ครั้งหนึ่งแมวถูกยกขึ้นเป็นเทพเจ้า และบัดนี้มันก็ยังไม่ลืมเรื่องนั้น (หึหึ //เลียอุ้งเท้า)
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
7 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
เรื่องของคุณหมอดูลิตเติ้ล (1)

เรื่องของคุณหมอดูลิตเติ้ล
เป็นเรื่องราวชีวิตอันไม่เหมือนใครที่บ้าน และการผจญภัยน่าตื่นเต้นในต่างแดน ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์มาก่อน

ขออุทิศหนังสือนี้
แด่
เด็กๆ ทุกคน
ทั้งที่เป็นเด็กโดยอายุและโดยหัวใจ




บทที่หนึ่ง
พัดเดิลบี

กาลครั้งหนึ่งเมื่อหลายต่อหลายปีมาแล้ว เมื่อครั้งที่คุณปู่ของพวกเรายังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่นั้น มีคุณหมออยู่ท่านหนึ่ง เขาชื่อว่าดูลิตเติ้ล หรือชื่อเต็มๆ ว่าจอห์น ดูลิตเติ้ล, พ.บ. คำว่า "พ.บ." นั่นหมายความว่าเขาเป็นคุณหมอจริงๆ และมีความรู้มากมาย

เขาอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ชื่อพัดเดิลบีออนเดอะมาร์ช ทุกคนที่นั่นไม่ว่าเด็กหรือแก่ต่างรู้จักหน้าค่าตาเขาเป็นอย่างดี และเมื่อไรที่เขาใส่หมวกทรงสูงเดินไปตามถนน ทุกคนก็จะพากันพูดว่า “นั่นไงล่ะคุณหมอ! เขาเป็นคนฉลาดมากนะ” แล้วพวกหมาและเด็กๆ ก็จะพากันวิ่งตามเขาเป็นพรวน แม้แต่กาที่อาศัยอยู่ที่หอคอยโบสถ์ก็ยังส่งเสียงร้องและผงกหัว

บ้านชานเมืองหลังที่เขาอาศัยอยู่นั้นค่อนข้างเล็ก แต่สวนของเขาใหญ่มาก มีสนามหญ้ากว้างกับม้านั่งหิน และมีต้นหลิวย้อยให้ร่มเงาอยู่ ซาร่าห์ ดูลิตเติ้ล พี่สาวของเขาเป็นคนดูแลบ้านให้ แต่คุณหมอจะเป็นคนดูแลสวนเอง

เขาชอบสัตว์มาก เลี้ยงสัตว์ไว้มากมายหลายชนิด นอกจากปลาทองในบ่อที่อยู่ในสวนแล้ว เขายังมีกระต่ายในห้องเก็บอาหาร มีหนูขาวในเปียโน กระรอกตัวหนึ่งในตู้เก็บผ้าปูที่นอน และเม่นอีกตัวในห้องใต้ดิน เขามีแม่วัวที่มีลูกอ่อนด้วย และมีม้าแก่ขาเป๋อายุยี่สิบห้าปี และไก่ และนกพิราบ และลูกแกะสองตัว และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย แต่สัตว์ที่เขาโปรดปรานมากที่สุดคือเจ้าเป็ดแด๊บแด๊บ เจ้าหมาจิพ ลูกหมูกั๊บกั๊บ โพลินีเชียนกแก้ว และทูทูนกฮูก

พี่สาวเขามักจะบ่นเรื่องสัตว์พวกนี้และพูดว่าพวกมันทำให้บ้านรกไม่มีระเบียบ แล้ววันหนึ่งเมื่อสุภาพสตรีชราผู้เป็นโรคไขข้ออักเสบมาหาคุณหมอ เธอก็นั่งลงบนเม่นที่นอนหลับอยู่บนโซฟา และไม่ยอมกลับมาหาเขาอีกเลย แต่ทุกวันเสาร์จะนั่งรถไปจนถึงอ็อกเซนโทรป เมืองที่อยู่ไกลออกไปสิบไมล์เพื่อหาหมอคนอื่นแทน

