ทัศนศึกษาเดนมาร์ก
ครั้งที่ 2 ของการไปเยือนสวีเดน ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งแรกตรงที่ ครั้งแรกมาจากเมืองไทยเพื่อมาดูงาน แต่ครั้งนี้มาจากสวีเดนในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ชั่วคราวในสวีเดน และการไปครั้งนี้ก็ไปกับคณะคนไทยในสวีเดนกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว ที่สำคัญพวกเราไปทางรถจากกรุงสต๊อกโฮล์ม ลงไปที่เมืองเฮลซิงบอยของสวีเดน เพื่อเอารถลงเดินแล้วข้ามไปที่เมืองเฮลซิงเงอของเดนมาร์ก
ด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะมืดครึ้ม แต่ก็สามรารถมองเห็นเมืองเฮลซิงเงอร์ที่น่ารัก พร้อมกับปราสาทครอนบอย อันเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์จากวรรกรรมของเช็คสเปียร์พวกเราตั้งใจว่าจะไปชมในปราสาทซักหน่อยแต่เนื่องจากฝนตก ทำให้พวกเราแค่ไปถ่ายรูปกับด้านนอกปราสาทเพียงเท่านั้นแล้วรถของพวกเราก็วิ่งไปยังเมืองสเตียนเบอเซ่ เพื่อไปวัดไทยเดนมาร์ก ซึ่งจะเป็นที่พักของพวกเรา แต่ปรากฏว่าคนขับรถงงกับเส้นทางในเดนมาร์กเลยทำให้รถวนไปวนมาหลายรอบกว่าจะตัดสินใจไปรถ ถึงแม้ว่าในคณะจะมีคนเคยมาแล้ว แต่เนื่องจากอายุท่านเกินวัยที่จะจำได้ อิอิ จึงไม่รู้ทางส่วนบางคนก็มาเส้นทางอื่น ทำให้คณะเสียเวลาไปนิดหน่อยจนกระทั่ง ใกล้ๆ 6 โมงเย็นรถได้ถึงที่วัดจุดประสงค์ของพวกเรามาเที่ยว ไม่ได้มาทำบุญอิอิ แต่อาศัยวัดเป็นที่นอน แต่ทางวัดก็ตอนรับอย่างดีมาก เลี้ยงข้าวอีกตะหาก อาหารการกินที่วัดอุดมสมบูรณ์มากมีคนมาบริจาคเยอะ แต่คระของพวกเราก็เอาอาหารมาเยอะเช่นเดียวกัน "วัดไทยเดนมาร์ก" เป็นชื่อจริงๆของวัด เริ่มแรกวัดตั้งขึ้นด้วยการซ้อบ้านหลังหนึ่งต่อมาบ้านข้างๆมาขอร้องให้ซื้อ ดังนั้นวัดจึงขยายที่ไปบ้านข้างเคียง อยู่ไปอยู่มาที่วัดก็มีมารผจญ โดยบ้านอีกหลังหนึ่ง ที่อยู่ข้างๆ ได้ฟ้องร้องว่า วัดสร้างความรำคาญบ้างและบอกว่าวัดรุกล้ำที่ของบ้านเขา แต่ปรากฏว่า พอหลังจากที่มีการฟ้องศาล จนกระทั่งศาลชั้นสุดท้าย ปรากฏว่าทางวัดไม่มีความผิดอะไรเลย แถมวัดที่ดินกันจริงๆแล้วบ้านที่ฟ้องร้องยังจะแบ่งที่ดินมาให้วัดอีก เพราะแท้ที่จริงๆบ้านข้างๆนั่นแหล่ะรุกล้ำที่วัด แต่ท่านเจ้าอาวาสท่านก็ไม่ได้เอาความอะไร และไม่เอาที่ดินที่บ้านข้างๆรุกล้ำมาด้วยท่านมีเมตตามาก แถมท่านบอกว่าอีกหน่อย