[[[[[ 10 ]]]]] - - - 10 หนังโคตรเจ็บ! ในความทรงจำ - - -
หากบล็อกที่แล้ว 1 litre of tears คือบล็อกที่พยายามพูดถึงการเสริมสร้างกำลังใจให้กับทุกผู้คนที่สิ้นหวัง บล็อกนี้ขอหักอารมณ์มิตรรักแฟนบล็อกทุกท่าน ด้วยการนำเสนอหนัง 10 เรื่องในความทรงจำ ที่นอกจากจะสะเทือนใจอย่างแสนสาหัสแล้ว ยังแทบจะไม่เหลือความหวังใดๆ กลับมาให้คนดูอีกเลย... มันคือหนังที่สุดแสนเจ็บปวด และไร้ซึ่งความหวัง จนทำให้เมื่อดูจบ เราแทบอยากจะจบความหวังต่างๆ นานา ตามหนังไปด้วยทันใด ซึ่งถึงแม้หนัง 10 เรื่องพวกนี้จะทำให้เราหดหู่อย่างเหลือเกิน แต่อย่างน้อย ถ้าลองมองมันดูดีๆ หนังพวกนี้ก็ได้เปิดมุมมองบางด้านของชีวิตให้แก่เรา ให้เราได้ตั้งสติ ให้เราไม่ประมาท และให้เราใช้ชีวิตต่อไป อย่างมีคุณค่า และมีความหวังกับชีวิตที่เหลืออยู่กันต่อไป...... Irreversible " เจ็บ........เพราะเวลา " อเล็กซ์ (หญิงสาวตามรูปข้างบน) เธอคงไม่คาดคิดว่า.... การที่เธอเดินเข้าอุโมงค์แห่งนี้ จะทำให้พบกับช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของชีวิต มาร์คัส แฟนหนุ่มของ อเล็กซ์ เขาก็คงไม่คาดคิดเช่นกันว่า... การที่เขาไม่ตามง้ออเล็กซ์ เพียงแค่ครั้งเดียว จะทำให้เขา ไม่ได้ครองรักไปกับเธออีกตลอดชีวิต.....Irreversible ไม่ใช่แค่หนังรักเจ็บๆ ที่เต็มไปด้วยภาพโหดๆ รุนแรงและสมจริงเท่านั้น... แต่มันคือหนัง ที่ทดสอบความอึดของคนดูด้วยว่า พร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวของหนังต่อไปได้หรือไม่ จริงอยู่.... ที่หนังเล่าเรื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังมายังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน(ในลักษณะใกล้เคียงกับเรื่อง Memento) และในช่วงแรกของหนัง(ซึ่งก็คือช่วงสุดท้ายของหนังหากเรียงตามลำดับเวลาจริง) Irreversible ได้ประเดประดังฉากโหดๆ แรงๆ และโคตรเหมือนจริงเข้ามาเพียบ ไม่ว่าจะเป็นฉากข่มขืนสุดโหดใต้อุโมงค์แห่งนั้น ฉากการที่มาร์คัสไปเอาคืนเสือไบผู้ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียคนที่เขารักมากที่สุดไป แต่ถึงกระนั้น.... ความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดของหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่ภาพโหดๆ ไม่ใช่ความรุนแรงอันสมจริง แต่คือฉากสุดท้าย........ ที่นิ่งเนิบ ที่สวยหวาน และโรแมนติดอย่างเหลือเกิน เมื่ออเล็กซ์และมาร์คัสโอบกอดกันอยู่บนเตียง พร้อมข่าวดีของพวกเขาทั้งคู่ ใบหน้าของพวกเขา บอกเราได้ว่าพวกเขามีความสุขเปี่ยมล้นเพียงใดแต่หลังจากนั้น..... ความสุขเหล่านั้นไม่ได้คงอยู่อีกต่อไป มันถูกทำลายด้วยกาลเวลาและการตัดสินใจอันผิดพลาด ที่ไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขใดๆ ได้เลย....... Requiem for a Dream " เจ็บ.....เพราะความฝัน " แฮร์รี่ (ชายหนุ่มตามรูปข้างบน) เขาเป็นเพียงไอ้ขี้ยา ที่วันๆ ได้แต่ฝันลมๆ แล้งๆ ไปกับแฟนสาวซาร่า แม่ผู้โดดเดี่ยวของแฮรี่ ก็ได้แต่หวังว่าอยากไปออกรายการเกมส์โชว์สักครั้ง แต่ติดตรงที่เธออ้วนเกินไป จนทำให้เธอหันมาพึ่งยาลดความอ้วน....และเธอก็ติดมันแมเรี่ยน แฟนสาวของแฮร์รี่ เธอเองก็ฝันที่อยากจะมีร้านเสื้อผ้าเป็นของตัวเองสักร้าน แต่เธอจะทำได้อย่างไร ในเมื่อเงินทุกบาททุกสตางค์ของเธอหมดไปกับเฮโรอีน และไทรอน เพื่อนขี้ยาร่วมก๊วนของแฮรี่ ก็ยังฝันที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ โดยหันมาค้ายาเสียเอง! แน่นอน เมื่อมีความฝันก็ต้องมีความพยายามและความหวัง แต่ถ้าความหวังและความพยายามเหล่านั้นถูกทำลายให้ย่อยยับไปล่ะ....Requiem for a Dream เป็นตัวอย่างชั้นดี สำหรับหนังที่บีบอารมณ์กันให้ตายไปข้าง และยังเป็นหนังที่สามารถเป็นสื่อเพื่อสนับสนุนการต่อต้านการใช้ยาเสพย์ติดทุกชนิดได้อย่างชัดเจนและเห็นภาพอีกด้วย น่าเสียดายก็แต่ว่า ยังมีบางประเทศที่เห็นว่าฉากการใช้สารเสพย์ติดในหนังเรื่องนี้ดูสมจริงเกินไป จนมองข้ามสิ่งที่หนังกำลังจะบอก(และบอกอย่างชัดเจนจนน่ากลัวเสียด้วย!) ว่าสารเสพย์ติดทุกชนิดนั้นอันตรายเพียงใด ด้วยเหตุนี้ หนังเรื่องนี้จึงยังไม่มีออกมาให้เห็นในรูปแบบดีวีดีลิขสิทธิ์ในประเทศนั้น...