ถึงตอนนี้ซาร่าห์ ดูลิตเติ้ล ผู้เป็นพี่สาวก็พูดกับเขาว่า

“จอห์น เธอคิดจะให้คนไข้มาหาทั้งๆ ที่เลี้ยงสัตว์พวกนี้ไว้ในบ้านได้อย่างไรกัน หมอดีๆ ที่ไหนเขาจะมีเม่นกับหนูเต็มห้องกันบ้าง! นั่นเป็นคนที่สี่ที่สัตว์พวกนี้ไล่ไปแล้วนะ ทนายเจนกิ้นส์กับท่านบาทหลวงบอกว่าจะไม่มาใกล้บ้านเธออีกเลย ไม่ว่าจะป่วยแค่ไหนก็ตาม เรายากจนลงทุกวันแล้วนะ ถ้าเธอยังเป็นอย่างนี้ต่อไปก็จะไม่มีคนดีๆ ที่ไหนยอมมาให้เธอรักษาอีก”

"แต่ผมชอบสัตว์มากกว่าพวก ‘คนดีๆ’ นี่” คุณหมอพูด

“เธอนี่บ้ามาก” พี่สาวเขาพูดและเดินออกจากห้องไป

ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไป คุณหมอก็ยิ่งมีสัตว์มากขึ้นและมากขึ้น และคนที่มาหาเขาก็น้อยลงและน้อยลง จนสุดท้ายก็ไม่มีใครเหลือเลย นอกจากคนขายเศษเนื้อสำหรับเป็นอาหารแมวที่ยอมรับสัตว์ได้ทุกชนิด แต่คนขายเศษเนื้อก็ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก และเขาก็ป่วยปีละครั้งเท่านั้น คือในตอนคริสต์มาส ซึ่งเขาจะให้คุณหมอหกเพนนีเป็นค่ายาหนึ่งขวดเป็นประจำ

เงินหกเพนนีต่อปีนั้นไม่พอให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ แม้แต่ในสมัยนั้นที่นานมาแล้วก็ตาม และถ้าหากคุณหมอไม่ได้มีเงินส่วนหนึ่งสะสมไว้ในกล่องเก็บเงินแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ได้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

และเขาก็ยังคงมีสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องใช้เงินมากมายในการเลี้ยงดูพวกมัน และเงินที่เขาสะสมไว้ก็เหลือน้อยลงทุกทีๆ

ถึงตอนนั้นเขาก็ขายเปียโน และให้พวกหนูไปอาศัยในลิ้นชักโต๊ะทำงานแทน แต่เงินที่ขายเปียโนได้มานั้นก็เริ่มหมดไปด้วยเช่นกัน เขาจึงขายสูทสีน้ำตาลที่ใช้สวมในวันอาทิตย์ และก็ยังคงจนลงเรื่อยๆ

พอถึงตอนนี้ เวลาที่เขาสวมหมวกทรงสูงเดินไปตามถนน ผู้คนก็จะพูดกันว่า “นั่นไงจอห์น ดูลิตเติ้ล, พ.บ.! ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นหมอที่โด่งดังที่สุดในแถบเวสต์คันทรี แล้วดูเขาตอนนี้สิ เขาไม่มีเงินเลย ถุงเท้าที่ใส่ก็มีแต่รู!”

แต่พวกหมาและแมวและพวกเด็กๆ ก็ยังคงวิ่งตามเขาไปทั่วเมืองเหมือนกับที่เคยทำตอนเขายังร่ำรวยอยู่ดี


บทที่สอง
ภาษาสัตว์

เรื่องเกิดขึ้นวันหนึ่งเมื่อคุณหมอนั่งคุยกับคนขายเศษเนื้ออยู่ในครัว เขามาหาหมอเพราะปวดท้อง

“ทำไมหมอไม่เลิกเป็นหมอรักษาคน แล้วมาเป็นหมอรักษาสัตว์แทนล่ะครับ” คนขายเศษเนื้อถาม

ตอนนั้นนกแก้วโพลินีเชียกำลังนั่งมองสายฝนอยู่ที่หน้าต่างพลางร้องเพลงชาวเรือให้ตัวเองฟังเงียบๆ เธอหยุดร้องเพลงและเริ่มเงี่ยหูฟัง

