"เมื่อพูดถึงคำว่าความรักแล้ว ในใจของผมก็ผลุดคำว่า 'ความไว้วางใจ' ขึ้นมา แล้วจากนั้นคำว่า 'บาดแผล' ก็ตามมา"
คำตอบนี้ของJun. K น่าจะคือคำอธิบายของความหมาย Love & Hate ได้เห็นภาพชัดขึ้น ในความรักมีความเกลียดชังตามติดมาอยู่ไม่ไกล
ในฐานะเมนจุนเคก็รอมานานกับโซโล่อัลบั้มของพ่อหนุ่มคนนี้ พูดตรงๆคือพอด้งออกโซโล่ออกมา ใจก็อดสะท้อนสะเทือนไม่ได้
พูดโดยไร้ความเกรงใจก็คือในฐานะเมนเป็นหลีดโวคอลแบบนี้ ใจเราก็หวังว่าจุนเคจะได้ออกโซโล่เป็นคนแรก
แต่ก็เข้าใจเรื่องการตลาด เศรษฐกิจและสังคมดี
หลังพอทำใจได้ไม่นานก็ตามมาด้วยโซโล่โฮต่อ เหมือนโดนฆ้อนเก้าสิบเก้าปอนด์ทุบหัวเด้งแจ๊คพ๊อตกระโจน
คราวนี้ไม่น้อยใจละ เหลือแต่มองเมนโฮตาละห้อย ชักปลง
การตลาด เศรษฐกิจและสังคมอีกรอบ
ใจเริ่มคิดหรือว่าJYPeกะให้เมนจุนเคเรี่ยไรเงินทำอัลบั้มโซโล่จุนเคหลังออกจากกรม ไม่เป็นไรเริ่มปลอบปนหลอกตัวเอง จะไ้ด้มีเวลาเก็บเงินนานหน่อยละกัน
พอประชดได้ที่กำลังกินอร่อย โซนี่เจแปนก็ประกาศโซโล่จุนเคท้ายคอนที่ญี่ปุ่น ภาพคนในคอนที่น้ำตาร่วงเป็นเม็ดฝนเกลื่อนทั่วฮอลล์แบบนั้นคือความรู้สึกของเมนจุนเคอย่างเรา ของขวัญที่คิดว่าอาจไม่มีวันได้มาแต่สุดท้ายกลับร่วงลงสู่มืออย่างไม่คาดฝัน ตัวเราเองตอนนั่งดูครั้งแรก มือจิกกำจนแน่น ตาที่ปิดลงรับรู้ถึงน้ำตาที่คลออยู่ในนั้น ลมหายใจที่สูดลึกคือการรอคอยทั้งหมดตลอดมา
และคือความดีใจแทนจุนเค ในที่สุดผู้ชายหัวใจดนตรีคนนี้ก็จะได้มีโซโล่เป็นของตัวเองจนได้
และคือความโล่งใจ...ในที่สุด ในที่สุด
Love & Hate เนื้อร้องและทำนองทั้ง 5 (หรือจะว่า 8 ในเวอร์ชั่น B) โดย Jun. K อาจจะเรียกว่าเป็นฝีมือจุนเคล้วนๆก็คงไม่ได้ คือยกเว้นเพลง No Music No Life กับ 手紙を書く แล้ว เพลงที่เหลือมีคนอื่นมีส่วนช่วยทำทำนองด้วยทั้งสิ้น
การที่อัลบั้มโซโล่นี้เป็นภาษาญี่ปุ่น จึงต้องมีคนแต่งเนื้อเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกทอด ซึ่งจะว่าไปมันก็น่าเสียดายตรงนี้ คือเราในฐานะที่ถึงจะไม่เข้าใจทั้งภาษาญี่ปุ่นและเกาหลีก็ยังอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ เสียดายตรงที่ถ้อยคำในเพลงไม่ใช่ถ้อยคำที่เจ้าของเพลงเป็นผู้เลือกสรรมาใช้เองแต่ต้องผ่านกระบวนการแปลมาอีกทอดหนึ่ง คนเสพเพลงจะไ่ม่ได้เห็นความลึกของถ้อยคำ ไม่เห็นจังหวะของถ้อยคำที่สอดคล้องกับจังหวะของทำนองที่เจ้าของเพลงคิดวางเอาไว้
(ซึ่งนี่คือความเสียเปรียบอย่างน่าเจ็บใจของคนเสพเพลงที่ไม่อาจรู้ภาษาเดียวกับเจ้าของเพลงอย่างเลี่ยงไม่ได้)
จุนเคได้พูดถึงส่วนนี้เอาไว้เหมือนจะเข้าใจหัวใจคนฟังเพลงเหมือนกัน เขาพูดถึงการแปลเนื้อเพลงไปเป็นภาษาญี่ปุ่นไว้ว่า