(ทั้งๆ ที่มีคนซื้อลิขสิทธิ์มาแล้ว...) แต่คุณๆ ทั้งหลายยังสามารถหาเรื่องนี้ดูได้ตามแหล่งจุ๊กกรู๊....ทั่วไปนะจ๊ะ อิอิ ช่วง 30 นาทีสุดท้ายของหนังเรื่องนี้ เข้าขั้นต้องดูครับ สำหรับคนที่ชอบหนังที่ทรงพลังหรืออีกนัยหนึ่งคือบ้าพลัง ช่วงท้ายของ Requiem for a Dream เต็มไปด้วยการตัดต่อที่เหนือชั้น การแสดงอันทุ่มเท ดนตรีประกอบที่เสียดแทงใจ และบทสรุปอันเจ็บปวดอย่างเหลือร้าย.....(แต่ดูสนุกมาก เอ๊ะ ยังไง) เราจะไม่บอกหรอกว่า หนังเรื่องนี้มันจะจบอย่างไร วิถีชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญจะเป็นไปอย่างไร ความฝันของพวกเขาจะย่อยยับหรือยังพอมีหนทางหรือไม่.....หึๆรู้แต่ว่า ดูหนังเรื่องนี้จบ แทบจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสารเสพย์ติดทุกชนิดจริงๆ เลยให้ตาย! Devils on the Doorstep " เจ็บ......เพราะเป็นเบี้ยล่าง " นี่คือหนังจีนที่ติดอันดับ 1 ใน 10 หนังต่างประเทศยอดเยี่ยมของนิตยสาร Film Comment ประจำปี 2000 และตัวหนังก็ยังไปคว้ารางวัล GrandPrix ที่คานส์ในปีเดียวกันเสียด้วย แต่สุดท้าย ถึงแม้หนังจะคว้ารางวัลและได้รับคำชื่นชมมามากมายก็ยังโดนแบนไม่ให้เข้าฉายในเมืองจีนอยู่ดี ทั้งๆ ที่ผู้กำกับก็ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า เขาไม่ได้ด่าแค่รัฐบาลจีน ไม่ได้เอาใจญี่ปุ่น แต่เขาแค่อยากทำหนังที่ทำให้เห็นว่า ประชาชนรากหญ้าชาวจีนต้องระทมทุกข์และสับสนเพียงใดในช่วงสงครามสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2(Second Sino-Japanese War)นั้น.... แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ สำหรับประเทศที่ประกาศตัวตนว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีสิทธิ์จะแบนผลงานศิลปะทุกแขนงที่ไม่เข้าตาได้อยู่แล้ว (แต่กับบางประเทศที่บอกว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย แต่กลับชอบแบนและเซ็นเซอร์หนังเป็นว่าเล่น นั้นน่าแปลกใจ+น่าสมเพชยิ่งกว่า เจี๊ยก!!!!!)Devils on the Doorstep หากจะถามว่าคือหนังแนวอะไร คงบอก ณ ตรงนี้ได้ว่า มันคือหนังขาวดำ+ตลกร้าย ที่ตั้งคำถามต่อการมีตัวตนของประชาชนเบี้ยล่างชาวจีน และความสับสนต่อการปกครองบ้านเมืองของรัฐบาลทั้ง 2 ขั้วในยุคนั้น(ที่มีทั้งก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์) เรื่องย่อมีอยู่ว่า....(อาจจำได้คลาดเคลื่อนนะครับ เพราะดูมานานมากแล้ว แฮ่ๆ) วันดีคืนดี อาหม่า (รับบทนี้โดย เจียงเหวิน ผู้กำกับนั่นแล) ก็ได้รับมอบหมายหน้าที่จากทหารจีนที่บังเอิญผ่านมายังหมู่บ้านเล็กๆ ของเขา พวกทหารจีนฝากสิ่งของห่อหุ้มบางอย่างเอาไว้ พร้อมกำชับว่าห้ามเปิดดูเด็ดขาด แต่อาหม่า กลับทนเสียงยุของเมียไม่ได้ เพราะสิ่งของที่ห่อหุ้มนั้นช่างคลับคล้ายร่างของคนเหลือเกิน หลังจากที่ทหารจีน ไม่ยอมกลับมาเอาของที่ว่าซะที บวกกับที่เมียช่างยุอยากรู้เสียเหลือเกินว่าสิ่งที่ยังอยู่ในนั้น คือคนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเป็นแค่ซากศพเน่าๆ ไปแล้ว พวกเขาจึงพากันเปิดออกดู และพบร่างของผู้ชาย 2 คนที่ยังหายใจ คนหนึ่งเป็นทหารญี่ปุ่น ส่วนอีกคนเป็นล่ามชาวจีนที่ทำงานให้กองทัพญี่ปุ่น..... ทันทีที่ร่างทั้งสองส่งเสียงได้ ความลับของอาหม่าก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป คนทั้งหมู่บ้านรู้ว่า มีไส้ศึกของรัฐบาลจีนอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน พวกเขากำลังหวาดกลัวว่า ถ้าหากไม่นำเรื่องนี้ไปแจ้งให้รัฐบาลรู้ อาจจะกลายเป็นว่าพวกเขาเป็นพวกไส้ศึกไปเสียเอง หรือถ้าพวกเขาจะรอให้ทหารที่ฝากไว้มารับคืน พวกเขาก็อาจต้องซวยที่ดันเปิดหีบห่อนั้นออกมาก่อนได้รับอนุญาต ......ที่เหลือหลังจากนี้(ที่เล่ามาน่ะ ประมาณ 15 นาทีแรกของหนังนะจ๊ะ) คือ กลวิธีที่ชาวบ้านพยายามจะจัดการกับคนที่เขาคิดว่าเป็นศัตรูของรัฐบาล แต่พวกเขาจะจัดการได้อย่างไร ในเมื่อทั้ง 2 คนนั้นมีคนหนึ่งก็เป็นคนจีนเหมือนพวกเขา และอีกคนถึงแม้จะเป็นคนญี่ปุ่น แต่ก็เป็นคนญี่ปุ่นที่ช่างแสนดีและ....เอ่อ....กระเป๋าหนักเหลือเกิน นอกจากความตลกร้ายที่มีเข้ามาเป็นระยะแล้ว พล็อตเรื่องของหนังเรื่องนี้ ก็เต็มไปด้วยจุดหักเหมากมาย จนยากที่เราจะคาดเดาตอนจบได้..... และเมื่อหนังขาวดำเรื่องนี้แปรเปลี่ยนเป็นหนังสี......