ซินจ่าว เวียดนาม : ตอนที่ 1 สะหวันนะเขต ดองฮา เว้
ด้วยอานิสงค์ผลบุญ...จึงได้ไปเที่ยวเวียดนามแบบส้มหล่น โปรแกรมคือนอนเวียดนาม 3 คืน นอนมุกดาหารอีก 2 คืน และพาหนะคือรถบัส เพื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมสองข้างทางของประเทศเพื่อนบ้านเรา คือ ลาว และเวียดนามนั่นเอง (คนจัดทัวร์เขาว่างั้น) เราเริ่มต้นจากพิษณุโลก ราวเที่ยงๆ เดินทางมาเส้นหล่มสัก น้ำหนาว ชุมแพ ขอนแก่น แวะกินข้าวเย็นที่ขอนแก่นราว 3 ทุ่ม ผ่านกาฬสินธุ์ และเข้าพักโรงแรมพลอยพาเลซที่เคยออกหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์พักนึง (ชื่อเสียงด้านไหนต้องลอง search ) ที่มุกดาหาร ประมาณ 5 ทุ่ม รหัสนัดของไกด์ คือ 5 6 7 (ตื่นตี 5 กินข้าว 6 โมง และเริ่มเดินทาง 7 โมง)
โรงแรมพลอยพาเลซ บนหมอนมีทำนายฝันด้วยน่ารักดี
แก้วโรงแรมนี้ประหลาดดีนัก ก้นมันนูนออกมา เพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่คนใช้แล้ววาง หัวใจแทบวาย เพราะมันเหมือนจะหล่น แต่ก็ไม่หล่น
เราเริ่มเดินทางจากมุกดาหารราวๆ 7.30 น. ก่อนไปถึงตรวจคนเข้าเมือง ของไทยและลาว ทุกอย่างไม่มีปัญหา แต่ต้องทำหน้าให้เหมือน passport ให้มากที่สุด อิอิ เข้าสู่เมืองสะหวันนะเขตของลาว มีคุณสมสี ไกด์ลาว มาบรรยายถึงวัฒนธรรมเมืองลาว และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศลาวและเวียดนาม คุณสมสีพูดถึงถนนหลุมช้าง ที่คนไม่เคยเมารถก็คงต้องเมากันก็คราวนี้ (แต่เราเคยเมาแล้วตอนมาวังเวียงเมื่อคราวก่อน ครอบนี้เลย ชิวชิว มั้ง) ถนนไม่น่าประหลาดใจ แต่สองข้างถนน เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมชาวลาวบริโภคถุงพลาสติกกันเยอะจัง เห็นได้ตามทุ่งนาและสองข้างทางขาวไปหมด เห็นขาวๆ นั่นคือถุงพลาสติกนะจ๊ะ ไม่ใช่ดอกผักบุ้ง ... และมีเจ้าหน้าที่จำกัดความเร็วคือ เจ้าฝูงแพะ ที่หากินแบบบุฟเฟ่ ตามสองข้างทาง คุณสมสีบอกว่า พอถึงเวลา เจ้าของก็จะมาต้อนไปเอง ไม่มีการขโมยกัน ภาพสีซีดๆ เพราะถ่ายในรถ และภูมิประเทศที่ลาวก็ค่อนข้างแห้งแล้ง
แวะกินข้าวเที่ยงที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในลาวก่อนถึงที่ด่านลาวบาว ซึ่งเป็นตรวจคนเข้าเมืองก่อนเข้าเวียดนามค่ะ ที่ร้านนี้ก็แวะแลกเงินด็อง อัตราอยู่ที่ 1 บาท : 480 ด็องค่ะ แลกไม่ต้องแยะ เพราะที่เวียดนามยินดีรับเงินบาทค่ะ เงินบาทของเราแข็งค่ะ แลกไป 500 บาท ได้พกเงินแสนเข้าเวียดนามเลยทีเดียว