"มีการปรับเปลี่ยนการแปลอยู่หลายต่อหลายครั้งเพื่อที่แม้แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้ถูกถ่ายทอดออกมาให้ตรงมากที่สุด"
ความคาดหวังจากคนฟังเพลงที่ศิลปินบอกไว้ว่าทำเพลงด้วยตัวเองทั้งหมด ส่วนหนึ่งในใจก็อดสะดุดไม่ได้หรอกเมื่อเห็นว่าเนื้อเพลงนั้นเกิดจากการแปลมาอีกทอดหนึ่ง แต่พอได้รับการอธิบายแบบนี้แล้วก็แสดงให้เห็นว่าศิลปินไม่ได้หลงลืมมองข้ามรายละเอียดส่วนที่ไม่เล็กน้อยนี้ไป
การจะชี้ชัดว่าแนวเพลงอัลบั้มนี้คือแนวไหนดูจะเป็นเรื่องยาก ไม่ต่างจากอัลบั้มของศิลปินยุคนี้หรอก สมัยนี้ถือว่าเป็นยุคมนุษย์multitasking ชอบทำอะไรหลายๆอย่างไปพร้อมกัน ชอบอะไรหลายๆแนว แล้วพออยากแสดงตัวตนก็เลือกยากว่าชอบอะไรกันแน่ ก็เลยเหมาโหลกยกเข่งมันซะเลย
แต่ถ้าลองชำแระอัลบั้มอย่างตั้งใจจริงแล้วคงบอกได้ว่ามีแนวเพลงR&Bเป็นไลน์อยู่ ฟังจากกรูฟที่ใช้blue notes ตามนิสัยติดตัวของจุนเคนั่นล่ะ ถือเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวก็ว่าได้
สำหรับคนฟังเพลงแนวblack music ฝั่งอเมริกาบ่อยๆคงพอจับได้ถึงกลิ่นblack music จ๋าของหลายๆเพลงในอัลบั้มนี้ได้ โดยเฉพาะเพลง Mr. Doctor (มันคือไวยากรณ์อะไรครับคุณพี่คิม) นั่นเรียกได้ว่าเป็นแนว trap music อย่างที่พอฟังครั้งแรกแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าจุนเคสนใจแนวเพลงนี้ด้วยงั้นหรือ?
เพราะจากที่มองแนวเพลงของจุนเคมาก็หลงนึกว่าเป็นพวก east coast hip hopมากกว่า แต่กับtrap music นี่จะเป็นของทาง southern coast คือมีจังหวะdouble-time triple-time ซับเบสบวกสแนร์แรงๆ แล้วsynth ใช้ซาวด์อิเลคโทรนิคเข้ามาในซาวด์ฮิพฮอพ
ถ้าอยากลองฟังงานtrap music เจ๋งๆ ขอแนะนำอัลบั้มนี้เลย (ฟังแต่ดนตรี โปรดข้ามเนื้อหาไป )
VIDEO
ด้วยเรามีฐานะแฟนคลับห้อยพ่วงมาด้วยทำให้รู้สึกกับ เพลง Mr. Doctor มากกว่าในฐานะแค่้คนฟังเพลงทั่วไป เพราะเพลงนี้แสดงความเป็นแดกูสไตล์ที่อยู่ในตัวตนของผู้ชายคนนี้ได้ชัดดี ฟังแล้วอดหัวเราะคิกคักตามไม่ได้เพราะนึกถึงหน้าตาคนร้องไปด้วย เสียงอ้อนนิดๆ ก่อกวนหน่อยๆ แบบนี้ล่ะคือหนุ่มแดกูตัวแสบจอมโวยวายชัดๆ และถึงเพลงนี้จะใช้แนว trap music ก็จริง แต่ก็ได้ปรับมาให้ความรู้สึกซนๆเล่นๆไม่สัมผัสไปถึงความสากหยาบกระด้างเกินเลย เข้ากับการซิงค์ที่ใช้หลายเลเยอร์อย่างการเล่นซับเบสสอดรับกับการกดเสียงร้องต่ำกว่าพิชต์ (pitched down vocals) เข้ามาเล่นด้วย
คนที่ชอบซาวด์อิเลคโทรนิคเก๋ๆ ลองแยกซาวด์ที่จุนเคนำมาใช้ดูแล้วจะเพิ่มความสนุกในการฟังอีกเยอะ
ตอนที่ได้อัลบั้ม Love & Hateมาใหม่ๆก็เปิดฟังโดยไม่สนเนื้อหา จริงๆก็คือขี้เกียจหาเนื้อเพลงนั่นล่ะ อ่านจากชื่อเพลงก็เดาๆเอาว่าเนื้อเพลงน่าจะแนวไหน