ในช่วงท้าย เมื่อนั้นความจริงอันโหดร้าย และเจ็บปวดก็บังเกิดขึ้น ซึ่งช่วยตอกย้ำให้คนดูอย่างเราๆ ได้ประจักษ์ว่า ไม่ว่าการปกครองนั้นจะเรียกว่าอะไร...จะเป็นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ สุดท้าย ถ้าผู้ปกครองฝักใฝ่แต่อำนาจ ไม่เห็นหัวประชาชนชนชั้นล่าง คนที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานที่สุด คงไม่พ้น....ประชาชนตาดำๆ ที่ต้องแบกรับความผิดที่ตนไม่ได้ก่อไปจนตาย.....เกร็ดความรู้เล็กน้อย .... ในเดือนตุลาคม 2473 ภรรยาและลูกของเหมา เจ๋อตง(ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในขณะนั้น)ถูกจับโดยทหารฝ่ายก๊กมินตั๋งของเจียง ไคเช็ค และถูกทรมานและถูกประหารชีวิต และฝ่ายก๊กมินตั๋งก็พยายามปราบปรามคอมมิวนิสต์มาตลอด จนกระทั่งเกิด สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 (Second Sino-Japanese War ระหว่างปี 2480-2488) เหมาเจ๋อตุง และ พรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party : CCP) ต้องยอมจับมือกับเจียง ไค เช็คเพื่อร่วมรบกับญี่ปุ่น แต่หลังสิ้นสงคราม กับ ญี่ปุ่น ก็กลับมารบกันเอง ในที่สุด พรรคก๊กมินตั๋งก็พ่ายแพ้พรรคคอมมิวนิสต์ จึงหนีไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่เกาะไต้หวัน เหมา เจ๋อตงจึงได้ประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์และสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน (The Republic of China) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2492 ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ...และนี่คือผลงานต่อไปของผู้กำกับ เจียง เหวิน ที่ได้รับคำชมเอ่อล้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้น น่าดูมาก แสดงนำโดย เจซี ชาน ลูกชายของเฉินหลง นั่นแล น่าจับตาครับ เพราะเจียงเหวิน ได้ชื่อว่า เป็นผู้กำกับการแสดงที่สามารถทำให้คนที่แสดงหนังไม่เข้าตา สามารถเล่นหนังได้ชวนมองมาหลายคนแล้ว(แต่เขาเพิ่งทำหนังมา 2 เรื่องเองนะ อิอิ) ภาพนิ่งๆ จากหนังก็สวยซะ.....(เสื้อแดงคือ เจซี ชาน ส่วนเสื้อดำคือเจียง เหวิน ผู้กำกับที่ร่วมแสดงอีกเช่นเคย) และอีกผลงานเรื่องต่อไปของเจียงเหวิน ที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนเตรียมงานก็คือ NewYork,I Love You (หรือในชื่อฝรั่งเศสตามต้นฉบับว่า New York, je t'aime กรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!) ดูจากชื่อก็น่าจะทราบแล้วว่าเป็นหนังในแนวทางเดียวกับ Paris, je t'aime นั่นเอง เพียงแต่เปลี่ยนเมืองมาเป็นนิวยอร์คซะ......(ซึ่งมันจะโรแมนติกไหม อันนี้ไม่รุ ไม่เคยไปอยู่) ได้ผู้กำกับขึ้นชื่อมากมายไม่ว่าจะเป็น Joshua Marston (Maria Full of Grace), Anthony Minghella (The English Patient), Mira Nair (Monsoon Wedding), ปาร์ก ชัง วุค (Old Boy), Jason Reitman (Juno,Thank you for Smoking), Andrei Zvyagintsev (The Return) และอื่นๆ อีกเพียบงานนี้หลังจาก Paris, je t'aime ดูซิว่า New York, je t'aime จะชวนจี๊ดหรือไม่ คริ คริ Dancer in the Dark " เจ็บ......เพราะหัวใจบริสุทธิ์ " เซลม่า (รับบทโดย Bjork) หญิงสาวที่พาลูกชายอพยพมาจากดินแดนคอมมิวนิสต์ - เชคโกสโลวาเกีย สู่ดินแดนที่ว่ากันว่า เป็นดินแดนแห่งความหวังและเสรีภาพ - อเมริกา.... สาเหตุที่เซลม่าต้องเข้ามาทำงานในอเมริกา เพราะที่นี่มีหมอที่สามารถรักษาโรคของเธอและลูกชายได้ เนื่องจากต้องใช้ค่ารักษาที่ค่อนข้างสูง เธอจึงเก็บเงินจากการทำงานทุกเหรียญทุกเซนต์ ซึ่งถึงแม้ในท้ายที่สุดมันจะเพียงพอต่อการใช้เป็นค่ารักษาของลูกชาย แต่มันยังไม่พอที่จะใช้เป็นค่ารักษาของเธอด้วย.... เพียงพล็อตเรื่องแค่นี้ Dancer in the Dark ก็น่าจะเป็นหนังรันทดซะเหลือเกินแล้ว แต่ลาร์ส ฟอน ทรีเยร์ ผู้กำกับชาวเดนมาร์กที่นิยมทำหนังจิกกัดอเมริกา ดูเหมือนจะไม่ยอมให้ชีวิตของเซลม่าเจ็บปวดเพียงแค่นั้น.... เขาทำให้ Dancer in the Dark เป็นหนังเพลงที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นโปรดักชั่นที่ปรุงแต่งแต่น้อย ใช้กล้องแฮนด์เฮลถ่ายทำเกือบตลอดทั้งเรื่อง ซาวด์ดนตรีที่ไม่เหมือนหนังเพลงไหนๆ เนื้อเรื่องที่ชวนหดหู่เกินบรรยาย... (ที่เล่าเรื่องย่อมาข้างบนน่ะ จิ๊บๆ มีซาดิสม์กว่านั้นอีกนะ เหอๆ) และที่สำคัญ เขากล้าดึงสาวเสียงหลอนอย่าง Bjork มารับบทนำในหนังโคตรรันทดเรื่องนี้! ซึ่งเธอในแรกๆ อาจดูขัดๆ เขินๆ สำหรับคนดู แต่พอดูเธอไปเรื่อยๆ ก็พบว่าเธอให้การแสดงที่น่ามอง และจะน่ามองยิ่งขึ้นเมื่อยามที่เธอร้องเพลงในหนัง...