Group Blog
 
 
สิงหาคม 2549
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
31 สิงหาคม 2549
 
All Blogs
 

เบิ่งลาว:เวียงจันทน์,หลวงพระบาง

>







วันที่ 1 เที่ยวชมเวียงจันทน์

หลังจากที่กลับจากสวีเดนแล้วก็กบดานอยู่ในกทม.มานานพอสมควร ก็เริ่มรู้สึกเบื่อๆอยากกลับบ้านเกิดที่อุดร เผอิญได้ตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย 299 ทั้งขาไปและขากลับ เลยตีตั๋วกลับบ้าน 15 วัน เมื่อไปถึงบ้านแล้วก็ไม่มีอะไรทำนอกจากนั่งๆนอนและเล่นเน็ต ได้เข้าไปอ่านกระทู้เกี่ยวกับไปเที่ยวประเทศลาวในห้อง Blueplanet ในเวป Pantipแล้วเออมีข้อมูลหลายอย่าง และเขียนได้ละเอียดดีเลยอยากไปบ้างๆทั้งๆ อยู่อุดรก็ไปลาวได้ใกล้แค่นี้ นั่งคิดไม่กี่วันตัดสินใจไปเลย เริ่มจากนั่งแท๊กซี่จากบ้านเข้าไปตัวเมืองอุดร และไปซื้อตั๋วรถโดยสารระหว่างประเทศ อุดร-เวียงจันทน์ ราคาหน้าตั๋ว 80 บาท แต่ขายจริง 85 บาท (ส่วนฝั่งลาวยังขาย 80 บาทเท่าเดิม) ซึ่งปกติรถจะวิ่งระหว่างอุดรกับเวียงจันทน์ 4 เที่ยวโดยสลับกันวิ่งระหว่างรถไทยกับรถลาว เวลาที่ออกก็จะออกพร้อมกันคือ 7.00 9.30 15.00 17.00



วันนั้นได้รถเที่ยว 9.30 ซึ่งเป็นรถจากประเทศลาววิ่งมาส่งผู้โดยสารที่ฝั่งไทยแล้วรับผู้โดยสารฝังไทยไปเวียงจันทน์ด้วย สภาพรถก็ดูใช้ได้อยู่ทีเดียวเป็นรถปรับอากาศ(ให้ร้อน) พนักงานอ้างว่าแอร์เสียเลยต้องนั่งร้อนๆไปจนถึงเวียงจันทน์








เวียงจันทน์ รถออกเลทได้ 5 นาทีจากกำหนดประมาณ 1 ชั่วโมงรถได้วิ่งมาถึงด่าน ตม.สะพานมิตรภาพฝั่งไทย ทุกคนก็ต้องไปทำเรื่องตรวจคนเข้าเมือง หลังจากลงจากรถก็ไปหยิบเอกสารเข้าออกประเทศมากรอก เหมือนกับเดินทางโดยเครื่องบินนั่นแหล่ะ กรอกเสร็จยื่นให้เจ้าหน้าที่พร้อมพาสปอร์ต ส่วนผู้ไม่มีพาสปอร์ตก็สามารถขอใบผ่านแดนได้จากที่ว่าการอำเภอเมืองหนองคาย ซึ่งจะสามารถอยู่ได้เฉพาะในเวียงจันทน์ได้ไม่เกิน 3 วัน ส่วนพาสปอร์ตก็สามารถใช้เดินทางและพักอยู่ได้ทั่วประเทศลาวได้ 30 วัน
ขั้นตอนการทำเรื่องที่ ตม.ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากเพียงแต่คนเยอะไปหน่อยทั้งไทยทั้งลาว เลยเสียเวลานานพอสมควร และหลังจากที่อุดรทำเรื่อง ตม.ทางฝั่งไทยเรียบร้อยแล้วรถโดยสารก็วิ่งข้ามสะพานมิตรภาพมาถึงฝั่งลาว และก็ต้องลงจากรถอีกมาทำเรื่องเข้าเมืองของประเทศลาวกอนลงจากรถก็กรอกแบบฟอร์มของ ตม.ลาวที่พนักงานบนรถแจกให้ให้เรียบร้อย วันนี้ผู้คนค่อนข้างหนาตาพอสมควร อาจจะเป็นเพราะตรงกับช่วงวันหยุดยาวของทางฝั่งไทย ปรากฏว่าคนต่อแถวกันยาวมาก




เขาจะแยกช่องออกเป็นหนังสือเดินทางของลาว หนังสือเดินทางต่างประเทศและ บัตรผ่านแดนของไทย ปรากฏว่าช่องหนังสือเดินทางของลาว และช่องบัตรผ่านแดนของไทยนั้นสามารถทำเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ส่วนผมที่ต้องเข้าแถวช่องหนังสือเดินทางต่างประเทศ ซึ่งคนเยอะและทำเรื่องได้ช้ามากด้วย จริงๆน่าจะเพิ่มเป็นหลายๆแถวหน่อยตามความคิดของผม
ตรงก่อนหน้าจะทำเรื่องเข้าเมืองนั้นมีที่แลกเงินเป็นเงินกีบด้วย ซึ่งดูแล้วได้ราคาดีพอสมควร 277 กีบต่อ 1 บาท ในวันนั้น ตอนนั้นคิดว่าไม่น่ารีบแลก เลยไปแลกในเมืองได้ 266.5 กีบ ต่อ 1 บาท นึกมาแล้วก็รู้สึกเสียดาย จริงๆเขาน่าจะมีร้านแลกเงินหลังจากที่ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้วจะดีกว่า



ค่อนข้างเสียเวลาที่ ตม.ลาวมากๆ จนผู้โดยสารบ้างครอบครัวบนรถอดใจรอไม่ไหวหนีไปเหมารถเข้าเมืองเองเลยก็มี อ้อหลังจากผ่านตม.แล้วก็ต้องเสียค่าเหยียบแผ่นดินด้วย 10 บาท ถ้าเป็นวันหยุดก็จ่ายเพิ่มอีก 10 บาท ผมจ่ายไป 20 บาทเพราะตรงวันเสาร์ และหลังจากที่ทุกคนผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็ขึ้นรถโดยสารคันเดิมเข้าเมืองเวียงจันทน์ซึ่งจากด่านเข้าเมืองก็เป็นระยะทางยี่สิบกว่ากิโลเมตร