แต่พอมาอ่านบทสัมภาษณ์ที่ว่าอัลบั้มนี้ถือเป็นคอนเซ็บป์อัลบั้ม
[ บอกตามตรงเราก็ยังงงๆอยู่ที่จุนเคบอกว่าอัลบั้มนี้ของตัวเองเป็นคอนเซ็บป์อัลบั้ม เพราะคำว่า concept album นั้นมันคือทุกเพลงในอัลบั้มจะใช้คอนเซ็บป์เดียวกันร้อยเรียงเป็นหนึ่งเรื่องราว ยกตัวอย่างก็คืออัลบั้ม The Wall วง Pink Floyd แบบนั้น จะมีการทำMVยาวเป็นน้องๆภาพยนตร์โดยนำเพลงทั้งอัลบั้มมาประกอบ คนที่สนใจคอนเซ็บป์อัลบั้มน่าจะลองหาดู ถือเป็นงานศิลปะขึ้นหิ้งไปแล้ว สมัยเรียนต้องทำการวิจารณ์งานชิ้นนี้ มีการชำแระตีความทีละส่วนกับสัญญลักษณ์ที่แฝงอยู่เต็มไปหมด ]
จุนเคแต่งเพลงโดยแต่งเนื้อและทำนองไปพร้อมๆกัน และคิดรวมไปถึงคอนเซ็บป์การแสดงบนเวทีเอาไว้ด้วย เจ้าตัววางรายละเอียดเอาไว้ถี่ยิบ
"จะมีคนใสหน้ากากแพนด้าที่ติดไฟLEDเดินจากเวทีแบบทรัสต์เสตจ (thrust stage) แล้วไปนั่งหน้าเปียโนสีขาว จากนั้นก็เริ่มดีดเปียโนเพียงโน๊ตเดียวซ้ำไปซ้ำมา เมื่อแพนด้ายกมือขึ้น เพลงก็จะเริ่ม ขึ้น แล้วบนเวทีผมก็จะแสดงให้เห็นว่าทำไมผมถึงเขียนเนื้อเพลงนี้ 'เมื่อผมเดินอยู่เดียวดาย นั่นล่ะจบสิ้นทุกสิ่งแล้ว" เนื้อเพลงแบบนี้ล่ะที่แสดงถึงการตกอยู่ในความสิ้นหวัง และเพื่อจะแสดงออกให้เห็นในส่วนนี้ ผมจะปรากฏตัวบนเวทีด้วยท่าสวดวิงวอน แล้วค่อยเดินไปนั่งเล่นเปียโนกับแพนด้า"
ด้วยรายละเอียดขนาดตาข่ายฟ้าคลุมสิ้น ศิลปินคนนี้จึงหวังให้คนที่เสพเพลงของเขานั้น...
"ผมไม่อยากให้แค่ฟังผ่านๆ แต่อยากให้เห็นถึงความกลมกลืนของตัวคอนเซ็บป์รวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเพลงด้วย"
ศิลปินที่กล่าวหาว่าตัวเองเป็นคนละโมภด้วยอยากให้งานเพลงของตัวเองสมบูรณ์ไร้ที่ติ จนขอเข้าไปยุ่งด้วยแม้แต่ทุกขั้นตอนของการทำMV
"วันหนึ่งพี่เอ็นจิเนียร์ก็หลุดปากมาว่า 'นายทำเพลงในแบบที่ยากเกินไปนะรู้ไหม' "
เพราะแบบนี้ล่ะทำให้เราจำใจต้องกลับไปอ่านเนื้อเพลงอย่างตั้งใจพร้อมกับการฟังดนตรี แล้วยังต้องเปิดMV และไปโกยหาแฟนแคมเพลง No Love มาดูอย่างพิเคราะห์อีกรอบ
เรียกว่าใช้ตาดูหูฟังยังไม่พอเลยคุณพี่ ความละโมภครั้งนี้ของศิลปินทำเอาเอ็นเขียวๆสองเส้นข้างขมับชวนกันเต้นอย่างเริงร่ามากมาย
แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นะก็เจ้าตัวเขาออกตัวไว้ซะขนาดนี้นี่นา
ไม่ทำตามก็กลัวศิลปินใจน้อยจะเอาหัวโหม่งเต้าหู้ให้มันตายไปซะรู้แล้วรู้รอด
Love & Hate เพลงโปรโมท กลิ่นอายเพลงบูลส์อย่างชัดเจนแบบที่เวลาเรานึกถึงตัวตนของผู้ชายชื่อจุนเคแล้วก็หนีไม่พ้นคำคำนี้
บวกการแรพที่แข็งแรงอย่างที่เราแอบคิดมาเสมอว่าในบรรดาเด็กบ่ายแล้ว จุนเคคือคนแรพได้ดีที่สุดจริงๆ
