แต่รู้ว่าขามันชาแล้ว เดินก็ไม่รอดแน่ เลยนั่งอยู่บริเวณน้ำพุนั้นแหล่ะ ปรากฏว่าอีกแป๊บเดียวเขาก็เริ่มเปิดน้ำพุพร้อม แสงเสียงอย่างอลังการงานสร้างอีกแล้วครับท่าน ไม่ผิดหวังที่ทนเดินมาดูจริงๆ เกือบหนึ่งชั่วโมงพวกเราเบื่อแล้ว เลยเดินทางกลับโรงแรมที่พักด้วยสองเท้า พอถึงห้องต่างคนก็เริ่งรีบอาบน้ำและก็นอนอย่างไม่ต้องมีใครบอก เพราะมันเหนื่อยมากก แต่สนุกมากเช่นกัน














ตอนต่อไป



Create Date : 03 กันยายน 2549
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2554 4:29:21 น. 2 comments
Counter : 623 Pageviews.


 
แวะมาชมครับ


โดย: canx วันที่: 5 กันยายน 2549 เวลา:20:07:59 น.  

 
ขอบคุณนะครับว่างๆแวะมาใหม่นะครับ


โดย: เจ้าของบล็อก (Louisson ) วันที่: 7 กันยายน 2549 เวลา:10:41:53 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Louisson
Location :
Uppsala Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"ชีวิตคือการเดินทาง จุดหมายปลายทางคือพระนิพพาน"
   

VISITOR COUNTER

Friends' blogs
[Add Louisson's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.