เมื่อรถวิ่งเข้าประเทศลาวแล้วจะเห็นสภาพบ้านเมืองซึ่งก็ไม่แตกต่างจากทางฝั่งไทยมากนัก เพียงแต่ถนนทางฝั่งลาวอาจจะยังไม่ดีเท่าที่ควร และเห็นกำลังมีการก่อสร้างกันอยู่ เมื่อรถวิ่งถึงจุดหมายที่ขนส่งข้างๆกับตลาดเช้า(แหล่งช็อปปิ้งดัง) แล้วยังไม่ทันลงจากรถเลยพวกสามล้อก็วิ่งมาจองตัวผู้โดยสารตั้งแต่นั่งอยู่ริมหน้าต่างแล้ว และค่อนข้างตื้อเก่งพอสมควรแถมเรียกราคาสูงทั้งๆที่สถานที่ก็ไม่ได้ไกลเลย หลังจากที่เจรจากับสามล้อไปส่งที่ถนนสายลม ซึ่งจริงๆก็ได้ใช้เวลาเดิน 10 นาที สามล้อเรียก 40 บาท แต่จากการศึกษาจากแผนที่มาแล้วว่ามันไม่ได้ไกลเราเลยบอกว่า อะไรใกล้ๆแค่เนี้ยเอาแพง ก็เลยตั้งท่าว่าถ้าไม่ได้ 20 ไม่ไป ไปเจ้าอื่นดีกว่า สามล้อเลยยอม หลังจากให้ไปส่งที่ถนนสายลมแล้วก็ไปเช่าเกสต์เฮ้าส์ชื่อสายลมเย็นห้องพัดผมสภาพก็โอเคปรอดโปร่งดี ข้างๆมีนิต้าอินน์ซึ่งสภาพดีกว่า แต่ตอนนั้นด้วยความเหน็ดเหนือยหน่อยอยากเข้าห้องพักไวเลยเอาเลย ห้องราคา220บาท




หลังจากขึ้นห้องพักเก็บข้าวเก็บของแล้ว และเตรียมของที่จำเป็นอาทิแผนที่ ขนมเข้าเป้สะพานหลังแล้วลงมาหาสามล้อที่ใหรออยู่ให้ไปส่งวงเวียนน้ำพุ ตามสูตรเรียกราคาสูงไว้ก่อน เราก็ตามสูตรอีกเหมือนกันบอกว่าเดินเอายังได้เลย งั้นเดินดีกว่าถ้าไม่ได้20 ซึ่งจริงๆ 20 เนี่ยก็มากโขแล้วสำหรับคนลาว เขาก็โอเคก็นั่งรถออกไปเผอิญมีแหม่มกับลูกชาย เรียกไปด้วย ก็เลยได้โอกาส ฟุด ฟิด ฟอ ฟาย ให้คนขับสามล้อเพราะพี่แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แหม่มจะไปเส้นทางเดียวกันก็จอยกันได้ แต่ผมลงรถก่อนเลยไม่รู้ว่าพี่แหม่มโดนชาร์จไปเท่าไหร่ อิอิ ฝรั่งมักจะโดนชาร์จสูงๆอย่างตอนกลับมาจากหลวงพระบางก็มีฝรั่งขอขึ้นด้วย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง




หลังจากถึงวงเวียนน้ำพุแล้ว ก็ไปเช่าจักรยานราคาเช่าก็ 60 บาทต่อยังไงก็ไม่ยอมลด ทั้งๆที่สภาพรถนี่โกโรโกโส กลัวว่าปั่นไปแล้วพังลงกลางทางจะทำไงดี แต่ก็เอาวะเพราะไม่รู้จะไปหาที่ไหนและคันที่เหลือสภาพก็ไม่ต่างกัน ฮ่าๆๆ ได้จักรยานแล้วก็แลกเงินกับธนาคารใกล้ๆกันน่ะเอง ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามีที่ไหนแลกบ้างเลยตัดสินใจแลกตรงนั้นได้ 266.5 กีบต่อ 1 บาท แลกไป 2,000 บาท ได้เงินมา 533,000 กีบ รู้สึกรวยขึ้นมาเสียนี่กระไร อิอิ กระเป๋าก็ตุงด้วย ซึ่งจริงๆในลาวสามารถใช้เงินลาทได้ทั่วๆไป แต่เวลาจ่ายเป็นเงินบาทจะขาดทุนทุกครั้ง เช่น กินแหนมเนืองราคา 87,000 กีบ ทางร้านเขาตีเป็นเงินบาท 350 บาท แต่ถ้าจ่ายเป็นเงินกีบตามอัตราการแลกเปลี่ยนที่ 266.5 กีบจะคิดเป็นเงินบาท 326.45 จะเห็นว่าเราจะขาดทุนไป 23.55 บาท เป็นเงินไม่น้อยเลยนะ เพราะฉะนั้นต้องกะค่าใช้จ่ายให้ดีแล้วแลกเงินกีบเท่าที่จะใช้จะคุ้มค่ากว่าเวลาอยู่ในลาว
หลังจากได้จักรยานแล้วก็ปั่นวนเวียนออกไปมุ่งหน้าไปทางริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อโทรศัพท์กลับมาฝั่งไทยสัญญาณของดีแทคจะแรงเมื่ออยู่ริมฝั่งโข่งถ้าเข้ามาประมาณ 500 เมตรจากฝั่งโขงก็ยังใช้ได้แต่สัญญาณไม่ดีนัก แต่ของ AIS สัญญาณจะแรงกว่าดีแทคมากมาย บางทีห่างจากฝั่งโขงกิโลเมตรหนึ่งยังรับได้เลย เมื่อโทรศัพท์เสร็จก็ปั่นจักรยานชมเมือง สถานที่หลักๆของเวียงจันทน์อยู่ไม่ไกลกันมากสามารถปั่นจักยานได้อยู่แล้ว อีกอย่างในใจกลางเมืองเวียงจันทน์ออกแบบมาดีให้สามารถปั่นจักรยานบนทางเท้าเหมือนทางยุโรปเลย และที่สำคัญมีปุ่มกดไฟสัญญาณคนขอข้ามถนนเหมือนอย่างยุโรปอีกด้วย

สถานที่สำคัญที่ปั่นจักยานผ่านเช่น หอคำ ซึ่งเป็นพระราชวังของกษัตริย์องค์สุดท้ายจำลองแบบมาจากพระราชวังแวร์ซายน์ของฝรั่งเศส ผ่านหอพระแก้วซึ่งอดีตเคยเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระแก้วมรกต









ผ่านไปเรื่อยๆ ตามถนนล้านช้างหรือ ล้านซ้างในภาษาลาว ซึ่งถนนนี้ก็จำลองแบบจากถนนชองเอลิเซ่ในกรุงปารีส เช่นเดียวกับถนนราชดำเนินของไทยที่ก๊อปมาจากที่เดียวกัน และแล้วก็มาถึงประตูชัยหรือประตูซัยในภาษาลาว กว่าจะปั่นมาถึงก็เล่นเอาเหนือยเหมือนกันเนื่องจากอากาศอันร้อนอบอ้าว เลยนั่งหลบแดดที่ใต้ฐานประตูชัย