“ใช่ไหมล่ะหมอ” คนขายเศษเนื้อพูดต่อไป “หมอรู้เรื่องสัตว์ทุกอย่าง รู้มากกว่าพวกสัตวแพทย์เสียอีก หนังสือที่หมอเขียนเล่มนั้น เรื่องแมวน่ะครับ มันยอมเยี่ยมมากเลย! ผมเองน่ะอ่านเขียนไม่ได้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นผมนี่แหละจะเขียนหนังสือบ้าง แต่เธโอโดเซีย ภรรยาผมน่ะ เธอเป็นคนคงแก่เรียน จริงๆ นะครับ แล้วเธอก็อ่านหนังสือของหมอให้ผมฟัง แหม มันวิเศษมากเลย ต้องพูดอย่างนั้นจริงๆ นะครับ วิเศษมากเลย อย่างกับหมอเป็นแมวเองแน่ะ หมอรู้ว่าเขาคิดยังไง แล้วฟังนะครับ ถ้ารักษาสัตว์หมอก็สามารถหาเงินได้เยอะแยะด้วย หมอรู้หรือเปล่า นี่แน่ะ ผมจะส่งคุณผู้หญิงแก่ๆ ทั้งหลายที่มีแมวหรือหมาป่วยมาให้หมอ แล้วถ้าเกิดยังป่วยไม่เร็วพอ ผมก็จะใส่อะไรลงไปในเนื้อที่ขายให้พวกนั้น เขาจะได้ป่วยกัน ดีไหมล่ะ”

“โอย อย่านะ” คุณหมอรีบพูด “คุณอย่าทำอย่างนั้นนะ มันไม่ถูกต้อง”

“โธ่ ผมไม่ได้หมายถึงป่วยจริงๆ” คนขายเศษเนื้อตอบ “ที่ผมพูดถึงคือแค่อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำให้พวกเขาดูซึมๆ ไปเท่านั้น แต่ก็อย่างที่หมอพูดแหละครับ มันอาจจะไม่ยุติธรรมกับพวกสัตว์ก็ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องป่วยกันอยู่ดี เพราะพวกคุณผู้หญิงแก่ๆ พวกนั้นชอบให้อาหารเขามากเกินไป แล้วก็นี่แน่ะหมอ ชาวนาทุกคนแถวๆ นี้ที่มีม้าขากระเผลกและลูกแกะอ่อนแอก็จะมาหาหมอกันทั้งนั้น เป็นหมอรักษาสัตว์เถอะครับ”

พอคนขายเศษเนื้อจากไปแล้ว เจ้านกแก้วก็บินขึ้นจากหน้าต่างมาจับที่โต๊ะของคุณหมอ และพูดขึ้นว่า

“ผู้ชายคนนั้นก็พูดถูกนะคะ นั่นแหละที่หมอควรจะทำ เป็นคุณหมอของสัตว์เถอะค่ะ อย่าไปสนใจพวกคนงี่เง่าเลยถ้าพวกนั้นไม่มีสมองมากพอจะรู้ว่าหมอเป็นหมอที่ดีที่สุดในโลก มารักษาสัตว์แทนเถอะค่ะ ไม่ช้าพวกเราก็จะรู้เรื่องนั้นเอง เป็นหมอรักษาสัตว์เถอะค่ะ”

“แต่ว่าก็มีหมอรักษาสัตว์อยู่ตั้งเยอะแยะแล้วนี่นา” จอห์น ดูลิตเติ้ลพูดพลางเอากระถางต้นไม้วางไว้ที่นอกขอบหน้าต่างเพื่อให้ได้น้ำฝน

“จริงค่ะ มีเยอะแยะเลย” โพลินีเชียพูด “แต่ไม่มีใครใช้ได้เลยสักคนเดียว ฟังนะคะคุณหมอ ฉันจะเล่าทุกอย่างให้หมอฟัง หมอทราบไหมคะว่าสัตว์พูดได้”

“ฉันรู้ว่านกแก้วพูดได้” คุณหมอว่า

“ค่ะ นกแก้วอย่างเราพูดได้สองภาษา คือภาษามนุษย์และภาษานก” โพลินีเชียพูดอย่างภูมิใจ “ถ้าฉันพูดว่า ‘พอลลี่อยากได้ขนมปังกรอบค่ะ‘ หมอก็จะเข้าใจฉัน แต่ฟังนี่นะคะ คา-คา ออย-อี เฟ-เฟ?”

