เนื่องจากว่ารถมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ติดแก๊สมาเรียบร้อย พอชินเท้ากับคันเร่งไฟฟ้าแล้วก้เลยขับมายาวๆข้ามปีเลยเชียว

มีปัญหาเรื่องกลิ่นแอร์ที่เหม็นอับ ก็พยายามหาข้อมูล พบว่าเป็นที่ยางซับความร้อนข้างๆครอบเกียร์ในห้องโดยสาร ซึ่งพูดง่ายๆว่า "ยางเน่า" เป็นกันทุกคันจนทางโตโยต้าต้องออกมารับผิดชอบให้ ไม่นึกว่าผมจะเจอแจ็คพอทกับเขาเหมือนกัน

โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกนิดๆ ถ้าจอดตากแดดไว้นานๆแล้วกลับขึ้นมา จะรู้สึกอับๆตะหงิดๆ แต่กับลูกสาวจะรับไม่ได้เลย ขนาดว่าจะไปรับกลับบ้าน ยังต้องขอให้เอารถแม่ไปรับ ถ้าเอารถพ่อไป ต้องนั่งเบาะหลัง แล้วเตรียมถุงพลาสติคไว้เผื่อฉุกเฉินเลย...ไม่ไหวแล้ว มีรถแล้วลูกสาวนั่งไม่ได้นี่ไม่ดีแน่ๆ เลยตัดสินใจไปหาล้างแอร์แบบถอดตู้ เอาให้หายขาดกันไปเลย

แกะออกมาได้แบบนี้ กลิ่นเน่าสุดๆ

แกะออกแล้วจะได้เนื้อเหล็กขาวๆแบบนี้ ก็เลยไม่ต้องหาอะไรมาทดแทนกันละ ปิดพลาสติคเข้าก็จบ

พอเอาตัวการของความเหม็นออกแล้ว ก็เลยล้างตู้แอร์แบบเต็มที่ คือรื้อคอนโซลหน้าทั้งหมดเลย เพื่อเอาตู้แอร์ออกมาล้างข้างนอก อันนี้ต้องการช่างแอร์ที่มีความชำนาญสักหน่อย ประเภทว่าช่างรับงานแล้วให้เด็กน้อยรื้อผมไม่เอา กลัวอะไหล่เกิน เลยดั้นด้นจากสระบุรีไปถึง สามพราน นครปฐม ก็ลองตามหาทางเน็ตกันดู ผมนั่งดูเขาทำงานแล้ว น้อตไม่ขาดไม่เกิน สบายใจได้...

หลังจากแกะยางทิ้ง แล้วล้างแอร์เอาคราบและกลิ่นที่ติดอยู่กับตู้แอร์ออกหมด ก็การันตีได้ด้วยลูกสาวผมเอง คือกลิ่นหายสนิท...สบายใจ

กรกฎาคม 2559 ถ้านับจากวันที่ได้รถมาก็ราวๆปีครึ่ง ก็มีโอกาสได้เดินทางยาวๆหลักร้อยกิโลบ่อยๆ ล่าสุดกดคิกดาวน์เพื่อแซงตอนความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. ปรากฎว่าวืด รอบไม่ขึ้น ดันไปตีคู่กับรถข้างๆให้ขายหน้าซะงั้น(ไม่ยอมแซง) ทดลองดู 2-3 วัน พบว่าเป็นที่การวิ่งแก๊สอย่างเดียว

เช้าๆออกจากบ้านเพื่อมาทำงาน ประมาณ 2-3 ร้อยเมตร จะต้องขึ้นเนินออกจากถนนซอยไปถนนใหญ่ ถ้าเจอสถานการณ์คาบลูกคาบดอก เช่น มีรถขวางอยู่ข้างหน้า ต้องกดเบรคเลี้ยงคันเร่งอยู่กลางเนิน พอจะออกตัวกลับออกไม่ได้ พาลจะไหลถอยหลังลงใส่คันหลังอยู่เรื่อย...ไม่ได้การละ

เอามาจอดที่ทำงาน ตอนเย็นจะกลับบ้าน ขับออกมาติดไฟแดง พอได้ไฟเขียว กดคันเร่ง ออกอาการวืดๆไม่ยอมเคลื่อนตัวอีก...บานปลายละทีนี้