ถึงแล้วด่านลาวบาว (Lao Bao) ต้องลงจากรถมา เพื่อตรวจเอกสารประมาณ 15 นาที เห็นธงชาติเวียดนาม สีแดง ดาวเหลืองปลิวไสว สีแดง คือ การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ และดาวเหลืองมีห้าแฉก มีความหมาย แต่ไกด์ไม่ยักบอก (หรือบอกแต่หลับ) แต่ตามที่ไปค้นมาคือ ชนชั้นต่างๆ ในสังคมเวียดนาม คือ นักปราชญ์ ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า และทหาร (มั้ง)
เข้าเวียดนามปุ๊บ สิ่งที่แตกต่างจากลาวอย่างสิ้นเชิงคือ ภูมิประเทศ.... ประเทศเวียดนามอุดมไปด้วยน้ำ รายล้อมด้วยทะเล ในขณะที่ลาว มีแม่น้ำใหญ่ๆ ที่สำคัญเพียงแม่น้ำโขงเท่านั้น เวียดนามจึง เขียวชะอุ่ม ฝนตกทั้งปี ลักษณะบ้าน จึงก่อด้วยด้วยอิฐ เพราะไม้จะขึ้นรา ส่วนมากจะเป็นสีเหลือง เพราะได้รับอิทธิพลจากการถูกปกครองโดยฝรั่งเศส (เกี่ยวตรงไหนบอกด้วย) หน้าจะแคบๆ ประมาณ 4 เมตรได้ บ้านสมัยเก่าจะไม่มีห้องน้ำ นิยมใช้ภูเขาเป็นฝาห้องน้ำ และท้องฟ้าเป็นหลังคาแทน ดังความนิยมอันนี้ ในเวียดนาม คนไทยจึงมักจะมีปัญหากับการหาห้องน้ำที่สะอาดตามปั้มค่ะ น้อยนักน้อยหนาจะเจอห้องน้ำที่ดีๆ เสาหน้าบ้าน 4 ต้น ความหมายคือ 4 ฤดู ในเวียดนามได้แก่ ร้อน หนาว ใบไม้ร่วง และใบไม้ผลิ เวียดนามไม่มีหน้าฝน เพราะ ฝนมันตกทั้งปี และที่น่าประหลาดคือ ข้างบ้านจะไม่ฉาบปูนหรือทาสี เหตุผล???? เพราะชาวเวียดนามเมื่อลูกชายแต่งงานจะต้องพาภรรยามาอยู่บ้านด้วยและต้องสร้างบ้านหลังใหม่ในที่ดินเดียวกัน ข้างบ้านจะต้องติดกันอยู่แล้ว จะฉาบปูนทาสีไปให้เปลืองทำไม .... แต่บ้านสมัยใหม่ ก็เริ่มมีฉาบปูนทาสีแล้ว
นี่แม่น้ำหิน จะมีชาวเผ่าที่มีลักษณะการดำเนินชีวิตคล้ายกับคนลาว ดินแดนจากด้านลาวบาวเข้ามาประมาณ 50 กิโลเมตร เมื่อก่อนเคยเป็นของลาว ที่ยกให้เวียดนาม ตอนเวียดนามช่วยรบคราวสงครามตะก่อนโน้น (ประวัติศาสตร์กระท่อนกระแท่นเต็มที) เป็นที่มาของชื่อลาวบาวด้วย
น้ำใส ... ภูเขาสวย ... เปรียบเทียบกับลาวแล้ว คนละสีเลยทีเดียว
เรามุ่งหน้าสู่เมืองเว้ (HUE) เมืองประวัติศาสตร์ของเวียดนามกลาง ต้องผ่านเมืองดองฮา (DONG HA) (ถ้าจำไม่ผิด) ส่วนสะพานอะไรต่างๆ จำชื่อยากมาก เมืองนี้ว่ากันว่า เป็นเมืองแห่งหมอกขาว ... หรืออะไรทำนองนี้
หมอกสวยๆ คลุมยอดเขา แม่น้ำก็สวย ...