“ตายจริง” คุณหมอร้อง “นั่นมันแปลว่าอะไรกันน่ะ”

“มันแปลว่า ‘ข้าวต้มร้อนหรือยัง’ ในภาษานกค่ะ”

“โอ้! เธอไม่เคยพูดอย่างนี้นี่นา!” คุณหมอว่า “เธอไม่เคยพูดอย่างนั้นกับฉันมาก่อนเลย”

“ก็พูดไปแล้วจะได้อะไรล่ะคะ” โพลินีเชียพูดพลางปัดเศษขนมปังกรอบออกจากปีกซ้าย “ถึงพูดไปหมอก็ไม่เข้าใจฉันอยู่ดี”

“บอกฉันอีกหน่อยสิ” คุณหมอพูดอย่างตื่นเต้นจริงๆ แล้วเขาก็รีบวิ่งไปที่ลิ้นชักตู้ถ้วยชาม และหยิบสมุดสั่งเนื้อและดินสอมา “อย่าไปเร็วนักนะ ฉันจะจดลงไป นี่น่าสนใจมาก น่าสนใจมากๆ เลย เป็นเรื่องใหม่จริงๆ บอกอักษรเอบีซีของนกมาก่อนนะ ช้าๆ ล่ะ”

และอย่างนี้เองคุณหมอจึงได้รู้ว่าสัตว์ต่างๆ มีภาษาเป็นของตัวและสามารถพูดคุยกันได้ แล้วตลอดบ่ายวันนั้น ระหว่างเวลาที่ฝนตก โพลินีเชียก็นั่งอยู่บนโต๊ะในครัวและบอกคำในภาษานกให้หมอจดลงในสมุด

แล้วเมื่อถึงเวลาน้ำชา หมาจิพก็เข้ามา นกแก้วก็พูดกับคุณหมอว่า “ดูสิคะ เขากำลังพูดกับคุณหมอแน่ะค่ะ”

“แต่ฉันดูว่าเขากำลังเกาหูอยู่มากกว่านะ” คุณหมอว่า

“แต่พวกสัตว์ไม่จำเป็นต้องพูดด้วยปากเสมอไปหรอกนะคะ” เจ้านกแก้วพูดเสียงสูง และเลิกคิ้ว “พวกเขาจะพูดกันด้วยหู ด้วยเท้า ด้วยหาง ด้วยทุกอย่างเลยล่ะค่ะ บางครั้งเขาก็ไม่อยากจะทำเสียงดังไปหรอกค่ะ ตอนนี้หมอเห็นไหมคะว่าเขากำลังขยับจมูกข้างหนึ่งอยู่”

“แล้วนั่นแปลว่าอย่างไรหรือ” คุณหมอถาม

“แปลว่า ‘หมอไม่เห็นหรือครับว่าฝนหยุดแล้ว’ “ โพลินีเชียตอบ “เขากำลังถามคำถามหมอน่ะค่ะ ส่วนใหญ่แล้วหมาจะถามคำถามด้วยจมูกเกือบตลอดเวลาเลย”

ด้วยความช่วยเหลือของนกแก้ว คุณหมอก็เรียนรู้ภาษาของสัตว์ต่างๆ ได้อย่างดีจนสามารถพูดคุยกับพวกมันได้ด้วยตัวเอง และเข้าใจทุกสิ่งที่พวกมันพูดในเวลาไม่นาน เมื่อนั้นเขาก็เลิกเป็นหมอรักษาคนไปโดยสิ้นเชิง