หลังจากหาข้อมูลนั่นนี่พอสมควร เลยตัดสินใจปรึกษาเพื่อนฝูงที่พอมีความรู้ นัดวันแล้วขับรถไปให้ดูทันที อาการแบบนี้เขาบอกว่าเจอมาเยอะ แก้มาเยอะ ไม่ต้องไปเสียตังค์อะไรมากมาย เอามาจูนด้วยโปรแกรมก็หาย

เพื่อนสรุปว่าต้องจูนแก๊สใหม่ เนื่องจากด้วยระยะเวลาที่ผ่านไป รูจ่ายแก๊สจากหัวฉีดแก๊สจะกว้างขึ้น ความสึกหรอต่างๆมีมากขึ้น ค่าอะไรๆที่กล่อง ECU จดจำไว้ก็จะใช้ไม่เหมาะสมอีกต่อไป จึงต้องทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อน เพื่อล้างความจำของน้ำมันและแก๊ส ถอดทิ้งไว้สักพักใหญ่ๆแล้วต่อคืนเหมือนเดิม

2. กดใช้น้ำมันอย่างเดียวก่อน
    - สังเกตว่า พอติดเครื่องแล้วรอบจะต่ำมากๆ แล้วระบบของรถจะค่อยๆปรับแต่งรอบให้เป็นปรกติเอง

    - หลังจากนี้ให้ขับรถออกไปวิ่งจริง เอาให้ครบทั้งช้าทั้งเร็ว ติดไฟแดงบ้าง ขึ้นเนินบ้างก็ว่ากันไป

      ตรงนี้เพื่อนบอกว่า ระบบจะทำการตั้งค่าและเก็บบันทึกค่าต่างๆไว้ตามสถานการณ์จริงที่พบ โดยคำนวณค่าต่างๆให้ใหม่ทั้งหมด (เนื่องจากถูกล้างค่าไปแล้ว)

3. เอากลับมาจอด เสียบสายต่อกล่องแก๊สเข้ากับโปรแกรมของ VERSUS ในโน้ตบุค

4. เรียกคำสั่งคืนค่ากลับโรงงาน ถือเป็นการล้างหน่วยความจำของกล่องแก๊ส

5. เรียกคำสั่งจูนแบบอัตโนมัติ ตรงนี้เพื่อนบอกว่ากล่องแก๊สจะไปอ่านค่าต่างๆจากกล่องน้ำมัน (กล่องแก๊สไม่ได้คิดเอง เป็นแบบนี้ทั้งหมด)

พอจูนออโต้ได้ครบ 100% ก็ทดลองขับจริง สรุปว่าอาการวืดๆทุกอย่างหายสนิท ซึ่งเพื่อนบอกว่า ถ้าเข้าศูนย์ก็คือเปลี่ยนรางหัวฉีดแก๊สอย่างเดียว ซึ่งนั่นก็ถูกต้องของเขา เพราะคุณภาพมันเสื่อมลงตามกาลเวลาแล้ว แต่เพื่อให้เหมาะสมกับคุณภาพชีวิตเรา อะไรที่พอจะยืดหยุ่นได้โดยที่ไม่เสียหายมากนัก ก็คงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมตามประสาเรา

ใหนๆก็ก้มๆเงยๆกับรถแล้ว เพื่อนเลยสอบถามว่าถ่ายน้ำมันเครื่องเมื่อไร ก็ตอบว่าไม่เคยเลย ไม่เห็นมันขาดก็เลยไม่ถ่าย ดึงก้านวัดดูอยู่บ่อยๆ

เพื่อนบอกเวรกรรม...รถผมซื้อก่อนรถเขาอีก รถเขาเปลี่ยนมาหลายรอบแล้ว พอเขาดึงก้านวัดมาดู ร้องจ๊ากเลย...มันข้นคลั่กและมีกลิ่นไหม้ๆ อืม...เราก็ไม่สังเกตสักที