เซลม่า เป็นตัวแทนของหญิงสาวที่มีความหวังอย่างสุดแสน ถึงแม้ชีวิตจริงๆ ของเธอจะโหดร้ายเพียงใด แต่เธอก็จะใช้หนังเพลงที่เธอชื่นชอบ เป็นส่วนเติมเต็มความหวัง และกลบเกลื่อนความเป็นจริงของชีวิตอันน่าเศร้าไปในคราเดียวกัน ครั้งหนึ่ง เซลม่าเคยบอกกับแคธี่เพื่อนสนิทว่า ตอนเป็นเด็กเธอเคยดูหนังเพลงเรื่องหนึ่งจนจบ เธอออกมาจากในโรงด้วยความเศร้าเพราะไม่อยากให้หนังเพลงมันจบลงแค่นั้น หลังจากนั้น เซลม่าก็จะดูหนังเพลงเพียงแค่ใกล้ถึงฉากสุดท้ายเท่านั้น แล้วเธอก็จะเดินออกมาจากโรงทันทีก่อนถึง "เพลงสุดท้าย" ของหนังเพราะเซลม่าไม่อยากให้หนังเรื่องโปรดจบไปจากใจของเธอ เธออยากให้มันคงอยู่อย่างนั้นชั่วนิรันดร์.... ซึ่งกลับกลายเป็นความจริงที่น่าเจ็บปวดยิ่งนัก.... เมื่อหนังเพลงของเซลม่า...ที่มีเธอเป็นนางเอก เธอกลับไม่สามารถลุกออกมาจากโรงก่อนหนังจบได้ เธอต้องเผชิญกับหนังของตัวเองจนวินาทีสุดท้ายและเพลงสุดท้ายของเธอ ขับกล่อม....ตัวเธอเอง(และคนดู)ด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้เนื้อเพลงนั้น จะมีเนื้อหาที่พูดถึงความหวังและความรักอย่างเต็มเปี่ยมก็ตามที..... Bishonen " เจ็บ.........เพราะรัก(Y) " "เมื่อมีปัญหา...เรามักวิ่งเข้าไปหาคนที่หลงรักเรา ....เพราะคนที่หลงรักเรา มักจะเสียสละมากกว่าคนที่เรารัก..." อาฉิง หนุ่มออฟฟิศหน้าซื่อ เขาไม่ต่างจากหนุ่มโสดที่ไร้เดียงสากับรักทั่วไป เขาศรัทธาในความรัก และเฝ้ารอคนที่จะรักเขาอย่างหมดหัวใจ จนเมื่ออาฉิงได้มาพบกับ เฟย .... เฟย เป็นหนุ่มออฟฟิศหน้าตาหล่อเหลา และนิสัยดีราวเทพบุตร อาฉิงตกหลุมรักเฟยในทันที และยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อความรักครั้งนี้ แม้กระทั่งครั้งหนึ่ง อาฉิงก็ยอมขายตัว....เพื่อหาเงินมาให้เฟยใช้ จนเมื่อเฟยหนีหายไปจากชีวิตของเขา อาฉิงจึงหมดศรัทธากับความรัก และประชดชีวิตด้วยการเป็นผู้ชายขายตัว.... แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยลืมเฟย ...ชายผู้เป็นรักแรกของเขา"นายเคยรักใครหรือเปล่า?......" เจ็ท สินค้าอันดับหนึ่งประจำซ่องของชาวสีม่วง เขาเป็นเด็กหนุ่มอัธยาศัยดี และยังเป็นเพื่อนสนิทกับอาฉิงที่ทำงานอยู่ในซ่องเดียวกัน เจ็ทไม่เคยรักใคร และไม่คาดหวังว่าใครจะมารัก"เด็กขาย" อย่างเขา แต่ถึงกระนั้น เจ็ทก็ต้องการความรักอย่างเหลือเกิน ยามว่างเขาเฝ้ามองดูคู่รักคู่อื่นๆ ด้วยความยินดี แค่เห็นความรักของของคนเหล่านั้น เขาก็รู้สึกอบอุ่นแล้ว จนเมื่อเจ็ทได้มาพบกับ แซม ....แซม เป็นตำรวจหนุ่มหน้าตาดี ความสุขุมและความเป็นสุภาพบุรุษของแซมทำให้เจ็ทหลงไหล เจ็ทเริ่มเรียกร้องความรักจากแซม และไม่ปิดบังตัวเองว่ารู้สึกเช่นไรกับนายตำรวจหนุ่ม และดูท่าทีว่านายตำรวจหนุ่มนั้นจะมีใจให้เขาไม่ใช่น้อยเสียด้วย....แต่ทุกชีวิตล้วนมีอดีตที่เจ็บปวด.... แซม นายตำรวจหนุ่มที่ดูภายนอกช่างเป็นผู้ชายที่แสนดีและเพียบพร้อม เขาคือลูกชายที่ดีของพ่อแม่ เป็นตำรวจที่เคร่งครัด ต่อต้านการทุจริตทุกชนิด ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เคยทำตัวออกนอกลู่นอกทาง... แต่แซมก็ยังอยากจะลืม.... ลืมว่าเขาเคยเป็นคนเลวแค่ไหน แซมอยากลืมว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเฟย .....คนที่ทำให้อาฉิงต้องเสียผู้เสียคนในครั้งนั้น....Bishonen เป็นหนังที่บอกตรงๆ โต้งๆ ว่านี่คือหนังเกย์นะจ๊ะ ตั้งแต่การโปรโมตของหนัง ที่โฆษณาว่าได้รับแรงดลใจมาจากคดีอื้อฉาวของแวดวงคนในเครื่องแบบของฮ่องกงปลายยุค 80 แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว Bishonen กลับไม่ได้กล่าวถึงคดีนั้นอย่างจริงจังเท่าไหร่นัก เพราะหนังไปให้ความสำคัญ กับเรื่องความรักของชายกับชายมากกว่า... สิ่งหนึ่งจากหนังเรื่องนี้ที่กระทบใจคนดูอย่างยิ่งยวดก็คือ ตัวละครของแซม (รับบทการแสดงได้อย่างน่าชื่นชมโดย แดเนียล วู ) แซม คือ ตัวละครที่สะท้อนภาพความนึกคิดของของชายผู้สับสนทางเพศ ได้อย่างสมจริงสมจังมาก ซึ่งถึงแม้หนังจะฉายมาตั้งแต่ปี 1998 แต่มันก็ยังบอกความนึกคิดของผู้ชายกลุ่มดังกล่าวได้จนถึงในยุคนี้ แซม เป็นชายหนุ่มที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายมามากหน้าหลายตา แต่เขากลับไม่ใคร่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ เพราะแซม มองว่าการเป็นเกย์คือสิ่งที่ผิด และได้แต่คิดว่าพ่อแม่ที่เขารักมากมาย จะรับไม่ได้หากทราบว่าเขามีรสนิยมทางเพศเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เคยได้ครองรักกับชายเหล่านั้นได้นานเท่าไหร่นัก ซึ่งเรื่องราวความรักของแซม มักจะจบลงด้วยการที่เขาวิ่งหนีจากคนที่รักไป แม่ของแซมเคยบอกกับเจ็ทว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยเห็นแซมยืนสูบบุหรี่ที่ระเบียง พอแซมรู้ว่าเธอเห็นว่าเขาสูบ เขาขอโทษแม่ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์ และแซมก็ไม่เคยสูบบุหรี่อีกเลย.... แม่ของแซมในตอนแรกรู้สึกดีที่ลูกชายประพฤติตัวอยู่กับร่องกับรอย แต่ลึกๆ ในใจเธอได้แต่หวังว่า อยากเห็นเขาทำอะไรผิดพลาดสักครั้งในชีวิตบ้าง เพื่อให้เขาดูเป็นเหมือนคนปกติทั่วไป แต่แซมก็ไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย... และเช่นเดียวกันกับความรัก ถึงแม้อาฉิงกับเจ็ทจะให้ความรัก(และบทสวาท)กับเขาเต็มที่สักเพียงไหน แต่ในเมื่อแซมยังสับสนและไม่ยอมรับตัวเอง ความรักเหล่านั้น...จะอยู่ได้นานสักเท่าไร ตรงกันข้ามกับอาฉิงและเจ็ทที่อาจประกอบอาชีพขายตัว อาชีพที่ดูเหมือนว่าไร้หัวใจ... แต่อย่างน้อยอาฉิงกับเจ็ทก็รู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไร ถึงแม้ความรักของพวกเขาที่มีต่อแซมจะลงเอยด้วยความเจ็บปวด แต่ "ความรักที่แท้จริง" ที่พวกเขามีให้แซม มันก็จะยังคงอยู่กับพวกเขาไปตลอดกาล ผิดกับแซม ชายหนุ่มที่รูปงามราวเทพบุตร(ตามความหมายของคำว่า Bishonen) ในเมื่อเขาไม่สามารถยอมรับตัวตนที่เขาเป็นได้อย่าว่าแต่รักคนอื่นเลย... แม้กระทั่งตัวเขาเอง... แซมก็อาจรักมันไม่เป็นด้วยซ้ำไป..... Grave of the Fireflies " เจ็บ......เพราะสงคราม " ตอนสายๆ วันอาทิตย์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ไอ้เติ้งกับไอ้เต่า สองพี่น้องตัวแสบ หน้าตาน่าเกลียดน่าชัง นั่งหน้าสลอนรอดูรายการ "ยอดภาพยนตร์" ทางช่อง 7 ด้วยความระทึก นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่เคยมีภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวมาฉายให้ดูทางทีวี แล้วนี่ดันเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเสียด้วย คงจะมันส์พะค่ะแน่เลย พี่น้อง! ชื่อไทยของการ์ตูนที่ว่า "สุสานหิงห้อย" คงหมายถึงการผจญภัยอันแสนระทึกในสุสานที่มีแต่หิงห้อยเป็นแน่แท้ อ่า...ว่าแล้ว 2 พี่น้องคู่ซี้ที่ชอบตีกันจนบ้านแตก ก็นั่งรอดูการ์ตูนเรื่องดังกล่าว ด้วยความสงบเสงี่ยม เพราะคุณแม่ขอร้อง... และเมื่อทันทีที่ "สุสานหิงห้อย" เริ่มฉาย เมื่อหนังเดินเรื่องไปเรื่อยๆ ... 2 พี่น้องมองหน้ากัน ทำตาปริบๆ หันไปดูคุณแม่ ชักพากันสงสัยในใจว่าพวกหนูกำลังดูการ์ตูนอยู่ใช่ไหมแม่......? Grave of the Fireflies หรือในชื่อไทยสุดเพราะ.... "สุสานหิงห้อย" คือหนังการ์ตูนเรื่องแรกในชีวิตผมที่ทำลายความหวังในการดูเสียย่อยยับ โปรดนึกภาพเด็กตัวน้อยๆ ที่รอดูการ์ตูนเรื่องหนึ่งด้วยความคิดว่ามันจะต้องใสๆ บื้อๆ แบบการ์ตูนทั่วไปในยุคนั้น แต่ Grave of the Fireflies กลับไม่ให้อะไรแบบนั้นในขณะที่ดูเลย จำได้ว่าวันนั้นที่หนังดูกับที่บ้าน จะเปลี่ยนช่องก็ไม่ได้เพราะแม่ยึดรีโมทซะแล้ว ผมจึงจำใจดูจนจบ ก่อนจะพบว่า...