ทันทีที่คนขายเศษเนื้อได้บอกทุกคนว่าจอห์น ดูลิตเติ้ลกำลังจะเป็นหมอรักษาสัตว์ พวกคุณสุภาพสตรีแก่ๆ ก็เริ่มนำหมาจูและหมาพูเดิลที่กินเค้กมากเกินไปมาหาเขา และชาวนาก็เอาวัวและแกะที่ป่วยเดินทางหลายๆ ไมล์มาหาเขา

วันหนึ่งมีคนนำม้าไถนามาหาเขา เจ้าสัตว์ที่น่าสงสารนั้นแสนจะดีใจที่ได้พบคนที่สามารถพูดคุยด้วยภาษาม้าได้

”รู้ไหมครับคุณหมอ” ม้าตัวนั้นพูด “สัตว์แพทย์ที่อีกฟากเขานั่นไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขารักษาผมมาตั้งหกอาทิตย์แล้ว ด้วยโรคข้อเท้าบวม ทั้งที่สิ่งผมต้องการก็คือแว่นตา ตาผมข้างหนึ่งจะบอดอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลเลยว่าทำไมม้าจึงไม่ควรใส่แว่นตาเหมือนๆ กับมนุษย์ แต่ตาโง่ที่อีกฟากเขานั่นไม่เคยแม้แต่จะมองดูตาผมเลย เขาเอาแต่ให้ยาเม็ดโตๆ กับผม ผมพยายามบอกเขาแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจภาษาม้าเลยแม้แต่คำเดียว สิ่งที่ผมต้องการก็คือแว่นตา”

“ใช่แล้วๆ” คุณหมอพูด “ฉันจะหาให้เธอสักอันเดี๋ยวนี้แหละ”

“ผมอยากจะได้อันที่เหมือนของคุณหมอน่ะครับ” ม้าตัวนั้นพูด “เพียงแต่ต้องเป็นสีเขียว มันจะได้กันแสงอาทิตย์ไม่ให้เข้าตาตอนที่ผมไถทุ่งนาห้าสิบเอเคอร์”

“แน่นอนล่ะ” คุณหมอพูด “เธอจะได้อันสีเขียว”

“คุณหมอรู้ไหมครับ ปัญหาก็คือ” ม้าไถนาพูดขณะที่คุณหมอเปิดประตูหน้าเพื่อให้มันเดินออกไป “ปัญหาก็คือใครๆ ก็คิดกันว่าตัวเองสามารถรักษาสัตว์ได้ เพียงเพราะว่าพวกสัตว์ไม่บ่นเท่านั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วคนที่จะเป็นคุณหมอรักษาสัตว์ที่ดีจริงๆ ได้ต้องเป็นคนที่ฉลาดกว่าคนที่เป็นหมอรักษาคนมาก ลูกชายของชาวนาของผมคิดว่าตัวเองรู้เรื่องม้าทุกอย่างแล้ว ผมอยากให้คุณหมอไปเห็นเขาจัง หน้าเขาอ้วนเสียจนมองไม่เห็นตา แล้วเขาก็มีสมองมากพอๆ กับแมลงเจาะมันฝรั่ง เขาพยายามจะปิดพลาสเตอร์ยามัสตาร์ดใส่ผมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วแน่ะ”

“เขาปิดมันลงตรงไหนหรือ” คุณหมอถาม

“อ๋อ เขาไม่ได้ปิดตรงไหน...บนตัวผมหรอกครับ” ม้าว่า “เขาแค่พยายามเท่านั้นแหละ ผมแตะเขาตกสระเป็ดไปก่อน”

“โธ่เอ๋ย โธ่เอ๋ย!” คุณหมอพูด

“ปกติแล้วผมเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างสงบนะครับ” ม้าพูด “อดทนกับคนมาก ไม่จุกจิกจู้จี้ แต่แค่มีสัตวแพทย์มาให้ยาผิดนี่ก็แย่พออยู่แล้ว และพอเจ้าโง่หน้าแดงนั่นเริ่มมายุ่งอะไรกับผมอีก ผมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”

“เธอทำให้เด็กนั่นเจ็บมากหรือเปล่าน่ะ” คุณหมอถาม

“โอย เปล่าเลยครับ” ม้าพูด “ผมเตะเขาถูกที่มากครับ ตอนนี้สัตวแพทย์กำลังดูแลเขาอยู่ แว่นตาของผมจะเสร็จเมื่อไหร่ครับ”