ตกลงก็ได้ถ่ายน้ำมันเครื่อง+เปลี่ยนกรองด้วย ดำปึ้ดเลยเชียว

จริงๆแล้วตามคู่มือให้ใช้เกรด 30 ก็หาซื้อกันอยู่ แต่ค่ำแล้ว ร้านปิดเกือบหมด เลยได้เบอร์ 40 มาแทน แต่เขาก็ว่าสามารถใช้ทดแทนกันได้อยู่ เลยโอเคตามนั้น ซึ่งพฤติกรรมการขับรถของเราก็ไม่ได้โหดอะไรนัก หยวนๆละกัน

ในระหว่างการออกขับทดลองรถ เพื่อนบอกว่าเวลาเปลี่ยนเกียร์ออกอาการกระตุกๆนะ ยิ่งเวลาคิกดาวน์นี่แทบหัวทิ่ม ผมก็บอกว่าผมชิน เพราะก็เหมือนขี่เดิมๆทุกวัน แต่เพื่อนบอกไม่ใช่ เลยบอกว่าใหนๆก็ใหนๆ ซื้อน้ำมันเกียร์มาด้วยดีกว่า พร้อมกับแนะนำว่า ให้ดูที่ก้านวัด ถ้าพบอักษร WS ต้องซื้อเกรดตามนี้ ห้ามผิดเด็ดขาด ไม่งั้นพังอย่างเดียว

ถ่ายออกมาแล้ว เพื่อนเห็นสีน้ำมันเกียร์ก็บอกว่าไม่สาหัสมากนัก แต่การเปลี่ยนใหม่กับเลขไมล์ขนาดนี้ ยังไงก็ดีกว่า...

หลังจากนี้ก็ได้ถอดหัวเทียนออกมาดู พบว่าเป็นแบบ "แพลตตินั่ม" หัวเข็ม สภาพยังสมบูรณ์มากๆเลยไม่ต้องเปลี่ยน...เสร็จสรรพก็ลองขับดูอีกที...

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ รอบนี้เครื่องนิ่มหนึบแบบว่าช่างคอมฯที่ไม่ใช่ช่างยนต์แบบผมนี่ สัมผัสได้เลยทีเดียว การเปลี่ยนเกียร์ออโต้นิ่มนวลแค่พอรู้สึกได้เท่านั้น ส่วนการคิกดาวน์นี่คนละเรื่องเลย อัตราทดที่เปลี่ยนไปกับเสียงรอบเครื่องที่พุ่งขึ้นนี่...ได้อารมณ์สุดๆ

วางแผนไว้ว่า ต่อไปจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 10,000 กม. และน้ำมันเกียร์ทุกๆ 100,000 กม. จะได้อยู่กันนานๆครับผม...

(เลขไมล์ ณ 06-07-2016 คือ 230750 รอบต่อไปที่ 330750)

เปลี่ยนยาง
เลขไมล์ 244647
14 มีนาคม 2560 ยาง Deestone vincente 195/65 R15 R302 ราคา 7,000 บาท
เปลี่ยนตอนเที่ยง ตกเย็นเดินทางไกล 500 กว่ากม.ทันที เดินทางกลางคืน ไม่เกิน 100 แต่มีกว่านิดๆบ้าง แอบมีใจเสียว่าลองเล่นยางราคาถูก มันนิ่มๆ ยวบๆ ขับๆไปไม่มั่นใจ เข้าโค้งวูบวาบพิกลๆ ถึงขนาดบอกคนที่นั่งไปด้วยว่า ถ้าถูกหวยจะถอดขายทันที...

แต่พอผ่านไปสัก 1 อาทิตย์ คงประมาณเกือบๆ 1000 กม.แล้ว ผิดคาดครับ อาการที่เคยติติงไว้นั้นไม่มีเหลือเลย นิ่ง นิ่ม ใช้ได้เลยทีเดียว...

ในเว็บแนะนำ 3 ปีขายพอได้คืน บางคนแนะนำให้ลากถึง 50,000 กม. จะลองดู...

*** 03 กันยายน 2561 ***

1 ปี 6 เดือน

deestone มีอาการบวม ขับประมาณ 80 ขึ้นไปจะสะท้อนขึ้นเบาะนั่งชัดเจนมาก เลยต้องถอด เอา Apollo เส้นละ 1500 บาท ใส่แทน อาการดุ้งหายเป็นปลิดทิ้ง