ผมเสียน้ำตาให้กับอนิเมะเรื่องนี้ไปเต็มเปา (หรือเพราะมีแม่คอยบิวท์อารมณ์หว่า)เซอิตะ กับ เซทซึโกะ สองพี่น้องที่ต้องหนีภัยสงครามไปพักอาศัยอยู่กับญาติ ด้วยความหวังที่ว่าสักวันพ่อที่ออกไปรบจะต้องกลับมารับพวกเขาไปอยู่ด้วยกัน แต่เซอิตะพี่ชายกลับไม่พอใจที่จะอยู่กับญาติ ประกอบกับที่เขาคิดเอาเอง(ตามแบบเด็กหนุ่มทั่วไป)ว่าเขาโตพอที่จะดูแลน้องเองได้แล้ว เขาจึงพาเซทซึโกะหนีออกมาใช้ชีวิตตามประสา 2 คนพี่น้องในโลกกว้างเพียงลำพัง แต่สงคราม ... ก็ไม่เคยปราณีใครแม้กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ และมันก็นำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่ ที่เซอิตะไม่เคยให้อภัยตัวเองอีกเลยไปตลอดชีวิต... ....ผมได้กลับมาดูเรื่องนี้อีกรอบเมื่อไม่นานมานี้ และพบว่า Grave of the Fireflies เป็นอนิเมะเจ็บๆ ที่น่าชื่นชม เพราะไม่เพียงแต่มันเล่าเรื่องที่กระทบกระเทือนใจเท่านั้น แต่มันยังมีการใช้ภาษาการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ชั้นดี มีสัญลักษณ์ มีภาษาภาพและดนตรีประกอบอยู่ในขั้นยอดเยี่ยม ซึ่งถึงแม้การดูในรอบที่ 2 จะไม่เจ็บเท่ารอบแรกแต่ Grave of the Fireflies ก็ได้ทำลายมุมมองของผมในวัยเด็ก ที่มีต่อการ์ตูนในยุคนั้น ได้อย่างรุนแรง สาหัสสากรรจ์เลยทีเดียว..... Funny Games " เจ็บ........เพราะไข่ ?! " ครอบครัวชนชั้นปัญญาชนครอบครัวหนึ่ง ออกเดินทางไปพักร้อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลสาบอันแสนสงบ ด้วยฉากแรกที่เปิดมา ทั้งครอบครัวที่แสนอบอุ่น พากันเล่นเกมสนุกๆ ระหว่างเดินทาง ทายเพลงคลาสสิกที่เปิดในรถเป็นเพลงอะไร ของคีตกวีคนไหน อาจทำให้คนดูนึกไปว่า นี่คงเป็นหนังเรียบๆ ที่กล่าวถึงความอบอุ่นของครอบครัวหนึ่ง จนเมื่อตัวอักษรสีแดงเถือก ปรากฏขึ้นเต็มจอ บังหน้านักแสดงนำทั้งสาม พร้อมเสียงเพลงดนตรีเฮฟวี่เมททัลอันหนักหน่วง ที่กลบเสียงดนตรีคลาสสิกจนมิด อักษรสีแดงที่ว่า คือชื่อของหนังเรื่องนี้"Funny Games" และนั่นทำให้คนดูตระหนักว่า หนังเรื่องนี้ สามารถจะเปลี่ยนเป็นหนังแนวอะไรก็ได้ทั้งนั้น ที่ไม่น่าจะเป็นแนวครอบครัวหวานแหววอีกต่อไปแล้ว ซึ่งด้วยดนตรีประกอบอันรุนแรง และตัวอักษรสีแดงแจ๊ด ทำให้พอจะเดาได้ล่วงหน้าว่า Funny Games น่าจะเป็นหนังสั่นประสาท หลอนยะเยือก และโหดร้าย แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ... ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างใจเย็น(จนเย็นชา) ของผู้กำกับจอมเลือดเย็น มิคาเอล ฮาเนเก้ (จาก Hidden, The Piano Teacher) จึงอาจทำให้คนดูหลายคนประมาทว่า หรือที่เราเห็นตอนไตเติ้ลเรื่อง เป็นแค่การเล่นสนุกของผู้กำกับหว่า? แต่แล้วเมื่อหนังได้เดินทางจนมาถึง 15 นาทีต่อมา เมื่อเด็กหนุ่มติ๋มๆ คนหนึ่ง(และอีกคนก็ตามมาในภายหลัง) เดินเข้ามาขอไข่ในบ้านพักของครอบครัวดังกล่าว ตั้งแต่นั้นมา.... คือ สารพัดวิธีที่หนังทรมานคนดูและตัวละครในเรื่อง ได้อย่างแสบสันต์ โหดร้าย และเลือดเย็นจนเข้าขั้นวิปริต!!! ผมรู้จัก Funny Games ในฐานะหนังอันตราย(จากหนังสือ "หนังอันตราย") จึงลองดีด้วยการเช่าร้านเฟมมาดู และก็พบว่ามัน "อันตราย" จริงๆFunny Games หากจะพูดว่ามันใกล้เคียงหนังเรื่องอะไร ในแง่พล็อตเรื่องมันอาจคล้าย The Hills Have Eyes หรือหนังแนวฆ่ากันเรื่องอื่น แต่ที่ Funny Games ไม่เหมือนหนังเหล่านั้นเลยก็คือ "เลือด" "เลือด" ใน Funny Games ปรากฏให้เราเห็นชัดเจนอยู่แค่ 2 ฉากสั้นๆ เท่านั้น แต่การปรากฏของมันใน 2 ฉากสั้นๆ ที่ว่า... ก็เข้าขั้นทำร้ายคนดูได้หนักหน่วงกว่าหนังที่ฆ่ากันตลอดทั้งเรื่อง อย่าง Saw หรือ Hostel ด้วยซ้ำไป! อ่านถึงตรงนี้อาจคิดว่า นี่คือหนังโหด ที่ฆ่ากันจะจะถึงพริกถึงขิง ขอบอก ณ ตรงนี้ว่า "ไม่ใช่ครับ" Funny Games เป็นหนังโหดก็จริง แต่มีฉากฆ่ากัน หรือทำร้ายร่างกายกันจนจะจะตาน้อยนิดมาก แต่ส่วนที่หนังเรื่องนี้ใจร้ายกว่าหนังแนวฆ่ากันเรื่องอื่นๆ ก็คือ... การที่หนังเลือกที่จะให้ความหวัง(ต่อการมีชีวิตรอดของเหยื่อ) ให้กับคนดูทีละนิด ทีละนิด แล้วค่อยทำลายมันทีละหน่อย ทีละหน่อย จนคนดูเริ่มจะหมดหวัง เริ่มไม่แน่ใจกับตัวเองว่า"...