“ฉันจะเอาให้เธออาทิตย์หน้า” คุณหมอพูด “กลับมาอีกครั้งวันอังคารนะ สวัสดี”

จากนั้นจอห์น ดูลิตเติ้ลก็หาแว่นตาสีเขียวอันใหญ่สวยงามมาได้ และตาของม้าไถนาข้างนั้นก็หยุดเสื่อม และมองเห็นได้ชัดเจนเหมือนก่อนหน้านี้

และไม่ช้าก็เป็นเรื่องปกติที่จะได้เห็นสัตว์ในไร่นาชนบทรอบๆ พัดเดิลบีสวมแว่นกัน และม้าตาบอดก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้จักอีกเลย

และสัตว์อื่นๆ ที่ถูกพามาหาเขาก็เป็นเช่นนั้นด้วย ทันทีที่พบว่าเขาสามารถพูดภาษาของตัวได้ พวกมันก็พากันบอกเขาว่าเจ็บตรงไหนและรู้สึกอย่างไร และแน่นอนว่าทำให้เขารักษาพวกมันได้ง่ายขึ้นมาก

ทีนี้สัตว์พวกนี้ทั้งหมดก็กลับไปบอกพี่น้องและเพื่อนว่ามีคุณหมอในบ้านหลังเล็กที่มีสวนกว้างใหญ่ซึ่งเป็นหมอแท้ๆ และทุกครั้งที่มีสัตว์ตัวไหนล้มป่วย ไม่ใช่แค่ม้ากับวัวและหมาเท่านั้น แต่รวมถึงบรรดาสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายในท้องทุ่ง อย่างหนูเก็บข้าวและหนูน้ำ ตัวแบดเจอร์และค้างคาว ต่างก็พากันมาที่บ้านของเขาตรงชานเมืองในทันที ดังนั้นสวนกว้างใหญ่ของเขาจึงแทบจะแออัดไปด้วยสัตว์ที่พยายามหาทางเข้าไปหาเขาอยู่เกือบตลอดเวลา

มีสัตว์มามากมายจนเขาต้องทำประตูพิเศษสำหรับสัตว์แต่ละชนิดโดยเฉพาะ เขาเขียนคำว่า “ม้า” ที่เหนือประตูหน้า “วัว” เหนือประตูข้าง และ “แกะ” บนประตูครัว สัตว์แต่ละชนิดจะมีประตูแยกต่างหากของตัวเอง แม้แต่หนูก็มีอุโมงค์น้อยๆ สร้างเข้าไปในห้องใต้ดินให้ เพื่อที่พวกมันจะได้ตั้งแถวนั่งรออย่างอดทนที่นั่น รอให้คุณหมอแวะมาตรวจ

และดังนั้นภายในเวลาไม่กี่ปี สิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่ไกลออกไปหลายต่อหลายไมล์ต่างก็รู้เรื่องจอห์น ดูลิตเติ้ล, พ.บ. และนกที่บินไปประเทศอื่นในฤดูหนาวก็บอกพวกสัตว์ในดินแดนต่างถิ่นถึงคุณหมอชั้นยอดแห่งพัดเดิลบีออนเดอะมาร์ช ผู้ซึ่งสามารถเข้าใจคำพูดของพวกมันและช่วยเหลือแก้ไขความเดือดร้อนให้ได้ ด้วยวิธีนี้เขาจึงโด่งดังในหมู่สัตว์ และดังไปทั่วโลกทีเดียว ยิ่งกว่าที่เคยเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวเวสต์คันทรี่เสียอีก และเขาก็มีความสุขและชอบชีวิตของตัวเองอย่างมาก

บ่ายวันหนึ่งตอนที่คุณหมอกำลังเขียนหนังสือยุ่งอยู่ โพลินีเชียก็นั่งตรงหน้าต่างมองใบไม้ปลิวไปมาอยู่ในสวนอย่างที่เคยทำเสมอ แล้วจู่ๆ มันก็หัวเราะออกมาดังๆ

