Group Blog
 
<<
มกราคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
15 มกราคม 2558
 
All Blogs
 

เพราะมีฮอตเทส ผมจึงยังยินหยัดอยู่ได้

 

 

 

 

 

หากทุกการรู้จักของคนเราต้องมีเหตุผล

 

 

"ผมเป็นพวกมีอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด แถมบางทีก็พูดตรงเกินไปจนทำร้ายความรู้สึกของคนรอบข้าง"

หนุ่มแดกูวัย 28 หัวเราะออกมาเมื่อหันไปมองสตาฟเชิงขอคำยืนยันแต่กลับได้รับคำปฏิเสธกลับมาว่าไม่จริงหรอก

"ดีจังที่ได้ยินแบบนั้น"

ภาพผู้ชายคนนี้ยิ้มแป้นปนเขินๆผุดสวนขึ้นมา  พวกมีอะไรก็แสดงออกมาหมดก็อ่านง่ายแบบนี้ล่ะ

ตัวเราตกหลุมรักจุนเคครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งในนั้นก็เพราะความรักในดนตรีที่ไม่สิ้นสุดของเขา

"เมื่อพูดถึงความรักแล้ว  สำหรับผมมันก็ยังคงเป็นดนตรี"

จุนเคเล่าถึงจุดเริ่มต้นความรักครั้งนี้ของเขาว่า  "เหตุผลที่เปิดโลกทางดนตรีของผมก็ผ่านมาทางบทเพลงของวง the Carpenters ตอนนั้นผมอยู่ชั้นป.1 กำลังร้องเพลงโดยถือการ์ดเนื้อร้องไว้อยู่ในมือ แล้วผมก็รู้สึกขึ้นมาว่า อา~ดีจัง"

รักครั้งแรกของหนุ่มตัวน้อยก็เปิดตัวขึ้นมาอย่่างง่า่ยดายอย่างนี้นี่เอง

 

"ประสบการณ์ตอนเรียนอยู่ ป.4 ที่สิงคโปร์ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญของผมเลยล่ะครับ  คุณลุงผมพาผมไปที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง  แล้วผมก็ได้เจอกับผู้ชายผิวดำตัวโตกำลังร้องเพลงของวง the Carpenters ในแบบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกซึ่งแตกต่างไปจากต้นฉบับอย่างสิ้นเชิง  ตอนนั้นถึงผมจะเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆแต่นั่นก็ทำให้ผมอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้  แล้วคุณลุงผมก็ยังชอบเอาดีวีดีของไมเคิล แจ็กสันซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นของหายากมาเปิดให้ผมดูด้วย"

รักครั้งที่สองของหนุ่มน้อยแดกูเริ่มผลิบาน

 

"แล้วตัวการสำคัญที่ทำให้ผมดำดิ่งลึกลงในดนตรีเรียกได้ว่ามาจากเพลง That's What Friends Are For ซึ่งขับร้องโดย Dionne Warwick, Elton John และ Stevie Wonder มันช่างเป็นเพลงที่น่าทึ่งแล้วยิ่งพอผมนั่งมองผมก็รู้ทันทีว่าผมดิ้นไม่หลุดแล้ว  ผมจึงตัดสินใจทันทีว่าผมจะทำงานดนตรีหลังจากที่ได้ดูโชว์นั้น"

รักครั้งที่สามตอกย้ำชัดลงในใจ

 

แล้วเส้นทางทางดนตรีของคิมมินจุนจึงเริ่มต้น

"ผมเริ่มมุ่งมั่นไปในเส้นทางสายดนตรีตอนขึ้นมัธยม  การจะเข้ามัธยมในเกาหลีจะต้องใช้การจับฉลาก  แล้วผมดันจับฉลากได้โรงเรียนระดับแนวหน้าของแดกูซะด้วยสิครับ"

เด็กชายแดกูถึงกับเหงื่อตกในความมือขึ้นสุดๆของตัวเอง Smiley

"มีแต่พวกหัวกะทิมารวมตัวกันอยู่ที่นั่น  ถึงผมจะพยายามหนักให้ตายก็ยังมีหัวกะทิของหัวกะทิรออีกอยู่ดี"

เสียงทอดถอนกินระกำหนึ่งกำมือดังสะท้อนใจ

"หลังผ่านการสอบปลายภาคของเทอมแรกผมก็เริ่มยอมแพ้  คิดขึ้นมาว่า 'สู้ให้ตายก็ไม่มีทางชนะในสนามแห่งนี้' "