แล้วอย่างนี้ เรายังจะหวังได้อีกไหม?" ที่น่าตลกก็คือ... ในการดูรอบแรกของผม เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยเหยื่อของหนังในช่วงต้นๆ เรื่อง... ว่าทำไมชอบทำอะไรงี่เง่าเหมือนหนังฆ่ากันเรื่องอื่นๆ ด้วยหนอ แต่พอ Funny Games ดำเนินเรื่องมาถึง "ฉากเชี่ยๆ" ฉากหนึ่งฉากนั้น เมื่อนั้น ผมได้ตระหนักว่า คนที่โง่ที่สุด อาจเป็นคนดูอย่างผมเองเนี่ยแหล่ะ เพราะต่อให้เหยื่อในหนังเรื่องนี้ฉลาดอย่างร้ายกาจเพียงใด หากผู้ล่าในเรื่อง มี"สิ่งนั้น" อยู่ในกำมือ (หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้กำกับจะใจร้ายกับคนดูซะอย่าง) เหยื่อที่ฉลาดระดับเทพแค่ไหน ก็คงไม่รอดจาก Funny Games เป็นแน่แท้ หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ ... ผมก็ไม่คิดจะดูมันอีกเลย ถึงแม้จะมีนักวิจารณ์บางท่านบอกว่า Funny Games มีนัยยะทางการเมืองก็ตาม แต่แค่รอบเดียวของผม ก็เพียงพอแล้ว...ที่จะบอกว่า... นี่คือหนังที่ใจร้ายที่สุดและสามารถทำให้คนดูเจ็บปวดได้ในระดับ "ขอกราบตีน"! มิคาเอล ฮาเนเก้ ยังไม่เลิกบ้าครับท่าน เขานำ Funny Games มารีเมคใหม่ในรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด โดยได้ดารานำอย่าง นาโอมิ วัตต์ มารับบทนำ (บทแม่ ที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของรถตามรูปข้างบน) ที่น่าตลกก็คือ เขารีเมคหนังตัวเอง โดยทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง ฉาก และบทให้เหมือนกับเวอร์ชั่นต้นฉบับทุกเม็ด งานนี้รอลุ้นอย่างเดียวว่า หนังฮอลลีวู้ดของฮาเนเก้เรื่องนี้ จะใจร้ายได้เทียบเท่าต้นฉบับของตัวเองหรือไม่.... และอีกอย่างหนึ่งที่น่าสงสัยก็คือ ในเมื่อเป็นหนังของฮอลลีวู้ด เค้าจะยอมให้หนังมันจบแบบเดิมหรือไม่ อันนี้น่าลุ้นกว่าเยอะ หนังมีโปรแกรมเข้าฉายที่อเมริกาช่วงต้นปีนี้ แต่เสียงร่ำลือในทางบวกได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อครั้นที่หนังได้เดินทางไปฉายในเทศกาลหนังที่กรุงลอนดอน...... อืมมมมม ส่วนบ้านเราจะได้เข้าโรงหรือป่าว อันนี้ต้องรอดูเน่อ Jean de Florette และ Manon of the Spring " เจ็บ..........เพราะคาร์เนชั่นและน้ำพุ" ........................................................................... ........................................................................... ...........................................................................Capturing the Friedmans " เจ็บ..........เพราะอะไร? " ........................................................................... ........................................................................... ...........................................................................Peppermint Candy "เจ็บ..........เพราะความบริสุทธิ์ที่หายไป" ........................................................................... ........................................................................... ...........................................................................กลับมาแล้ว..... พร้อมอารมณ์ขุ่นข้องหมองมัวรับปีใหม่ซะงั้น.... สวัสดีปีใหม่แฟนบล็อกทุกท่าน ขออวยพรให้เจอแต่เรื่องดีๆ เน่อ ต้องขออภัยที่กลับมาอวยไม่ทัน ......
Create Date : 16 ธันวาคม 2550
123 comments
Last Update : 11 มกราคม 2551 17:23:43 น.
Counter : 3617 Pageviews.
โดย: pikaball 16 ธันวาคม 2550 18:24:15 น.
โดย: ฮาRo_Haโร (haro_haro ) 16 ธันวาคม 2550 19:49:18 น.
โดย: yibby 16 ธันวาคม 2550 20:33:57 น.
โดย: nanoguy 16 ธันวาคม 2550 21:21:44 น.
โดย: Michiru 17 ธันวาคม 2550 7:53:26 น.
โดย: บลูยอชท์ 17 ธันวาคม 2550 10:57:19 น.
โดย: บลูยอชท์ 17 ธันวาคม 2550 16:57:03 น.
โดย: pangz 17 ธันวาคม 2550 22:06:54 น.
โดย: yibby 18 ธันวาคม 2550 3:21:36 น.
โดย: nanoguy IP: 161.200.255.162 18 ธันวาคม 2550 15:02:35 น.
โดย: nanoguy IP: 161.200.255.162 18 ธันวาคม 2550 15:03:14 น.
โดย: บลูยอชท์ 19 ธันวาคม 2550 14:12:35 น.
โดย: nanoguy IP: 161.200.255.162 19 ธันวาคม 2550 16:47:40 น.
โดย: yibby 19 ธันวาคม 2550 19:49:21 น.
โดย: บลูยอชท์ 21 ธันวาคม 2550 17:46:53 น.
โดย: pangz 22 ธันวาคม 2550 21:35:28 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.82.184 23 ธันวาคม 2550 14:28:11 น.
โดย: Unravel 23 ธันวาคม 2550 20:59:54 น.