“อะไรหรือโพลินีเชีย?” คุณหมอถามพลางเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ

“ฉันแค่คิดน่ะค่ะ” นกแก้วพูด แล้วก็มองดูใบไม้ต่อไป

“เธอคิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”

”ฉันกำลังคิดเรื่องผู้คนน่ะค่ะ” โพลินีเชียพูด ”ผู้คนทำให้ฉันสะอิดสะเอียน พวกเขาคิดว่าตัวเองวิเศษนัก โลกนี้มีมาเป็นเวลาพันๆ ปีแล้วใช้ไหมคะ แล้วอย่างเดียวในภาษาสัตว์ที่คนเรียนรู้ที่จะเข้าใจก้คือเมื่อหมากระดิกหางหมายความว่า ‘ฉันดีใจ!’ เท่านั้นเอง ตลกใช่ไหมล่ะคะ หมอเป็นคนแรกนะคะที่พูดเหมือนเรา โอย บางทีผู้คนก็ทำให้ฉันรำคาญที่สุดเลย ดูท่าทางหัวสูงที่พวกเขาทำกันสิ เขาพูดกันถึง ‘พวกสัตว์ไม่รู้ประสา’ ไม่รู้ประสา! เชอะ! แล้วทำไมฉันถึงรู้จักนกแก้วมาคอว์ที่พูด ‘อรุณสวัสดิ์!’ ได้ตั้งเจ็ดวิธีโดยไม่ต้องอ้าปากเลยได้ล่ะ เขาพูดได้ทุกภาษาเลยนะคะ ภาษากรีกด้วย ศาสตราจารย์แก่ๆ เคราสีเทาคนหนึ่งซื้อเขาไป แต่เขาไม่อยู่ด้วยหรอกนะคะ เขาบอกว่าตาเฒ่านั่นพูดกรีกไม่ถูก แล้วเขาก็ทนฟังเขาสอนภาษานั้นผิดๆ ไม่ได้ด้วย ฉันสงสัยอยู่บ่อยๆ นะคะว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงไปแล้ว นกตัวนั้นรู้ภูมิศาสตร์มากกว่าที่คนจะรู้ได้อีกนะคะ คน ต๊ายตาย! ฉันว่าถ้าคนสามารถเรียนรู้วิธีบินได้จริงๆ บินเหมือนนกกระจอกพุ่มไม้ธรรมดาทุกตัวเท่านั้นน่ะค่ะ เราคงต้องฟังพวกเขาคุยโตไม่มีวันจบแน่!”

“เธอเป็นนกอาวุโสที่มีปัญญามาก” คุณหมอพูดขึ้น “จริงๆ แล้วเธออายุเท่าไรแล้วล่ะ? ฉันรู้ว่าบางทีนกแก้วและช้างก็มีชีวิตอยู่ยืนยาวมากๆ เลย”

“ฉันไม่มีทางแน่ใจอายุตัวเองได้เลยค่ะ” โพลินีเชียพูด “มันอาจจะเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบสามหรือหนึ่งร้อยแปดสิบสองก็ได้ แต่ฉันรู้ว่าเมื่อฉันจากแอฟริกามาที่นี่ครั้งแรก พระเจ้าชาร์ลส์ยังทรงซ่อนอยุ่ในต้นโอ๊คอยู่เลย เพราะฉันเห็นพระองค์ ท่าทางทรงกลัวแทบตายแน่ะ”



Create Date : 07 สิงหาคม 2551
Last Update : 7 สิงหาคม 2551 20:29:07 น. 4 comments
Counter : 1069 Pageviews.

 
"แต่ผมชอบสัตว์มากกว่าพวก ‘คนดีๆ’ นี่” คุณหมอพูด

อา...นั่นสินะ


โดย: ทินา IP: 210.203.178.134 วันที่: 7 สิงหาคม 2551 เวลา:20:48:40 น.  

 
ยาวไปป่ะคะ จะได้ตัดมาทีละตอน


โดย: the grinning cheshire cat วันที่: 7 สิงหาคม 2551 เวลา:20:55:15 น.  