ซึ่งประตูชัยนี้เป็นสิ่งก่อสร้างของฝรั่งเศสที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ในอาณานิคมของตนเอง แต่เนื่องจากยังสร้างไม่เสร็จฝรั่งเศสได้ถอนตัวออกจากลาวเสียก่อนการก่อสร้างประตูชัยเลยไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรและรัฐบาลก็ไม่ต้องการที่จะสร้างต่อถือเป็นอนุสรณ์ของชัยชนะของการเรียร้องเอกราช แต่ตามความเห็นของผมน่าจะสร้างๆต่อให้สวยๆหน่อย อย่างน้อยก็ทาสีให้ดูดีหน่อย เพราะดูใกล้ๆแล้วไม่สวยเลย เหอะๆๆ ประตูชัยนี่มองดูผิวเผินเหมือนจะไม่สูงมากนัก แต่พอขึ้นไปแล้วก็เล่นเอาเหนือยเหมือนกันด้วยขนาดความสูงเท่ากับตึก 7 ชั้น เขาว่ามาอย่างนั้น




ด้วยความอยากรู้เลยยอมเสียเงิน 3000 กีบ ซึ่งเป็นการใช้เงินกีบครั้งแรกในชีวิตกว่าจะหาเจอเล่นเอางงนานพอสมควร ขึ้นไปดูข้างบนซึ่งก็ปรากฏว่ามีหลายชั้นพอสมควรกว่าจะขึ้นไปถึงจุดหมาย และแต่ละชั้นนั้นก็จะเป็นสถานที่ขายของที่ระลึก เช่นเสื้อผ้า เครื่องของต่างๆ จนยอดปลายสุดซึ่งมีพื้นที่แคบมากสามารถมองเห็นกรุงเวียงจันทน์ได้รอบทิศเลยทีเดียว แม้แต่จะมองข้ามโขงมาฝั่งไทยก็ย่อมได้ หลังจากอยู่ข้างลนได้สักพักแล้วลงมาเดินเล่นบริเวณ ลานน้ำพุใต้ฐานประตูชัย แต่น้ำพุเต้นระบำยังไม่เปิดตอนกลางวัน เขาเปิดเฉพาะช่วงกลางคืน

















และแล้วก็ปั่นจักรยานต่อไปโดยมีจุดมุ่งหมาย มุ่งหน้าไปยังธาตุหลวง ซึ่งเป็นเสมือนสถานที่บังคับว่าต้องมาให้ได้ ตรงนี้แหล่ะที่ยอมรับว่าเหนือยพอสมควรกับการปั่นจักรยาน เพราะระยะทางที่ไกลและขึ้นเนินเล็กๆ กับสภาพถนนที่ไม่ทำฟุตบาทให้เหมาะกับปั่นจักรยาน ก่อนจะถึงธาตุหลวงเลยแว้ปหลบเข้าวัดหนองบอนพักเอาแรงก่อน ระหว่างนั่งพักก็เห็นเณรลาว สองรูป ถือย่ามกำลังจะออกข้างนอกวัดกันและแล้วสายตาเหลือบไปเห็นเอ๊ะย่ามนี้ตราสัญลักษณ์ฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปีของในหลวงเรานี่หว่า ว่าจะถามไปแล้วว่าเป็นพระไทยหรือพระลาว แต่เกรงใจเลยไม่ถาม อิอิ




พอมีแรงขึ้นมาหน่อยก็ปั่นไปยังธาตุหลวง ขณะกำลังมองๆอยู่ว่าจะเอาจักรยานเข้าไปได้ป่าวก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาบอก Hey! park your bicycle here. แหมแค่บอกจอดรถเว้าลาวก็รู้เรื่องอยู่ อิอิ นึกว่าจอดฟรีน้องผู้หญิงก็เข้ามามาเก็บค่าจอด แหมนึกว่าจะฟรีจ่ายไป 2,500 กีบ แถมยังทิ้งอ้าย "ซื้อของซ๊อยข่อยแน่ อ้าย" เลยบอกเอาไว้ก่อนแล้วกัน (งก ฮ่าๆๆๆ) เดินไปเรื่อยๆบริเวณทางเข้าองค์พระธาตุ ตามธรรมเนียมซึ่งมีการเก็บค่าบัตรเข้าชม ราคา 5000 กีบ เจ้าหน้าที่ขอจะบอกเป็นเงินไทยด้วยว่า 20 บาท และเผอิญอีกเช่นกันพอดีมีทัวร์คนไทย ลงและทุกคนติดตราสัญลักษณ์ครองราชย์ครบ 60 ปี ซึ่งไม่ต้องจ่ายค่าเข้าอีกแล้วเพราะมากับทัวร์ ผมกำลังจะจ่ายเงินค่าเข้าแล้วเจ้าหน้าที่อักคนหนึ่งเหลือบเห็นตราสัญลักษณ์ที่ผมติดไว้ที่เป้สะพานหลังเหมือนกันกับของลูกทัวร์เดี๊ยะเลย เจ้าหน้าที่เลยบอกว่ามากับทัวร์ไม่ต้องจ่ายแล้ว แหมด้วยความซื่อสัตย์ติดตราสัญลักษณ์แถมยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เลยเลยบอก ผมไม่ได้มากับทัวร์และพร้อมกับควักเงินจ่ายไป 5000 กีบ




หลังจากเดินชมพระธาตุซึ่งสวยงามอลังการแล้วพร้อมกับเดินวนสามรอบแล้วก็ลงมาเสี่ยงเซียมซี่ ซึ่งมีกล่องบริจาคตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่องค่าเงินของลาวดีเท่าไหร่ เลยบริจาคค่าเซียมซีไป 1000 กีบ พอมีคิดคำนวนตก 3 บาทกว่าๆเองเหรอนี่นึกมาแล้วอยากกลับไปหย่อนเงินเพิ่มอีก หลังจากพอเซี่ยงเสร็จแล้วปรากฏว่า อ่านไม่ออกฮ่าๆๆ เลยให้ลุงคนเฝ้าอ่านให้ฟังหน่อย ลุงก็อ่านให้ด้วยความเต็มใจ พร้อมกับบอกว่า ใบนี้ดีมากกกกก แหมตามธรรมเนียมก็มันดีนี่เลยเก็บใส่กระเป๋าติดกลับบ้านด้วย








จากหลังนั้นก็ออกมาข้างนอกไม่ได้ไปเดินบริเวณวัดต่อเพราะรู้สึกร้อนอยากกลับที่พักมาก เลยปั่นจักรยานออกมา ซึ่งก่อนจะเอาจักรยานออกนอกผู้หญิงเขามาทวงเอา "ปี้" ค่าจอดรถคืน คนลาวเขาไม่มีตั๋วนะคับ เขามีแต่ "ปี้" และแล้วก็ปั่นจักรยานออกมาตามถนนเส้นใหม่โดยลัดออกมาทาง สพาแห่งซาด (สภาแห่งชาติ) ซึ่งคิดว่าเป็นรัฐสภานั้นเอง ปั่นมาเรื่อยๆตามถนนโพนเค็ง ซึ่งได้เห็นสถานทูตไทยด้วย แต่กงสุลไทยจะอยู่คนละที่แต่ไม่ไกลกันมาก ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ถนนธาตุหลวงทางผ่านไปธาตุหลวงนั้นเอง