โดย: มารีออง 25 ธันวาคม 2550 0:10:12 น.
โดย: yibby 25 ธันวาคม 2550 21:58:04 น.
โดย: Unravel 26 ธันวาคม 2550 23:14:56 น.
โดย: บลูยอชท์ 27 ธันวาคม 2550 12:51:37 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.84.142 27 ธันวาคม 2550 21:23:04 น.
โดย: yibby 27 ธันวาคม 2550 23:02:07 น.
โดย: pangz 31 ธันวาคม 2550 19:23:48 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.75.72 2 มกราคม 2551 11:07:51 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.75.72 2 มกราคม 2551 11:10:53 น.
โดย: Unravel 2 มกราคม 2551 20:35:15 น.
โดย: yibby 4 มกราคม 2551 18:02:42 น.
โดย: yibby 4 มกราคม 2551 18:07:11 น.
โดย: Unravel 4 มกราคม 2551 22:44:34 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.83.178 4 มกราคม 2551 23:46:55 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.83.178 5 มกราคม 2551 4:03:25 น.
โดย: yibby 5 มกราคม 2551 4:06:22 น.
โดย: yibby 6 มกราคม 2551 19:04:51 น.
โดย: yibby 8 มกราคม 2551 1:36:23 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.78.50 8 มกราคม 2551 3:19:48 น.
โดย: คำห้วน เฉือนคำรัก IP: 203.156.85.149 8 มกราคม 2551 4:04:53 น.
โดย: Michiru 8 มกราคม 2551 7:56:29 น.
โดย: Unravel 9 มกราคม 2551 21:11:00 น.
โดย: มารีออง 10 มกราคม 2551 11:11:20 น.
โดย: Kam Huan Go Inter IP: 203.156.85.179 11 มกราคม 2551 9:46:01 น.
โดย: บลูยอชท์ 11 มกราคม 2551 17:28:02 น.
โดย: BloodyMonday @ GZ IP: 211.136.200.186 11 มกราคม 2551 18:29:33 น.
โดย: pangz 11 มกราคม 2551 23:30:25 น.
โดย: yibby 12 มกราคม 2551 10:36:42 น.
โดย: nanoguy IP: 161.200.255.162 12 มกราคม 2551 13:20:24 น.
โดย: pangz 12 มกราคม 2551 22:11:15 น.
โดย: yibby 13 มกราคม 2551 4:40:26 น.
โดย: คำห้วน เฉือนคำรัก IP: 203.156.85.130 13 มกราคม 2551 14:58:19 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.90.217 13 มกราคม 2551 20:41:57 น.
โดย: Unravel 13 มกราคม 2551 21:40:08 น.
โดย: Unravel 13 มกราคม 2551 21:40:55 น.
โดย: Michiru 15 มกราคม 2551 7:58:37 น.
โดย: บลูยอชท์ 15 มกราคม 2551 15:01:35 น.
โดย: yibby 17 มกราคม 2551 8:29:45 น.
โดย: บลูยอชท์ 17 มกราคม 2551 15:39:22 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.78.11 17 มกราคม 2551 21:03:10 น.
โดย: Michiru 18 มกราคม 2551 10:41:28 น.
โดย: Unravel 19 มกราคม 2551 15:18:29 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.78.248 20 มกราคม 2551 8:21:25 น.
โดย: yibby 21 มกราคม 2551 14:45:15 น.
โดย: บลูยอชท์ 21 มกราคม 2551 17:24:03 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.83.189 22 มกราคม 2551 8:15:31 น.
โดย: บลูยอชท์ 23 มกราคม 2551 15:09:48 น.
โดย: nanoguy IP: 161.200.255.162 23 มกราคม 2551 16:41:43 น.
โดย: Unravel 23 มกราคม 2551 19:15:34 น.
โดย: pangz 23 มกราคม 2551 20:01:40 น.
โดย: บลูยอชท์ 24 มกราคม 2551 11:48:15 น.
โดย: ฟ้าดิน 26 มกราคม 2551 3:12:04 น.
โดย: yibby 28 มกราคม 2551 14:02:58 น.
โดย: บลูยอชท์ 30 มกราคม 2551 19:14:49 น.
โดย: pangz 31 มกราคม 2551 8:55:51 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.86.126 2 กุมภาพันธ์ 2551 17:36:13 น.
โดย: Unravel 3 กุมภาพันธ์ 2551 16:08:49 น.
โดย: pangz 3 กุมภาพันธ์ 2551 21:47:59 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.78.233 13 กุมภาพันธ์ 2551 4:10:24 น.
โดย: คำห้วน เฉือนคำรัก IP: 124.120.175.217 13 กุมภาพันธ์ 2551 20:10:43 น.
โดย: Michiru 1 มีนาคม 2551 10:55:04 น.
โดย: nanoguy IP: 125.26.132.160 1 มีนาคม 2551 20:29:59 น.
โดย: Unravel 2 มีนาคม 2551 20:27:21 น.
โดย: คำห้วน เฉือนคำรัก IP: 124.120.180.191 4 มีนาคม 2551 3:18:56 น.
โดย: Unravel 5 มีนาคม 2551 19:29:25 น.
โดย: Unravel 10 มีนาคม 2551 10:03:18 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.70.144 11 มีนาคม 2551 7:41:34 น.
โดย: pangz 13 มีนาคม 2551 22:16:14 น.
โดย: เร IP: 124.121.81.65 17 มีนาคม 2551 8:50:54 น.
คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก
หัวใจของผมทำด้วยเซลลูลอยด์คร้าบบบบบ
รายการ Blog ที่Update ล่าสุด
ชอบBlogไหนคลิกที่รูปได้เลยครับ
รีวิวซีรี่ส์ 1 Litre of Tears
คลิปเปิดตัว 24 DAY 7
เป็นตุเป็นตะกับบอดี้ ศพ 19
มันติดมาจากในโรง#3
เพลงสุดโหยหวนจากหนัง The Brave One
รีวิวซีรี่ส์ HouseMD และเฉลยปม Lost
Retro to Film - Club
เพลง เธอทั้งนั้น
ให้เจ้าหลาน Bay
1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30 31
เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