ทริปหลีเป๊ะ...กับความหวังที่ตั้งไว้สูงเกิน
(Air asia,Trang airport,Hadyao pier,Tigerline travel,Zanom sunriseresort)
รีวิวนี้ไม่เน้นภาพที่สวยงามเพียงต้องการบอกเล่าประสบการณ์ตรงที่ จขกท.ได้ประสบมาด้วยตนเองตามความเป็นจริงเท่านั้น ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมและการนำไปประยุกต์ใช้
ทริปนี้เริ่มต้นจากโปรโมชั่นของแอร์เอเชียเมื่อต้นปี55 จขกท.ในฐานะมือใหม่หัดสอยลองทดสอบฝีมือ ปรากฏว่าได้มาสองที่นั่งไปกลับ กทม.-ตรัง ในห้วงเดือนก.พ.56
จากนั้นก็มาดูเรตติ้งในบลูแพลเนตว่าเพื่อนๆนิยมไปเที่ยวที่ไหนกันสุดท้ายก็ตกลงใจไปหลีเป๊ะ มัลดีฟเมืองไทย ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณคุณหมอยุ่งที่เอื้อเฟื้อเทคนิคการสอยโปรแอร์เอเชียและขอบคุณสมาชิกทุกๆท่าน ที่รีวิวการท่องเที่ยวเกาะหลีเป๊ะไว้ ในพันทิปบลูแพลเนต
เมื่อมีตั๋วเครื่องบินในมือแล้ว ก็เตรียมตัวจองที่พัก เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นจึงต้องจองแต่เนิ่นๆ ตอนแรกก็เล็งแพ็คเก็จรวมมิตร พอจะกดจองตอนปลายปี 55 ปรากฏว่าราคาห้องพักแพงขึ้นอีกมากก็เลยเมลไปซานมรีสอร์ทที่เพื่อนๆหลายคนประทับใจ
ได้รับข้อมูลมาว่าช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ลมเข้าทางด้านหาดชาวเลพอดี ทางรีสอร์ทยืนยันว่าไม่ร้อน เราจึงจองห้องพัดลมใหม่และต่อรองขอเป็นราคาของเดือนมีนาคมซึ่งถูกกว่าเดือนกุมภาพันธ์ ทางรีสอร์ทก็ตกลง เราก็โอนเงินมัดจำครึ่งหนึ่งไปเรียบร้อย
สำหรับการเดินทางจากสนามบินตรังไปเกาะหลีเป๊ะ เราเลือกไทเกอร์ไลน์ทราเวลซึ่งมีเวปไซต์ที่น่าเชื่อถือ มีบริการเรือเฟอรี่หลากหลายเส้นทางในฝั่งอันดามันและมีบริการรถรับส่งจากสนามบินถึงท่าเรือหาดยาวครบวงจร
หนึ่งสัปดาห์ก่อนเดินทางเราจึงตกลงใจจองตั๋วเรือออนไลน์จากเวปของบริษัทในราคาไปกลับคนละ 1,520 บาท(ลด 20%แล้ว)แพงกว่านั่งรถตู้ไปต่อเรือที่ปากบาราเล็กน้อย
เมื่อทุกอย่างพร้อม เราก็เข้าไปเช็คอินล่วงหน้าในเวปของแอร์เอเชียปรากฏว่าที่นั่งที่เขาจัดไว้ให้เราสองคนนั่งห่างกันไปสองแถว และเป็นที่นั่งที่ล๊อคไว้ไม่สามารถยกเลิกได้ หากต้องการเปลี่ยนแปลงต้องเสียเงินที่นั่งละเกือบเจ็ดสิบบาทเพื่อความประหยัด เราก็เลยทำเช็คอินไปตามนั้น แยกกันนั่งก็ไม่มีปัญหาอะไร แค่เพียงชั่วโมงกว่าๆแค่นั้น
ถึงวันเดินทางเมื่อเช็คอินล่วงหน้าและปริ้นท์บอร์ดดิ้งพาสไปแล้ว เราก็เดินเข้าเกทไปเลยไม่ต้องผ่านจุดเช็คอิน กระเป๋าใบเล็กใหญ่คนละไม่เกินสองใบ น้ำหนักรวมไม่เกินเจ็ดกิโลกรัม