และแล้วก็ปั่นจักรยานมาเรื่อยๆ ถึงเกสต์เฮ้าส์ด้วยความที่ร้อนและเหนือยเลยขอนอนอาบนอนเอาแรงก่อน จนกระทั่งสี่โมงเศษๆ เลยออกไปคืนจักรยานและไปกินแหนมเนือง รสชาติก็โอเค แต่สั่งเยอะไปหน่อย และที่นี้เขาเสริฟแบบอลังการผักนี่เล่นขนมาทั้งสวนเลย

จากนั้นก็เดินเล่นไปตามริมแม่โขงสถานที่สำคัญย้อนรอยเดิมและไปดูน้ำพุเต้นระบำตอนค่ำที่ประตูชัย น้ำพุเต้นระบำถือว่ามีมาตรฐานพอสมควร ถ้าจำไม่ผิดเป็นการสนับสนุนของจีน จากนั้นก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว เลยกลับที่พักแล้วก็นอน ก่อนนอนก็เตรียมตัวแต่เช้าเพื่อออกเดินทางไปยังหลวงพระบาง






















วันที่สอง
ตื่นแต่เช้าเช๊คเอ้าท์เรียบร้อยแล้วก็ตรงดิ่งไปยังสถานีขนส่งตลาดเช้า เพื่อนั่งรถไปยังหลวงพระบาง แต่ปรากฏว่าไม่ได้ขึ้นรถที่นี้ อ้าวไหนอ่านมาจากเวปไซต์เขาบอกมาขึ้นที่นี้นี่หว่า ช่างเหอะ ได้เรียนรู้ใหม่ มันต้องไปขึ้นที่คิวรถสายเหนือโน้น เลยนั่งสามล้อไปถึงขนส่งสายเหนือ ซึ่งก็อยู่ไกลพอสมควร ไปถึงรถใกกลจะออกพอดีเลย เลยจัดการซื้อตั๋วไปหลวงพระบางที่หนึ่งหมดไป 85,000 กีบ โอ้ค่ารถเราเป็นหมื่นเลยเหรอนี่ เป็นรถแอร์กี่ อิอิ เรื่องของเรื่องก็คือว่ามันก็เป็นรถปรับอากาศชั้นดีอยู่หรอก แต่ว่ามันเปิดแอร์แค่ตอนก่อนรถออกพอรถออกไปได้ สามสิบนาที เขาปิดแอร์และเปิดหน้าต่างแทน แต่โชคดีที่อากาศที่นี่เย็นสบายตลอดทาง




ระยะทางไปหลวงพระบาง สี่ร้อยกิโลเมตรเศษๆ แต่ใช้เวลาถึง 10 ชั่วโมงทั้งถนนที่คดเคี้ยวบนภูเขาอันสูงชันแล้ว รถยังจอดรับส่’งผู้โดยสารเหมือนรถบัสชั้นสามบ้านเรา ที่สำคัญจอดช๊อปปิ้งงงงงงง ตามรายทาง เพราะระยะทางอันยาวนานนี่ผ่านแหล่งช็อปปิ้งหลายจุดด้วยกัน อาทิผ่านแหล่งปลาส้ม ปลาแห้ง คนขับก็จะจอดซื้อพร้อมกับความเต็มใจของผู้โดยสารชาวลาวที่เป็นขาช็อปด้วยกัน



ผ่านบ้านสามแยกซึ่งเป็นทางไปเซียงขวางก็จะจอดซื้อผักหวาน ผ่านจุดซื้อข้าวโพดจากชาวเขาก็จะจอดซื้อ ผ่านแหล่งหน่อไม้ก็จอดซื้อหน่อไม้ป่าราคาถูกบางคนเหมาเป็นกระสอบจ่ายแค่ 40 บาทเป็นต้น




ระยะทางอันไกลนี่ไม่มีปั๊มน้ำมันเหมือนกับบ้านเรา และรถก็ไม่ได้เป็นรถห้องนำในตัวเพราะฉะนั้นระหว่างทางก็จะจอดให้ยิงกระต่ายเป็นระยะๆ แล้วแต่ความต้องการของคนขับและคำเรียกร้องของผู้โดยสาร อิอิ ถึงเวลายิงกระต่าย ทั้งไทย ลาว ฝรั่งมีพฤติกรรมเหมือนกันหมด คือ วิ่งเข้าป่าหาที่ใครที่มัน จุดกึ่งกลางระหว่างเวียงจันทน์และหลวงพระบางจะอยู่ที่เมืองกาสี ซึ่งจะมีร้านอาหารมากมายและรถก็จะจอดให้หาข้าวกินบริเวณนี้ใครกินก็ลง ใครไม่กินก็ไม่มีใครว่าเพราะต้องจ่ายเอง ผมได้กินเฝอหมูรสชาติถูกปากแท้ พร้อมกับผักที่เสริฟเป็นสวนอีกเช่นเคย คนที่นี้เขาไม่ค่อยหวงผักเลย




ด้วยความที่อยากกินชาเขียวและขนม เลยมองหาขนมแปลกๆแต่ไม่มีเลย เพราะทุกอย่างอิมพอร์ตมจากไทยแลนด์หมด เลยซื้อชาเขียวโออิชิรุ่นรวยฟ้าผ่า นึกไม่ถึงเลยว่าที่ลาวเขาแจกถึง 30 ล้าน กีบ แต่แรกดูผิดนึกว่าเขามีออกมาใหม่จากล้านหนึ่งเป็นสามสิบล้าน แต่ที่ไหนได้เขาทำมาขายให้เฉพาะในลาวเท่านั้น




ช่วงตั้งแต่วังเวียงมานี่จะมีฝรั่งขึ้นหลายคนอุตส่าห์นั่งคนเดียวอย่างสบายใจมาดีๆแท้ๆ แหม่มมาขอเปลี่ยนที่ซะนี่เพราะเธออยากนั่งกับแฟนด้วยกัน จริงๆไม่อยากเปลี่ยนเลยอุตส่าห์ชมวิวดีๆแท้ แต่ต้องทำเป็นใจดีอ่ะ โอเค เหอะๆ




ระยะทางจากกาสีถึงหลวงพระบางนี่รถวิ่งเฉียดก้อนเมฆตลอด เพราะรถวิ่งบนภูเขาที่สูงชันมาก ยิ่งบางจุดมีฝนปรอยๆจะทำให้อากาศปกคลุมด้วยไอฝนทำให้การขับรถดูลำบากและดูอันตรายขึ้น แต่ยังไงก็เชื่อใจคนขับเพราะดูจะชินทางมาก




ประมาณห้าเย็นโมงรถก็มาถึงขนส่งของเมืองหลวงพระบางหลังจากที่ออกจากเวียงจันทน์ หกโมงครึ่ง สิบชั่วโมงครึ่งเชียว