ไกด์เวียดนาม ชื่อ ริน หรือ ชื่อไทย อาทิตย์ เริ่มสอนให้พูดภาษาเวียดนาม ซินจ่าว : หวัดดี, ซินโหลย : ขอโทษ, เกิม : ข้าว, เดื๊อก : น้ำ, กามเอิน : ขอบคุณ การต่อรองสินค้า บาวเยียว : เท่าไหร่, ดัก : แพง และ เบิด : ลดได้ไหม อาทิตย์พูดภาษาไทยเก่งมาก เพราะมาเรียนที่ไทยได้หลายปี แถมไม่ค่อยปิดบังข้อมูล ... กษัตริย์องค์สุดท้ายมีที่มาที่ไปอย่างไร น้องบอกหมด เป็นที่เอ็นดูแก่ป้าๆ น้าๆ ในทัวร์เป็นอย่างยิ่ง อายุไม่น่าเกิน 22-23 แต่ได้ยินมาว่า ลูกสองแล้ว เพราะชาวเวียดนามแต่งงานไว
อนุสาวรีย์อันนี้ แสดงถึงสงครามเวียดนามตามเคย แม่อุ้มลูกมองไปยังเวียดนามเหนือ รอสามีไปรบ แฉกๆ คือใบมะพร้าว ความหมาย....น่าจะเป็นต้นไม้ประจำเวียดนามอะไรสักอย่าง (โชว์โง่ตามเคย ไกด์บอกแล้ว แต่จำไม่ได้) ช่วงนี้ อากาศขมุกขมัว หยาดฝนก็โปรยมาเป็นระยะ
แม่น้ำเบนไห่ เป็นแนวเส้นรุ้งที่ 17 เริ่ดนะ สะพานนี้ สมัยก่อนเป็นแนวแบ่งประเทศเวียดนามเหนือกะใต้ ตะก่อนจะทาสีเหลืองกับสีแดง แยกระหว่างพันธมิตรกะ นปก. ยังไงยังงั้น
ตรงนี้ทะเลจีนใต้ ... วู้ ทะเล ไหนทะเล ไอ้สีเทาๆ ทึมนี่แหล่ะ ทะเลเวียดนามเขาละ แถมเจอลม เจอฝน น่ากลัวค่อดๆ สาบานว่าทะเล
แถมๆ ทะเล ที่ห่างไกลจากทะเลอันดามันบ้านเรา ฝรั่งนอนอาบแดด ร่มสีสวยๆ ทะเลสีเขียว ฟ้าสีฟ้า ... เหนือจินตนาการ
และแล้วก็ถึงอุโมงวินห์มอค เป็นอุโมงที่ชาวบ้านขุด เพื่อหลบระเบิดทหารมะกันจากสงครามเวียดนามในปี 1966 แล้วไปอาศัยในนั้นเป็นระยะเวลา 5 ปี มีเด็กเกิดในอุโมงค์นี้ถึง 17 คนแน่ะ และยังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน 16 คน มีตาคนนึงเป็นเด็กที่เกิดในอุโมงค์นี้มาต้อนรับด้วย แต่แกเป็นไบ้ละ ทางออกมี 13 ทาง 1 ในนั้น ออกไปทะเลทึมๆ ตะกี้นี้ด้วย ไม่มีภาพในอุโมงค์ เพราะกลัวมากกกก ได้แต่เดินจ้ำๆ เพื่อให้ถึงทางออกไวๆ
บรรดาเด็กๆ ที่เกิดในอุโมงค์ และที่ขำ หรือขำไม่ออกคือ เด็ก 17 คนนี้ ไม่รู้ว่าใครคือพ่อ เพราะ....อุโมงมันมืด ....
ข้างหลังนี้คืออะไร ... เดาว่า อาจจะสลักเพื่อเป็นที่ระลึกในการสร้างอุโมงค์ที่แสนยากมั้ง หรือไม่ก็ ความโหดร้ายของสงคราม ตามไกด์ไม่ทัน
เดินไปอุโมงค์ด้วยสภาพอย่างที่เห็น มีจตุคามโผล่ในเวียดนามด้วย อัศจรรย์ไหมละ
ระหว่างเดินในอุโมงค์นึกในใจ ถ้าเป็นเราอาจจะขอตายด้วยระเบิดของมะกันข้างบน น่ากลัวมากๆ แถมระหว่างทางมีไฟดับอีกตะหาก กรี๊ดกันลั่นอุโมงค์
ขึ้นจากอุโมงค์
คืนนั้นเรานอนที่เมืองเว้ โรงแรมชื่อ New star ด้วยสภาพอากาศแบบนี้ จึงยอมแพ้ไม่ออกไปเดินดูเมือง หนาวไม่เท่าไหร่ แต่แฉะเนี้ยสิ
โรงแรมที่เว้...สีแดง แรงงงงง...... เข้ากับเทศกาลปีใหม่หรือตรุษจีนพอดี พนักงานเด็กๆ ทั้งนั้น ร้องเพลงกันหนุงหนิง และตะโกน Happy New Year กัน
แคนไอเทคอะโฟโต้เฮียร์? กระท่อนกระแท่นคุยกับพนักงาน ในที่สุด ก็ได้ภาพนี้มา
เบื้องหลัง...อาหารแปลกตา...รสชาติแปลกลิ้น เฝอ...ไม่อาหร่อย
ออกจากโรงแรม 7 โมงนิดๆ เพื่อไปสู่เจดีย์วัดเทียนมุ ศาสนาพุทธที่เวียดนามจะเป็นนิกายมหายาน พระแตะผู้หญิงได้ แต่แต่งงานไม่ได้นะ อาทิตย์ไกด์เวียดนาม บอกว่า เวียดนามเป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่มีศาสนา 90% ที่เหลือเป็นพุทธมหายาน และอื่นๆ อ้าวแล้วเค้านับถืออะไร ไกด์บอกว่า นับถือบรรพบุรุษ สืบๆ ต่อกันมา วันนี้เป็นวันสิ้นปี เค้าก็เริ่มประดับตกแต่งเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
สะพานข้ามแม่น้ำหอม กลางคืนจะเปิดไฟสลับถึง 5 สีแน่ะ กล่าวว่าตะก่อน จะมีดอกไม้ชนิดนึง กลีบจะร่วงลงแม่น้ำทำให้แม่น้ำนี้หอมมมม เป็นที่มาของชื่อแม่น้ำหอม
วิวแม่น้ำหอมที่เจดีย์วัดเทียนมุ
เจดีย์วัดเทียนมุ เจดีย์ 7 ชั้น อยู่ริมแม่น้ำหอม
ดอกไม้คู่กับหญิงงอม เอ้ย งาม..... ดอกไม้สวยดี มีแต่ดอกติดกะกิ่ง ปลูกในวัด
นี่สีแดง
ดูกันชัดๆ ดอกอะไรเอ่ย...