เราไปถึงสนามบินดอนเมืองประมาณเจ็ดโมงเช้า เดินไปที่เกท 33 ไม่ไกลมาก แวะหาของกินรองท้องบริเวณนั้น นั่งรอขึ้นเครื่องหน้าเกท เครื่องออกแปดโมง(เกทปิดยี่สิบนาทีก่อนเครื่องขึ้น)
วันนี้ที่นั่งไม่เต็ม เก้าอี้ข้างๆภรรยาว่างอยู่แอร์ก็มาบอกให้ไปนั่งข้างๆกันได้เลย
ท้องฟ้าเมื่อบินขึ้นจากกรุงเทพสักพักหนึ่ง อากาศสดใสดีจัง
แต่ก่อนจะลงสนามบินตรัง ฝนก็ตกลงมารอแล้ว
เครื่องลงสนามบินตรังตรงตามเวลาประมาณเก้าโมงครึ่งเดินออกมานอกห้องผู้โดยสาร ก็เจอเจ้าหน้าที่บริษัทเรือถือป้ายรออยู่แล้ว
จนท.ที่ถือป้ายก็คือโชเฟอร์รถตู้นั่นเอง เมื่อผู้โดยสารมาครบก็พาเราไปขึ้นรถซึ่งมีผู้ร่วมเดินทางจากนกแอร์ นั่งรออยู่ในรถก่อนแล้ว
รถตู้ออกจากสนามบินไปท่าเรือหาดยาวใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ระยะทางประมาณ 55 ก.ม. เป็นทางราดยางตลอดทาง คนขับขับได้ดีไม่หวาดเสียวแม้ฝนจะตกตลอดทาง
ถึงท่าเรือหาดยาวประมาณ 11.45 น. เราเดินไปที่จุดเช็คอินที่มีโต๊ะอยู่หนึ่งตัวและจนท.หนึ่งคน เอาใบจองที่ปริ้นท์มาไปยื่นและรับสติ๊กเกอร์ติดหน้าอกเสื้อมาคนละหนึ่งชิ้น
มีเวลาอีกแยะกว่าเรือจะออก จะออกไปไหนไกลก็ไม่ได้เพราะฝนตกพรำๆตลอด
สภาพบริเวณท่าเรือหาดยาวมีร้านอาหารแต่ไม่เปิดให้บริการ
ดูสภาพภายนอกอาคารท่าเรือดูดีนะครับ แต่ไม่มีห้องที่ใช้งานอยู่เลย แต่ละห้องถูกปิดล๊อคและทิ้งร้าง
สภาพห้องสุขาที่ชำรุดสกปรก และใช้การไม่ได้
ยังดีที่มีสุขาเอกชนรองรับอยู่ใกล้โดยเก็บค่าบริการครั้งละ 5 บาท
ร้านค้าที่เห็นมีแต่เสื้อผ้าขาย ร้านอาหารไม่เปิด ที่เปิดก็ไม่มีอาหารขาย
เราต้องซื้ออาหารผลไม้ ขนม และเครื่องดื่มจากชาวบ้านที่เอาโต๊ะมาตั้งขายสองจุด บริเวณโถงอาคารในราคาที่ค่อนข้างแพงโดยไม่มีทางเลือก
ภายในอาคารท่าเรือหาดยาว ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง นอกจากเก้าอี้ม้าหินหนึ่งชุดเก้าอี้พลาสติก และม้านั่งยาวๆ ซึ่งร้านค้านำมาตั้งไว้ไม่กี่ตัว
เราไม่พบเจ้าหน้าที่ของรัฐที่นี่แม้แต่คนเดียวและมีเราสองคนเท่านั้นที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย
เวลาผ่านไปจนบ่ายโมงครึ่งก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีเรือเข้ามา จนท.บอกว่าฝนตกคลื่นลมแรง เรือเสียเวลาและไม่ทราบว่าจะมาเมื่อไร บริษัทมีปัญหาขาดเรือบริการหนึ่งลำเนื่องจากไฟไหม้ห้องเครื่องจอดซ่อมอยู่ที่นี่
( กรุณาอ่านต่อตอนที่ 2)