จากนั้นก็นั่งสามล้อให้ไปส่งแถวๆพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็น ดาวน์ทาวน์ ของหลวงพระบางมีสถานที่น่าสนใจและแหล่งท่องเที่ยวที่พักมากมาย




พอมาถึงแล้ว ยังไม่มีที่พักเลย เลยไม่มีอารมณ์เที่ยวทันใดสายตาได้เหลือบไปเห็นป้าย จันปะดิด เกสต์เฮ้าส์เข้าเลยเข้าไปถามได้เรื่องคืนละ 3 USD โอเคเลยผมเอานี่แหล่ะ นอนสองคืน ดูจากภายนอกดูเก่าๆขลังดี แต่ข้างในเป็นไม้สีสวยดีเตียงนอนก็นุ่มโอเคใช้ได้ ด้วยความที่ไม่เรื่องมากเรื่องที่พักอยู่แล้ว ขอให้ราคาถูกไว้ก่อนตามประสาคนงกเงินไว้เที่ยวหลายๆที่แหะๆ








กลัวว่าจะค่ำเสียก่อนเลยรีบออกจากที่พักแล้วขึ้นไปบนพระธาตุภูสี จ่ายค่าขึ้นไป 10,000 กีบ ซึ่งเป็นเพราะธาตุที่อยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง เพื่อชมเมืองและดูพระอาทิตย์ตกดิน วันนี้อากาศไม่ปรอดโปร่งเท่าไหร่เลยไม่ได้เห็นแสงทองของดวงอาทิตย์ กว่าจะขึ้นถึงยอดภูสีก็เล่นเหนือยพอสมควรสำหรับคนนั่งรถมาสิบชั่วโมงนี่ พอถึงก็นั่งอยู่บนยอดภูนั้นแหล่ะหลายชั่วโมง ขึ้นมาถึงนี่ก็เจอแต่คนไทยเยอะแยะ คนไทยที่มาหลวงพระบางก็จะมีหลายประเภทด้วยกัน เช่น มากะทัวร์พวกคุณนายทั้งหลาย มากับเพื่อนๆเป็นกลุ่มเล็กๆ มาแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ ก็เจอเยอะอย่างผมเองก็จัดอยู่ในประเภทนี่ ส่วนใหญ่คนที่นี่จะนั่งเครื่องบินมากัน ถ้าไม่ใช่ขาลุยแล้วมาด้วยรถหรือเรือนี่ลำบากแน่ๆ





















พอพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็กลับลงมาจากยอดภูศรีอีกทางหนึ่งบนภูศรีเองนี่มีวัดหลายวัดทีเดียวที่อยู่รายรอบบางทีนึกว่าวัดเดียวกันแต่ที่ไหนได้คนละวัดกัน ลงมาจากภูสีแล้ว ก็มาดูของต่อที่ตลาดมืดซึ่งประมาณว่าเป็นไนท์บาซาร์ของหลวงพระบางนั้นแหล่ะ ซึ่งมักจะขายผลัตภัณฑ์พวกจากผ้าฝ้าย ผ้าไหม กระดาษสา เป็นต้นลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือคนไทย รองลงมาเป็นฝรั่ง บริเวณใกล้ๆจะมีตลาดที่ขายของกิน ดูท่าทางก็น่าอรอ่ยเหมือนกัน แต่เป็นของที่ต้องซื้อที่กินที่บ้าน แต่เราไม่มีบ้านเลยต้องหากินแบบจานเดียวเอา ว่าจะวนกลับมากินผัดหมี่ตรงข้างพิพิธภัณธ์ดันหมดก่อนแล้ว เลยซื้อขนมเค้กมาก้อนหนึ่งรสชาติดีมาก แถมเด็กผู้ชายที่ขายของพูดและฟังภาษาอังกฤษจากฝรั่งที่ซื้อได้ดีทีเดียว เห็นแล้วรู้สึกอายเด็กลาวจัง ได้ขนมมากอนหนึ่งแล้วก็กลับเข้าที่พักนอน เตรียมตื่นมาแต่เช้า และแล้วก็หมดไปสำหรับวันที่สอง ถึงแม้จะไม่มีกิจกรรมมากมาย แต่ก็ได้ประสบการณ์จากการนั่งรถอันยาวนานพอสมควร






วันที่สาม
วันนี่ตรงกับวันอาสาฬหบูชาบ้านเรา ที่ลาวหยุดให้แค่สามวันรวมเสาร์อาทิตย์เมืองไทยหยุดให้สี่วัน วันนี้เป็นวันพระใหญ่ เพราะฉะนั้นต้องมีโอกาสใส่บาตรที่หลวงพระบาง จึงรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมาใส่บาตรที่หน้าที่พัก เพราะพระจะผ่านมาทางนี้ ดูจากภาพพระจะเดินทางใส่บาตรเป็นระเบียบ หลายร้อยรูปเรียงกัน แต่พอเอาเข้าจริงเจอฝนตกแต่เช้า พระท่านเลยออกสายหน่อย และสำคัญท่านมาพร้อมจรวด อ่าๆๆ ใส่แทบไม่ทันแต่ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นเณรซะมากกว่า




ตอนเช้าๆนี่จะมีคนขายของสำหรับใส่บาตรโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ส่งเสริม โดยควรจะไปซื้อของที่ตลาดเองเพื่อมาใส่บาตรโดยเฉพาะ แต่ผมขอซื้อข้าวเหนียวจากที่พักนั้นแหล่ะ ไม่ได้เตรียมของอย่างอื่นมาด้วยด้วย กะว่าถ้าไปอีกครั้งจะเตรียมของไปจากเมืองไทยด้วยเลย ใส่บาตรเสร็จกะว่าจะไปดูตลาดเช้า แต่ปรากฎว่าฝนตก และตลาดที่นี่วายเร็วมาก ไปช้าหน่อยไม่ทันได้เห็นอะไรเลย ฝนลงมาอย่างน่าเบื่อหน่ายกะว่าจะไปเช่าจักรยานมาปั่นเที่ยวคงไม่สนุกแน่ เพราะใส่กันฝนก็ไม่มีเลยเลยตัดสินใจกลับขึ้นที่พัก เพื่อนอนต่อตื่นมาอีกที จะสี่โมงครึ่งอยู่แล้วรู้สึกหิว ไม่รู้จะกินอะไรดี แถมยังไม่รู้เลยจะกินที่ไหน ฝนเริ่มซาบ้างแล้วเลยตัดสินใจไปเดินทางริมแม่โขง ชมเมือง ชมวัดวาอาราม และแล้วก็เจอร้านเฝอริมโขง เลยสั่งเฝอหมู ซึ่งรสชาติก็ไม่ผิดหวังอีกเช่นเคย พร้อมกับแอปเปิ้ลปั่นแก้วหนึ่ง แต่อันหลังนี่สิหารสแอปเปิ้ลได้ยากมาก เพราะได้กลิ่นแต่นม ใส่นมเยอะมากเหมือนกินนมปั่นประมาณนั้น