 
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ
จำได้ว่าอ่านตอนเด็กๆ จินตนาการบรรเจิด
อยากให้ถึงตอนออกเรือเร็วๆ จัง


โดย: Guga วันที่: 9 สิงหาคม 2551 เวลา:12:45:32 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะที่นำเสนอเรื่องนี้


โดย: ju IP: 58.9.29.61 วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:21:32:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

the grinning cheshire cat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ปีศาจแมวอายุ 1,700 ปี บำเพ็ญตบะจนแปลงร่างเป็นคนได้ กำลังศึกษาวิถีชีวิตแบบมนุษย์ แต่รู้สึกว่ายากจัง เพราะยังคิดอะไรแบบแมวๆ อยู่เลย
Photobucket LMJ recommends


Photobucket
เต๋าแบบหมีพูห์ (The Tao of Pooh)
Benjamin Hoff เขียน
มนต์สวรรค์ จินดาแสง แปล
มติชน พิมพ์

หนังสือ Tao (หรือ Dao) spin-off ที่ไม่งี่เง่า และคนเขียนรู้จริงจริงๆ ทั้งเรื่องเต๋าและเรื่องหมี

Photobucket
ฅ.คน ฉบับ 41 มี.ค. 52

เจ้าหญิงพอลล่า:
หัวใจเธอมันน่ากราบ
กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง:
ยังไงปลาทูก็เจ๋งกว่าโรงถลุงเหล็ก
สัมภาษณ์อ. นิธิ เอียวศรีวงศ์:
ฉบับลำแต้ๆ

เมฆาสัญจร
เมฆาสัญจร (Cloud Atlas)
เดวิด มิทเชลล์ เขียน
จุฑามาศ แอนเนียน แปล
มติชน พิมพ์

เหนือคำบรรยาย (เพราะตัดสินใจเลือกคำบรรยายไม่ถูก ฮา)

ยูโทเปีย และ 1984
ยูทเปีย
เซอร์โธมัส มอร์ เขียน
สมบัติ จันทรวงศ์ แปล
1984
จอร์จ ออร์เวลล์ เขียน
รัศมี เผ่าเหลืองทอง
และ
อำนวยชัย ปฏิพัทธเผ่าพงษ์ แปล
สมมติ พิมพ์

หนังสือเปิดหูเปิดตาระดับตัวพ่อ แถมปกสวยระดับตัวแม่อีกต่างหาก โอ๊ว

เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ
เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ
(The God of Small Things)
อรุณธตี รอย เขียน
สดใส แปล
โครงการสรรพสาส์น
ของสำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก พิมพ์

เรื่องเล่าโค-ตะ-ระอัศจรรย์จากอินเดีย

นายธนาคารเพื่อคนจน
นายธนาคารเพื่อคนจน
โมฮัมหมัด ยูนุส เขียน
สฤณี อาชวานันทกุล แปล
มติชน พิมพ์

อัตชีวประวัติฉบับกึ่งสุขกึ่งเศร้า บางครั้งก็เกือบเคล้าน้ำตา ของหนุ่มนักเรียนนอก กับธนาคารหลังคามุงหญ้า (บานประตูก็ไม่มี) ของเขาและลูกศิษย์ ที่หาญกล้าพุ่งชนทุกอย่างเพื่อให้ผู้หญิงจนๆ จำนวนมากในบังคลาเทศยืนหยัดด้วยขาของตัวเองได้

(อันที่จริงเราควรจะแนะนำว่า นี่เป็นหนังสืออัตชีวประวัติของนักเศรษฐศาสตร์ที่แก้ปัญหาความยากจนในบังคลาเทศจนได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2006 แต่ม่ายอ่ะ ทำงั้นแล้วจะได้อะไร คุณจะรู้เหรอว่าหนังสือเล่มนี้ทั้งสนุกเป็นบ้าและ insightful ขนาดไหน กริๆ)



I'm reading




Potjy's currently-reading book recommendations, reviews, favorite quotes, book clubs, book trivia, book lists


100+ TBR 2010



2010 reading goal

Friends' blogs
[Add the grinning cheshire cat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.