กระถางหย่ายกับเจดีย์ 7 ชั้น
บรรยากาศในวัด หนาว และแฉะ
ประดับวันปีใหม่ เบญจมาศ ต้องคู่กับส้มจี๊ดด้วย
ออกจากวัด เราจะมุ่งสู่เมืองดานัง... บรรยากาศเมืองเว้ ผู้คนมาจับจ่าย เพื่อฉลองวันปีใหม่ โดยเฉพาะต้นส้มและดอกเบญจมาศ ตลาดคร่ำคร่าไปด้วยมอเตอร์ไซต์ที่เสียงแตรที่แสนจะหนวกหู ว่ากันว่า มอไซต์อะไรเสีย รอได้ แต่แตร เสียไม่ได้เด็ดขาด .... หนวกหูมาก ถ้ามาอยู่เมืองไทย คงมีต่อยกันทั้งวัน ส่วนรถยนต์มีน้อย อันเนื่องมาจาก คนเวียดนามไม่นิยมซื้อของเงินผ่อนให้เป็นภาระ ดังนั้นกว่าจะเก็บเงินสดซื้อรถยนต์สักคันได้ ก็ต้องฐานะพอสมควร ที่น่าประหลาดอีกอย่างคือ รถยนต์จะวิ่งกลางเลน ย้ำว่ากลางเลน พอมีรถสวน ถึงหลบขวา เพราะที่เวียดนามจะวิ่งเลนขวาเหมือนลาว ส่วนเลนข้างๆ เอาไว้ทำไม เอาไว้ให้มอไซต์และจักรยานเป็นใหญ่ รถยนต์วิงกลางเลนจริง ออกไปพิสูจน์แล้ว ไกด์บอกว่า เวลาข้ามถนนให้หลับตาข้าม รถจะหลบเราเอง ... เพราะรถจะดูจังหวะการก้าวเท้าของเรา แต่งานนี้ไม่เชื่อไกด์ ขี้อำโคตร
ไกด์ปล่อยทัวร์ไทยลงไปช๊อปปิ้งที่ตลอดดองบา 2 ชั่วโมง ตื่นตาตื่นใจ ช๊อปเป็นมือระวิง สินค้าหลายหลาก จนไม่ได้ถ่ายรูป ..... เพราะมือไม่ว่าง ไม่ได้ใช้เงินด็องกะด็อง ร้านค้าแฮปปี้เงินบาท
โบกมือลาเมืองเว้ ชั่วคราว
เจอกันอีก 2 วันข้างหน้า
มุ่งสู่เมืองดานัง ต้องลอดผ่านอุโมงใต้ภูเขา ซึ่งกั้นระหว่างเมืองเว้และดานังออกจากกัน ระยะทางประมาณ 6.3 กิโมเมตร ใช้เวลาประมาณ 15 นาที รินหรืออาทิตย์ไกด์ของเราบอกว่า กลั้นหายใจระหว่างลอดอุโมงแล้วขอพรจะเป็นจริง ถ้าไม่ขาดใจตายไปเสียก่อน (มุกไกด์เขา อย่าไปเชื่อเลยเชียว) ไม่มีรูปอุโมงค์ เพราะไม่รู้จะถ่ายอะไร ไกด์บอกว่า ภูเขาลูกนี้ ทำให้เว้และดานังมีภูมิอากาศแตกต่างกัน เว้ จะเป็นเมืองที่เศร้าสร้อย อากาศจะทึมๆ ครึ้มๆ ตลอดปี แตกต่างจากดานัง
และ Xin Chao ดานัง ในตอนต่อไป ....
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
11 comments |
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2552 12:16:44 น. |
Counter : 9794 Pageviews. |
|
|
|