ร้านนี้ดีนอกจากได้บรรยากาศริมโขงแล้วยังไม่ชาร์จราคานักท่องเที่ยวด้วย เฝอถ้วยใหญ่ ผัก หนึ่งสวนพร้อมกับน้ำปั่นหมดตังค์ไป สิบเอ็ดพันกีบ (11,000) ประมาณ 41 บาท




จากนั้นก็เดิมชมเมืองอย่างเดียว ยอมรับว่าที่นี่ก็น่าอยู่เหมือนกันวัดวาอารามสวยงามมาก การที่ได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกทำให้เมืองและวัดได้รับการบูรณะที่ดีขึ้นพอสมควรแต่ การที่นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไปมากขึ้น ทุกวันนี้คนลาวยังเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส่ ใจดี อีกไม่นานก็คงเป็นเหมือนเมืองไทยที่การแข่งขันสูงและเห็นแก่ตัวและการเห็นแก่เงินจะเพิ่มขึ้นแน่นอน วัดสำคัญเช่น วัดเชียงทอง นี่จะต้องจ่ายค่าเข้าชมด้วย 10,000 กีบ ส่วนวัดอื่นๆมักจะไม่เก็บ ทั้งวันนี้ได้แต่ชมวัด วัดและก็วัดเพราะวัดเยอะมาก ที่สำคัญแต่ละวัดสร้างได้อลังการมากๆ ทำให้สงสัยว่าคนโบราณเขาร่ำรวยและเอาเงินมาจากไหนมากมายมาสร้างวัดแต่ทำไมคนหลวงพระบางไม่มีเงินที่จะบูรณะวัดเลย ถ้าไม่ได้ยูเนสโกเข้ามา ก็คงสภาพเป็นวัดเก่าที่โทรมๆแน่ๆ เวลาเดินทางวัดนี่ พระ เณมักจะทักทายด้วยคำว่า "สบายดี"ทุกรูปเลย ซึ่งก็เหมือนกับคนลาวทั่วๆไปที่จะทักทายว่า สบายดี พร้อมกับกล่าว "ขอบใจ"เหมือนกับขอบคุณในบ้านเรา












































หลังจากเดินมาก็หลายวัดแถมฝนดันตกอีก เลยมาปักหลักนั่งหลบฝนและพักขาที่ วัดหัวเซียง นั่งอยู่นานพอสมควรระหว่างนั่งก็มีฝรั่งแวะเวียนมาดูวัดหลายคนด้วยกัน จนกระทั่งเณรองค์หนึ่งดูท่าทางอยากจะเข้ามาพูดคุยด้วยมาก เลยเข้ามากล่าว สบายดี ผมก็ตอบกลับไปว่าสบายดี เณรบอก อ้าวคนไทยเหรอนี่ ผมเลยคิดเอ๊ะเป็นเพราะผมสีออกแดงๆของเราหรือเปล่าคนที่นี่มักจะไม่คิดว่าเป็นคนไทย คราวอยู่บนรถก็มีคนลาวทักทายเป็นภาษาอังกฤษ พูดอังกฤษมาก็พูดตอบแต่ลงท้ายด้วยคำถาม Do you come from Japan? ผมเลยบอก No,I don't. I come from Thailand. และแล้วเหมือนเขาจะหน้าแตกเลยไม่ได้พูดกันอีกเลย อันที่จริงผมก็นึกว่าคนนี้เป็นคนเวียดนามด้วยซ้ำ เพราะคนเวียดนามในลาวมาเยอะมาก แต่ไม่แน่ผู้ชายคนนี้เป็นพวกชาวเขาเพราะหน้าตาออกแนวเวียดนาม หรือชาวเขาประมาณนั้น
นั่งคุยกับเณรก็นานพอสมควร เลยได้รับรู้ความเป็นไปต่างๆของคนลาวได้มากขึ้น คุยเรื่องการศึกษาของลาว การศึกษาทางสงฆ์ของลาว ซึ่งเณรเองอายุ 18 แล้วและกำลังจะเรียนจบยังไม่รู้อนาคตตัวเองเลยว่าจะไปทางไหนหลังจากเรียนจบ ตัวเณรอยากมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่เมืองไทยแต่ก็ไม่มีใครจะช่วยเหลือได้ เคยมีเพื่อนมาเรียนแต่ทำตัวไม่ดีสุดท้ายเพื่อนก็กลับมาอยู่หลวงพระบางแล้ว ฟังแล้วก็อยากจะช่วยเหลือแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เราเองก็พยายามเอาตัวเองหนีออกจากเมืองไทยเหมือนกัน อิอิ เด็กประถมศึกษาของลาวเรียนถึงแค่ป.5 เท่านั้นเองและก็เรียนต่อมัธยมเลยเหมือนบ้านเราเรียน 6 ปีเช่นเดียวกันและโอกาสทางการศึกษาก็ไม่ได้มีมาก คนที่จะได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษานั้นจะคัดมาจากแต่ละแขวง(เทียบเท่าจังหวัดของไทย) แขวงละ 18 คนเท่า นั้น เณรยังเล่าให้ฟังอีกอว่เมื่อก่อนเปิดประเทศนั้นถ้าชาวต่างชาติเข้ามามักจะถูกยิงทิ้งหมด เพราะกลัวว่าจะเป็นสายลับเข้ามาสืบข้อมูล แต่ตอนนี้เปิดประเทศเมืองหลวงพระบางที่เหมือนกับถูกแช่แข็งไว้เลยพัฒนาแบบก้าวกระโดด







ทุกวันนี้คนที่นี้เขาดูทีวีไทยกันทั้งนั้น แต่ละบ้านจะติดจานรับดาวเทียม เพื่อดูทีวีไทย ส่วนทีวีลาวเองแทบจะไม่มีคนดูเพราะรายการต่างๆไม่พัฒนา และไม่มี อะไรน่าสนใจเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นจะบอกว่าลาวเป็นอาณานิคมของไทยทางเศรษฐกิจและสังคมก็ไม่ผิดเลย เด็กๆที่นี้เวลาร้องเพลงก็ร้องเพลงไทยทั้งนั้น เพลงก็เปิดทั้งเพลงลาวและเพลงไทย คุยกับเณรซักครู่หนึ่งก็มีสาวลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกัน เข้ามาที่วัดและขอร้องให้เณรและฆราวาสอีกคนหนึ่ง