จุนเคระเบิดเสียงหัวเราะลั่นหลังจากพูดจบ  ช่างเป็นผู้ชายที่รู้จักประเมินตัว รู้จักตัวเอง Smiley

"แล้วผมก็เลยเริ่มคิดถึงอนาคตตัวเองอย่างจริงจังขึ้นมาว่าผมอยากเป็นนักดนตรีมืออาชีพ นี่ล่ะคือหนทางเดียวที่ผมเลือก"

จากนั้นคืออุปสรรคที่วางไว้เพื่อทดสอบความรักของเขา

"เพียงแต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของผมท่าน...โดยเฉพาะคุณพ่อที่เป็นคนหัวเก่านั้นไม่มีทางเลยที่จะยอมรับ  ดังนั้นเพื่อที่จะโน้มน้าวพวกท่านแล้ว ผมก็เลยไปสมัครเข้าร่วมแข่งขันร้องเพลงของระดับมือสมัครเล่นทั้งทางวิทยุ ทีวีแล้วก็งานที่จัดแข่งขันในระดับท้องถิ่น"

เมื่อมุ่งมั่นพอ ผลตอบแทบก็ย่อมส่งผลคืนกลับ

"ตอนที่ผมชนะได้ของรางวัลเป็นตู้เย็นเก็บกิมจิกับหม้อหุงข้่า่วทำเอาคุณแม่ของผมท่านดีใจมีึความสุขมาก"

มินจุนหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงภาพความยินดีของคุณแม่ตัวเองในวันนั้น  แต่อุปสรรคใหญ่อีกอย่างใช่ว่าจะข้ามผ่านได้แค่ของใช้ในครัว Smiley

"แต่คุณพ่อของผมท่านก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี  จนปีแรกของมอปลายผมได้เข้าร่วมในเทศกาลเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแดกูแล้วชนะเลิศได้รับของรางวัลเป็นทีวีจอแบนขนาด 29 นิ้ว ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นของระดับพรีเมี่ยมจนทำให้แม้กระทั่งพ่อผมยังอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้เลยครับ  และนั่นล่ะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณพ่อท่านยอมรับในตัวผมและจากนั้นท่านก็ยอมให้ผมไปเรียนที่โรงเรียนสอนดนตรีได้"

จะพิชิตหัวใจผู้ชายก็ต้องเครื่องใช้ไฟฟ้าเท่านั้น  คุณพ่อไม่ได้กล่าวไว้

(หนูก้มกราบที่ล่วงเกินค่ะคุณพ่อ  หวังว่าคุณพ่อจะไม่ถือสาลูกสะใภ้ แฟนคลับคนนี้)

"ผมเิริ่มเรียนดนตรีคลาสสิคและการดนตรีจากที่นี่และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นเส้นทางสายดนตรีของผม"

 

เส้นทางสายนี้ใช่ว่าง่ายดาย แค่ความรักอาจไม่เพียงพอ ชะตาอาจคือสิ่งที่คนเราพยายามที่จะคว้าไว้ในกำมือ

"ตัวผมเป็นเด็กฝึกอยู่ 4 ปี ผมเห็นคนมากมายทำหัวใจหล่นหายแล้วเดินจากไป ยอมแพ้ที่จะได้เดบิ๊วท์ พอผมลองย้อนนึกดูก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ยากลำบากที่สุดของเหล่าเด็กฝึกไม่ใช่การฝึกซ้อมที่แสนโหดร้ายแต่มันคืออนาคตที่คาดเดาไม่ได้ที่รอเราอยู่ต่างหาก"

ไม่ใช่แค่ร่างกายที่ต้องแข็งแกร่งหากจิตใจนั้นยิ่งต้องแกร่งกว่า

"ระหว่างเส้นทางที่ราวกับต้องถูกบดขยี้ด้วยความรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดว่าคุณจะยังเหลือแรงใจพอที่จะสู้ต่ออย่างสุดความสามารถนั้นแล้วยังรวมทั้งอนาคตที่ไร้ความแน่นอนว่าคุณจะได้รับโอกาสเดบิ๊วท์หรือไม่อีกด้วย  ผมคิดว่านี่ล่ะคือบททดสอบที่แท้จริง"