เนื้อหาของเพลงนี้คือ ในขณะที่รักใครสักคน กลับรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่ไล่ตามมาจากความเจ็บปวดของการถูกหักหลัง
เป็นการเล่นของคำตรงข้าม รัก-เกลียด ขาว-ดำ นางฟ้า-ปีศาจ ซึ่งก็คือการหลงอยู่ในภาพลวงตา...ซึ่งคือคอนเซ็บป์ของMVเพลงนี้
"ผมคิดไว้เยอะกับการทำMVเพลงนี้ ทั้งชุดที่จะใส่ คอนเซ็บป์เวที ฉาก ทั้งมุมกล้องที่ใช้กับสุนัข คำที่เขียนอยู่บนไพ่ในฉากเล่นไพ่ แม้กระทั่งขอให้กล้องซูมภาพออกโดยเฉพาะตอนที่ผมหมุนตัวไปรอบๆ"
"ผมเขียนรายละเอียดพวกนี้ล่ะส่งอีเมลไปให้ผู้กำกับ"
(งาน op art คืองานศิลปะแบบลวงตา เป็นงานศิลปะที่เล่นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความลวงตาจากพื้นผิวของภาพ)
จุนเคทุ่มเทกับการทำอัลบั้มนี้มาตั้งแต่ธันวาปีที่แล้ว ชีวิตมีแค่ บ้าน-ทำงาน-ออฟฟิส
"งีบหลับไปหน่อยก็ลุกขึ้นทำงานต่อ ผมใช้ชีวิตแบบนี้มา 5 เดือนเต็มๆ"
แต่เพราะมันคือความฝันจากการทำงานดนตรีมา 13 ปี ทำให้เขาพยายามดึงดันจนงานสำเร็จออกมาเป็นรูปร่า่งอย่างตามไอเดียที่คิดเอาไว้แม้จะถูกขัดว่าตัวงานเพลงไม่อาจวาดภาพออกมาได้ด้วยตัวมันเองก็ตาม
"แต่ผมก็พยายามโน้มน้าวพี่ชางไดให้ลองทำดูไปก่อน เกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่สามสี่เพลง แล้วสุดท้่ายพี่เขาก็ยอมรับว่าไม่้คิดว่ามันจะได้ผล แต่ปรากฎว่ามันกลับออกมามีเอกลักษณ์ไม่ิเหมือนใคร และยังได้รับคำชมจากพี่Duble2Kickด้วยว่าส่วนที่ผมทำออกมานั้นเขาเคยคิดทำแล้วแต่ก็ไม่เคยได้ผล พอได้ยินคำชมแบบนี้ ผมก็อดดีใจขึ้นมาไม่ได้จริงๆ"
แนวเพลงนีโอโซล หล่อหลอมตัวตนความเป็นคนดนตรี R&B ของจุนเคอย่างทุกวันนี้ แสดงออกผ่านเพลง With You เพลงที่ใช้เสียงร้องที่มีความสากเล็กๆผ่านอารมณ์การร้องชวนฝันนิดๆ การร้องเพลงแบบนี้ล่ะคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มหลงรักในเสียงร้องของผู้ชายคนนี้
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนมีัเนื้อเสียงเพราะ ยิ่งการร้องระยะหลังแทบทิ้งการประดิษฐ์เสียงให้เพราะไปเลยด้วยซ้ำ แต่ที่ทำให้เราหลงรักเสียงผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่เนื้อเสียงแต่เป็นอารมณ์ที่ใส่ลงไปกับการร้องเพลงต่างหาก เขาทำให้เพลงที่เราฟังไม่เข้าใจแต่กลับสัมผัสถึงความรู้สึกขึ้นมาเต็มหัวใจได้ วิธีการร้อง การใส่ความรู้สึกเข้ากับแนวเพลงนีโอโซลได้อย่างราวกับเกิดมาเพื่อกันละกัน ก็ไม่แปลกล่ะนะที่ผู้ชายคนนี้จะพร่ำบอกว่าชีวิตของเขาก็คือเสียงเพลง
เจ้าตัวบอกไว้ว่าเพลงWith You เป็นเพลงตลาดที่สุดในอัลบั้ม มันก็จริงของเขา ฟังจนหมดอัลบั้ม เพลงนี้ก็ใช้คำอื่นชมไม่ได้เลยนอกจากคำว่าเพลงเพราะติดหู ทั้งคนร้องยังคุมเสียงให้เข้ากับเนื้อหาเพลงรักหวานๆไว้ด้วย