ดี๋ยวเขาก็คงมาเสนอขายที่ให้วัดเอง เมืองนี้แปลกตรงที่ว่าเขาห้ามสร้างบ้านสูงว่า 2 ชั้น ซึ่งไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน แต่มองไปทางไหนแล้วจะเห็นว่ามีแต่บ้านหลังเตี้ยๆ ดังนั้นเมื่อไม่สามารถขายความสูงได้ ดังนั้นเขาจึง ขุดชั้นได้ดินอยู่กัน ซึ่งแล้วแต่ใครจะเจาะลงไปเท่าไหร่ก็ช่าง อยุ่ชั้นใต้ดินก็ดีเหมือนกันอากาศหนาวๆแล้วมีความรู้สึกอบอ่นดี เช้าวันถัดมา พวกเราก็ออกทัวร์ในกรุงโคเป็นเฮเกน หรือ เชอเบนฮาฟ ตามภาษาดันสเก โดยเริ่มไปที่พระราชวังอะมาเลียนบอยก่อน ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ของผมอีกเช่นกันที่มาที่นี้ การสร้างวังที่นี้ก็แปลก กษัตริย์เดนมาร์ก มีพระราชดำริจะสร้างพระราชวัง แต่ไม่มีเงิน ดังนั้นจึงนำบ้านของขุนนางชั้นสูง 4 คนมา ทำเป็นพระราชวัง แล้วก็ให้ความดีความชอบขุนนางไปตามสมควรจากพระราชวัง แล้วขึ้นรถไปชมอนุสาวรีย์ที่ว่ากันว่าเป้นตำนาญของเดนมาร์ก วึ่งเชื่อกันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งได้รับ อนุญาตจากกษัตริย์สวีเดนว่า ให้เวลาใน 1 วัน ให้หญิงคนนี้ไถที่ดินไถได้เท่าไหร่ก็เอาไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นหญิงผู้นี้เลยเสกให้ลูกชาย 4 คนเป็นวัวแล้วไถที่ดินซึ่งปรากฏว่าที่ดินที่นางได้ไถไปนั่นก็คือประเทศเดนมาร์กในทุกวันนี้นั่นเองจากจุดนี้จะเดินไปยัง เงือกน้อยก็ได้แต่พวกเราขึ้นรถไป ช่วงกลางวันคนถ่ายรูปเยอะไปหน่อย อากาศก็มีดีดังนั้นผมได้กลับมาที่นี้อีกครั้งตอน 6 โมงเย็นอากาศดีกว่าฟ้าเปิดสามารถถ่ายรูปได้สวยกว่า แถมคนมีนิดเดียวเอง บางคนอาจจะงงว่าเอ๊ะ ทำไมมาสว่างตอน 6 โมงก็เขาพระอาทิตย์กว่าจะตกนู้น 2-3 ทุ่มแน่ะ วันนั้นพอพายุฝนที่ลมพัดออกจากเดนมาร์กไปแล้ว ฟ้าจึงเปิดคณะของพวกเรามีเสบียงอาหารมาด้วย ช่วงบ่ายก็แยกย้ายกันไปเดินเที่ยวย่ายสตรอยเก็ต ซึ่งเป้นย่านช็อปปิ้ง วันนี้เป็นวันอาทิตย์อะไรๆก็เงียบเหงาหน่อย แต่ผมก็ชดเชยด้วยการเดินชมเมืองหลายๆจุดแทนเดินชมเมืองไปเรื่อยๆเห็นเขาจัดนิทรรศการของชาวไวกิ้งด้วยแหล่ะ ซึ่งจริงๆก็เคยเห็นแล้วที่นอร์เวย์ซึ่งเขาก็เป็นไวกิ้งเหมือนกันๆ ดังนั้นรูปแบบที่เห็นทั้งสองครั้งจึงไม่ต่างกันเลยเวลามีเหลือเฟือดังนั้นจึงเดินชมเมืองไปเรือยๆยอมรับว่าที่นี่โรแมนติกมาก ซอกแซกไปเรือยเปือย