ที่เข้ามาเป็นคุยเป็นเพื่อนผมให้ช่วยอธิบายภาพบนผนังหน่อย เธออยากรู้ แต่ทั้งสองดูจะไม่ กล้าผมเลยมั่วแทนเลยแบบงูๆปลาๆ อิอิปกติภาษาก็ไม่ได้ดีมากอยู่แล้ว แถมอธิบายเรื่องศาสนานี่อีก ยิ่งยากเข้าไปใหญ่แต่เธอก็บอกเธอเข้าใจ ผมเลยแนะนำไปหาหนังสือมาอ่านซักเล่มนะจะได้เข้าใจดีมากยิ่งขึ้น และแล้วเธอก็เจอไป ฮ่าๆๆ นั่งคุยกับเณรอยู่จนานมากจนไม่รู้จะคุยอะไรอีกแล้ว เลยเกิดอารมณ์อยากเดินต่อพร้อมกับหิวจึงเดินต่อไปอีกนิดหน่อยแล้ว แวะหาของกิน แต่อะไรๆก็จะหมดแล้วเพราะบ่ายแก่ๆแล้วร้านก็ใกล้จะปิด แม่ค้าบอกเหลือเฝอคั่วกับ ข้าวผัด เอ๊ะอะไรเฝอคั่วฟังดูแปลกดี แม่ค้าเลยบอกเฝอคั่วก็คือราดหน้า ผมเลยถึงบ้างอ้อตกลงงั้นเอาเฝอคั่ว ซึ่งก็แปลกสมชื่ออีกนั้นแหล่ะเขาจะผัดเส้นใส่ไข่จนติดกันแล้วน้ำราดก็จะอุดมไปด้วยซอสพริก แต่กินแล้วอืมม ใช่เลย ตั้งแต่กินอาหารที่นี้มาไม่เคยผิดหวังเลยถูกปากดีแท้ๆ กินเสร็จก็จ่ายไป 10,000 กีบ ร้านนี้ขายราคานักท่องเที่ยวแต่ก็คุ้เพราะให้เยอะดีอร่อยใช้ได้




กินอิ่มเลยรู้สึกเบื่อๆหน่อยอยากกลับที่พักไปนอนพักผ่อน และนอนพักผ่อนได้ไม่นานเลยตัดสินใจไปเดินเล่นริมน้ำคานตอนแรกกะจะนั่งชมวิวริมน้ำคานเฉยๆแต่ไปๆมาๆเดินไปเรื่อยๆจนไปเดินข้ามสะพานเหล็กที่เดินแล้วเสียวไส้มากๆเพราะกลัวไม้จะทะลุทำเอาเราตกลงก้นแม่น้ำได้ เพราะน๊อตหลุดออกจากไม้หลายตัวพอสมควร
















แต่กระนั้นเดินไปแล้วก็ยังเดินกลับอีกด้วย แหะๆสุดท้ายก็มานั่งทำมิวสิกอยู่ริมน้ำคานอีกเช่นเดิม จนค่ำเลยไปหาของกินแต่ไม่รู้จะกินอะไรดี เห็นมีปุฟเฟต์อย่างง่ายตรงตลาดมืดจ่ายละ 5,000 กีบ แม่ค้าใจดีบอกตักเยอะๆเลย ก็เลยตักพออิ่ม เพราะรสชาติก็ทำออกแนวฝรั่งจืดๆหน่อย เพราะร้อยทั้งร้อยของร้านนี้ก็มักจะเป็นฝรั่งหัวดำออกแดงมีผมแค่คนเดียว เหอะๆๆ หินเสร็จก็เตรียมตัวกลับที่พักนอนเอาแรงกลับมาที่เวียงจันทน์อีกเช่นเดิม

วันที่สี่
วันนี้เตรียมตัวสำหรับการนั่งรถด้วยระยะเวลาอันยาวนานอีกเช่นเดิมออกจากที่พักหกโมงเช้าเดินผ่านตลาด ปรากฏว่าตลาดวายแล้วยัง ไม่ทันจะสว่างเลย เป็นงงเลยกะว่าจะหาของกินซะหน่อยหนึ่งเลยตัดสินใจเรียกสามล้อแบบนั่งได้คนเดียวไปส่งที่ขนส่งเวลารถออกก็ราวๆเดียวกับตอนขามาคือหกโมงครึ่ง วันนี้ฝรั่งขึ้นมาเยอะเหมือนกันและก็เจอพี่คนไทยมาทำรายการของ T chanel เปิดรายการที่เปิดเพลงของลาว และให้ชาวลาวมีส่วนร่วมเป็นพิธีกรด้วย พี่แกมาคนเดียว แทบไม่ได้ถามชื่อเลยว่าชื่ออะไรปกติ ผมนี่ก็งงตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่เคยคิดจะถามชื่อใครและไม่คิดที่จะติดต่อกลับคนที่รู้จักกันตามรายทางเลย เหอะๆ พี่แกเล่าว่าตอนขามาแกอ้วกแทบแย่กับการนั่งรถขึ้นภูเขาทางแสนไกล ผมบอกผมสบายมากเรื่องเดินทางผมผ่านมาเยอะแล้ว แม่ฮ่องสอนผมก็ไปมาแล้ว มาเจอที่นี้เลยไม่แปลกเท่าไหร่การนั่งรถวันนี้ไม่มีอะไรพิเศษแตกต่างจากวันแรกที่นั่งรถมามากมาย จะมีก็เพียงแต่จอดช็อปปิ้งน้อยไปหน่อยจากวันมา รถก็จอดรับผู้โดยสารามรายทางเป็นปกติ อ้อมีเหตุการณ์ตื่นนิดหน่อย รถวิ่งไปดีและแล้วก็มีเสียง"เพล้ง" จากด้านหลังคนขับเลยจอดวิ่งไปเก็บเศษเหล็กที่หล่นลงจากรถได้คนลาวบ่นรถได้ความว่า "แหนบเฮี่ย" (แหนบหลุด) ผมเองก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับรถเลยไม่รู้ว่าแหนบนี่คืออะไร แหะๆ จากนั้นก็ทุกอย่างเป็นไปตามเดิม









จนมาถึงเวียงจันทน์ราวๆห้าโมงเย็นและให้คนขับไปส่งไปถนนสายลมเช่นเดิม ผมกับพี่คนไทยนั่งสามล้อด้วยกันคนขับเรียก 15,000 ต่อคน เราก็เห็นว่ามันก็ไกลอยู่พอสมควรเลยต่อขอ 10,000 คน เขาก็โอเคและมีฝรั่งชาวเบลเยี่ยมคนหนึ่งที่ทำงานที่เมืองไทย อยากไปด้วยก็เลยขึ้นมาแต่ฝรั่งจะไปลงสถานีตลาดเช้าเพื่อต่อรถเข้าหนองคาย พี่คนขับสามล้อแกบอก "เว้าให้อ้ายแหน่เอาสามสิบพันกีบ" ผมเลยบอก "คือเอาเพิ่นแพงแท้" สรุปผมไม่ได้บอกฝรั่งคนนั้นเลย และผมก็ลงก่อนอีกเช่นเคยเหมือนกับแหม่มที่เจอครั้งแรก และก็ไม่รู้ว่าพี่แกชาร์จฝรั่งไปเท่าไหร่แน่ ฮ่าๆๆๆ สุดท้ายผมก็มาพักที่พักที่เดิมคือสายลมเย็นเกสต์เฮ้าส์ วันนี้นอนห้อง 170 ห้องไม่ดีเท่าครั้งแรกแต่เอาถูก ส่วนพี่คนไทยแกก็แยกไปพักอีกที่หนึ่งแต่อยู่บนถนนสายลมอีกเช่นกัน หลังจากเข้าห้องพักแล้วผมก็ไม่ยอมเหนือยม เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกไปเดินเล่นไปดูหอพระแก้วที่ยังค้างอยู่ แต่ปรากฏว่าปิดเลยเดินเล่นไปเรื่อยๆจนเห็นร้านอาหารริมโขง ซึ่งกำลังหิวพอดีเลยสั่งข้าวผัดทะเลมากินแก้หิว รสชาติวันนี้ก็ไม่เท่าไหร่เลย