♫ ทุกวันก็ดังเดิมดั่งฝันยามเช้า เฝ้าหาใครคนหนึ่งคนนั้น คุณอยู่ไหน วอนบอก ♫
รวมเสียงคอรัสที่รับและประสานได้ความสวยของจังหวะและเสียงหลักจนต้องกลับมาตั้งใจฟังเฉพาะคอรัสอย่างจริงๆจัง จุนเคเป็นคนร้องคอรัสได้ดีจริงๆ ต้องยอมรับ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเพลงนี้ ทุกเพลงในอัลบั้มนี้เขาร่วมร้องคอรัสเองด้วยเลยยิ่งทำให้เพลงทุกเพลงในอัลบั้มยิ่งสมบูรณ์ในตัวมันเอง
แล้วอดชมเสียงเบสกับกีต้าร์ในเพลงนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงโซโล่กีต้าร์ปิดท้ายฟังแล้วเห็นภาพนิ้วพริ้วตามสาย เสียงเท่สุดๆให้อารมณ์ึความเป็นนีโอโซลเต็มๆจนต้องเิปิดหาเครดิตว่าใครเป็นคนลีดกีต้าร์เพลงนี้กันแน่
คนที่โตมากับเพลงยุค 80-90 แบบเราก็หลงรักเพลงตลาดๆแบบนี้เข้าจนได้
จุนเคพูดถึงวิถีการทำเพลงว่าต้องทำเพลงที่มีเมโลดี้ติดหู ฟังแล้วติดใจ เพื่อเรียกความสนใจจากสาธารณะชนให้ได้ เพราะงั้นเวลาทำเพลงก็เลยต้องใส่ใจเรื่องพวกนี้เอาไว้
ถ้าคิดอยากให้เพลงฮิต คิดแค่นี้ก็คงพอ...แต่ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ เขาซื่อสัตย์กับตัวเองมากกว่านั้น
"แต่ิิอย่างไรก็ตามผมคิดว่าคุณจะต้องรุกเพื่อแสดงตัวตนของตัวคุณเองออกมา ผมจึงต้องพยายามอย่างหนักที่จะแสดงสีสันทางดนตรีของตัวผมให้เห็นชัด"
ผู้ชายที่พูดว่าเหนือกว่าความสามารถก็ุคือความมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้
"ด้วยความที่ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เวลาที่เกิดท้อขึ้นมา ผมก็จะคอยเตือนตัวเองว่าจะไม่มีทางปล่อยโอกาสที่ได้รับทิ้งไปอย่างเด็ดขาด"
เมื่อถูกถามว่าสำหรับเขาแล้วดนตรีคืออะไร และนี่คือคำตอบ
"ถ้าไม่มีดนตรีก็คงไม่มีผม เพราะงั้นแล้วสำหรับผมแล้วดนตรีก็คือวิถีแห่งชีวิต "
และทั้งหมดก็ถูกรวบรวมตัวตนความเป็นคนดนตรีของศิลปินที่ชื่อ Jun. K บรรจุเอาไว้ในโซโล่อัลบั้ม Love & Hate
บางครั้งเราอดคิดไม่ได้ว่าจุนเคเหมาะกับค่ายเจวายพีจริงเหรอ?
ถ้าตอนนั้นเขาตัดสินใจอยู่วายจีล่ะ โซโลอัลบั้มจะแตกต่างไปจากนี้ไหมในหลายๆแง่
แต่พออ่านเจอที่ว่าเขาแต่งเพลงโดยนึกถึงเพอร์ฟอร์แมนซ์ไปด้วย ยิ้มเราก็กว้างแล้วเข้าใจทันทีว่านี่ล่ะเด็กลุงผัก
JYP ที่อยากให้เด็กของตัวเองคิดถึงคนดูให้มาก
JYP ที่ไม่สนเรื่องเสียงร้องที่เพอร์เฟคแต่ขาดซึ่งอารมณ์
JYP ที่ต้องการให้เด็กไม่โกหกตัวเอง เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด
JYP ที่สีเลือดในกายคือสีสันของ R&B
แล้วเราก็หมดข้อกังขา ความเป็นJYP มันฝังอยู่ในสายเลือดของผู้ชายคนนี้มาตลอด