กระทั่งร้านเซ็กช็อปพวกเราก็เข้าไปดูซึ่งมีเป็นโซนๆในย่านรถไฟ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วยหรอกนะ อิอิ ย่านท่าเรือเก่านี้สีวรรสดใสสวยงามดี ปัจจุบันไม่ใช้เป็นท่าเรือแล้ว แต่ได้แปลสภาพเป็นย่านผับบาร์แทนฝนตกทำให้บรรกาศไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ แต่ขนาดนั่นบริษัทไอติมยังขนไอติมมาแจกกันฟรีๆ เพื่อโปรโมตตลาด ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นแต่ผู้คนก็พากันกินไอติมกันยกใหญ่ ก็ของมันฟรีนี่คับ อิอิคณะเดินทางกลับวัด แต่ผมยังไม่จุใจตอนเย็นๆกลับมาใหม่ พร้อมๆกับพวกน้องๆที่ไปเที่ยวทิวลี่ แต่ผมไม่ชอบเลือกที่จะเดินชมเมืองต่อโดยไปยังที่ที่ยังไม่ได้ไปที่เห็นที่โรงภาพยตร์ที่ทาสีตึกเก่าให้สีสดใสสวยงามเมืองโคเปนเฮเกน มีทะเลและสระน้ำหรือทะเทสาปในเมือง ทำให้เมืองมีความคลาสิคสวยงาม สวนสาธารณะข้างพระราชวังโรเซนบอย มีความเขียวขจีสวยงามมากๆพระราฃวังโอเซนบอยเป็นที่เก็บสมบัติพวกเพชรนิลจินดาทั้งหลายของพระราชวงค์ ซึ่งไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แม้แต่กษัตริย์เวลาจะใช้ยังต้องมาเบิก นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปดูได้ แต่ถ้าสมบัติถูกเคลื่อนย้าย ประตูทางเข้าออกจะถูกปิดอัตโนมัติทันที แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เข้าไปชมเพราะเคยไปแล้วมีเวลาว่างก็เดินชมเมืองต่อ เพราะวันอาทิตย์บรรยากาศข่อนข้างเงียบมากๆป้อมทหารโบราณสีแดงสดใสมากตัดกัยสีเขียวของหญ้าดูสวยงามตาดีแท้ๆเดนมาร์กเขียวไวกว่าสวีเดน ดังนั้นจึงได้เห็นดอกไม้สวยๆเยอะแยะ และความเขียวขจี ในขณะที่สวีเดนกำลังจะเริ่มผลิใบรถไฟฟ้าสวีเดนเป็นยังไงเลยลองนั่งซักหน่อยหนึ่ง วิธีการซื้อตั๋วอ่านแล้วงง ไม่มีภาษาอังกฤษเลย จากนั้นก็กลับวัดไปนอน วันถัดมาพวกเราก็กลับสวีเดน ครั้งนี้เปลี่ยนเส้นทางไม่เอารถลงเรือที่เมืองเฮลซิงเงอร์ เพราะอยากได้ประสบการณ์ใหม่โดยขึ้นสะพานเออเรชุนด์ที่มีความยาวมาก เป้นสะพานข้ามทะเลบอลติค ระหว่างเดนมาร์กและสวีเดน ซึ่งความยาว 12 กิโลเมตร จากโคเปนเฮเกนจะเป็นถนนลอดใต้ทะเล4 กิโลเมตรแล้ว แล้วไปโพล่ขึ้นบนเกาะกลางทะเล แล้ววิ่งบนเกาะอีก 4 กิโลเมตร หลังจากนั้นก็จะเป็นตัวสะพานแขวนอีก 8 กิโลเมตรและแล้วก็มาถึงฝั่งเมืองมาลเม่อ สวีเดนและรถก็ขับพาพวกเรากลับไปถึงสต๊อกโฮล์ม
.
.
คิดถึงSweden เลยค่ะ
-
ขอบคุณค่ะ