จากนันก็เดินดูบรรยากาสริมโขงกิจกรรมของคนลาวยามเย็นที่ออกมานั่งเล่นี่สวนริมโขง บ้างก็เต้นแอโรบิค บ้างก็หาของกินซึ่งร้านค้าริมโขงมีหลายสิบร้านด้วยกันแล้วก็เดินวนกลับผ่านธาตุดำครั้งแรกว่าจะไปนั่งดูน้ำพุที่ประตูชัยก่อนค่อยกลับ ซึ่งระหว่างทางเดินไปจะต้องผ่านที่พักอยู่แล้ว ด้วยความที่แวะที่พักก่อนเลยขี้เกียจไปประตูชัย และแล้วก็นอนรอกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น

วันที่ห้า
วันนี้วันสุดท้ายแล้วของการอยู่ในลาวโปรแกรมคือจะต้องไปดูตลาดเช้าแหล่งช็อปปิ้งชื่อดังของลาวก่อนกลับบ้าน พอเช๊คเอาท์ออกจากที่พักแล้วก็เดินไปที่ขนส่งก่อนเลยเพื่อซื้อตั๋วรถกลับอุดร ตั๋วที่นี้ ขาย 80 บาทตามราคาตอนแรกนึกว่าจะเก็บเหมือนทางฝั่งไทยเสียอีกแต่ปรากฏว่าไม่ มาถึงที่ขายตั๋วเกือบแปดโมงเพื่อมาซื้อตั๋วรถรอบ 9.30 น. การซื้อตั๋วทำให้รู้ว่าคนลาวไม่รู้จักการเข้าคิว ก่อนหน้าผมมีผู้หญิงสองคนยืนอยู่ตามปกติผมมาทีหลังผมก็ยื่นต่อผู้หญิงสองคนนั้นซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่เจ้คนเวียดนามมาแทนที่จะต่อหลังผมเธอกลับเดินไปข้างหน้าและวางพาสปอร์ตพร้อมเงินให้คนขายตั๋ว แล้วจะมีคนลาวตามมาทำแบบเดิอีก ซึ่งผมก็ต้องปรับตัวให้ไวเอาพาสปอร์ตไปยื่นวางบ้างแหล่ะวะ ละก็วางใกล้เจ้าหน้าที่ด้วยแหล่ะ เพราะงั้นวันนี้คงไม่ได้ซื้อตั๋วแน่ๆ จริงๆตอนขามาที่ซื้อตั๋วที่อุดรก็คล้ายๆกัน คนลาวที่ผมดูหนังสือเดินทางเขาเนี่ยไม่รู้จักการเข้าคิว ที่สำคัญเวลาซื้อตั๋วทางฝั่งลาวนี่เจ้าหน้าที่เขาจะกรอกใบเข้าออกประเทศให้คนลาวด้วย ส่วนคนไทยกรอกเอง หลังจากได้ตั๋วแล้วผมก็ออกไปเดินตลาดเช้าด้วยความหิว เห็นมีขนมจีนเลยอยากกินขนมจีนทางฝั่งลาวมั้งเคยสั่งขนทจีนหรือข้าวปุ้นนั้นเอง แต่ผิดคาด นึกว่าเขาจะมีน้ำยาแปลก แต่มันแปลกกว่าที่คิดหลายเท่า เพราะคนกินเหมือนกินก๋วยเตี๋ยวเลย คือใส่น้ำซุปเหมือนๆกันนี่แหล่ะแต่เส้นเป็นขนมจีน นี่อุตส่าห์หลีกเลี่ยนเฝอมาแล้วนะนี่ก็ยังเจออีก กินเสร็จแล้วก็เดินดูตลาดซึ่งก็เหมือนตลาดทั่วๆไป ที่มีโซนอาหารเสื้อผ้า ซีดี เครื่องใช้ไฟ้ามีร้านเสริมสวยเป็นต้น เป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร ผมได้แผนที่ประเทศลาวมาอันหนึ่งราคา 60 บาท ได้ของแล้วก็กลับมารอรถ วันนี้เจอรถของไทย เพราะรอบนี้รถลาวจะไปรับคนที่อุดรเหมือนตอนขามา ส่วนรถไทยก็จะมารับผู้โดยสารที่เวียงจันทน์ คนค่อนข้างแน่นพอสมควรคนที่มาช้าก็ยังขึ้นได้แต่ต้องยื่นเท่านั้นขั้นตอนก็เหมือนตอนขามาที่ต้องทำเรื่องทั้ง ตม.ฝั่งลาวและฝั่งไทยและแล้วก็ถึงอุดรโดยสวัสดิภาพใช้เวลา สองชั่วโมงเหมือนตอนมา









 

Create Date : 31 สิงหาคม 2549
2 comments
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2554 4:26:24 น.
Counter : 2771 Pageviews.

 

เล่าเรื่องได้สนุกดีคับ เคยไปเวียงจันทน์ หลวงพระบางมาแล้วเหมือนกันเมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว ตอนนั้นเขากำลังก่อสร้างกันเยอะมากๆ ทั้งสองเมืองเลย ไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่น เห็นจากรูปแล้วอยากไปใหม่คับ
ถ้าคุณไปครั้งหน้าลองแวะที่วังเวียงดูสิคับ บรรยากาศดีนะ

 

โดย: A_Mong 6 กันยายน 2549 21:00:15 น.  

 

สวัสดีครับคุณ A_Mong ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมบล็อกนะครับ มีโอกาสไปครั้งหน้าผมจะไปเที่ยวเมืองวังเวียงให้ได้ครับ

 

โดย: เจ้าของบล็อก (Louisson ) 7 กันยายน 2549 10:38:12 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Louisson
Location :
Uppsala Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"ชีวิตคือการเดินทาง จุดหมายปลายทางคือพระนิพพาน"
   

VISITOR COUNTER

Friends' blogs
[Add Louisson's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.