และหลังจากนั้นคือความภาคภูิมิใจ ไม่ใช่ภาคภูิมิที่ชนะคนอื่นแต่คือความภาคภูมิที่ชนะตัวเอง

"เหนือสิ่งอื่นใด  เหนือเสียยิ่งกว่าเรื่องความสามารถแต่มันคือความมุ่งมั่นของตัวเราเอง  ผมก้าวผ่านทุกอย่างมาได้โดยไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อนด้วยความมุ่งมั่นที่ว่า No music no life "

อนาคตซึ่งไร้ความแน่นอนพร้อมบดขยี้ความฝันของคนเรา

"ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด ความมุ่งมั่นที่ทำให้ผมไม่ท้อแท้ไปเสียก่อนก็คือผมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสทองที่ลอยมาต้องหลุดมือไป"

ความรักในดนตรีของผู้ชายคนนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าดีเอ็นเอในตัวเขาอาจร้อยเรียงกันเป็นเมโลดี้ก็เป็นได้

"ดนตรีมีพลังพอที่จะเขย่าหัวใจคน  เมื่อหัวใจเกิดสั่นสะเทือนไปพร้อมๆกับเสียงเพลง  นั่นล่ะจะนำพาคนเราให้เชื่อมเข้าหากันไปจนทั่วทั้งประเทศ"

ด้วยเสียงเพลง คิมมินจุนให้สัญญาไว้ว่า

"นับจากนี้ไป ผมจะพยายามให้มากขึ้นเพื่อจะถ่ายทอดความรู้สึกที่สามารถจับใจผู้ฟังเอาไว้  เพราะงั้นทุกคนครับช่วยเฝ้ารอด้วยนะครับ"

งานเพลงที่ผู้ชายคนนี้จะสร้างสรรค์ต่อไปในอนาคตจะออกมาในรูปแบบไหนบ้างนะ

เราอยากเห็นการเติบโตทางความคิดผ่านงานดนตรีของเขา  งานที่สะท้อนประสบการณ์ชีวิต  งานที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึก  แนวเพลงสร้างสรรค์ในหลายรูปแบบแตกต่าง  เราอาจไม่ชอบไปเสียหมดแต่เชื่อว่าจะต้องอดชื่นชมไม่ได้แน่นอน

 

จำได้ว่าจุนเคเคยบอกไว้ว่าถ้าเขาไม่ได้เป็นนักดนตรีก็คงเป็นนักประพันธ์หรือนักกวี เราได้อ่านบทกวีที่เขาเขียนถึงฮอตเทส  ถึงแม้จะผ่านการแปล ถึงจะเสียดายที่ไม่อ่านอาจตัวอักษรที่เขาเลือกใช้ได้ แต่ถ้อยคำที่เขาทิ้งไว้ก็จับใจเราไม่น้อย

 

"ทันใดนั้นท้องฟ้าสีเทาของเดือนธันวาคมก็ลดตัวคล้อยต่ำลง

หยุดซึ่งการไขว่คว้าของมือเรา

ปี 2014 ความรักอันโอบอ้อมพรั่งพรมลงคลุมทั่วตัวผม

แล้วก็มายังสุดสายปลายทางแล้วสินะ

กับคนที่ไม่สมบูรณ์แบบอย่างผม กับคนที่ีเคยชินกับคำชื่นชมและการได้รับความรัก

หากแต่จากนี้ไปผมจะขอโอบตัวเองลงก้มรับแม้คำตำหนิเหยียดหยันรวมทั้งคำแนะนำสั่งสอนไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ีไหนก็ตาม

ตัวผมนั้นจะน้อมรับมันเอาไว้ทั้งหมด

ได้โปรดลงแส้เฆี่ยนตีผมเพื่อที่ผมจะได้ไม่

เคยชินกับความเกียจคร้าน หลีกเลี่ยงซึ่งความเจ็บปวด

ด้วยเหตุนี้ผมจะวิ่งจนสุดแรงที่มีตลอดปี 2015

แม้มันอาจจะทำให้ผมจมดิ่งลงหลังจากการวิ่งที่ไร้ซึ่งสิ้นสุดนั้น แต่หากเพื่อเส้นทางเส้นนี้

แต่หากมีฮอตเทสเดินไปพร้อมกันกับผม  ผมก็ไำม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว

เหตุผลที่ทำให้ผมยังยืนหยัดอยู่ได้นั้น

ก็เพราะมีทุกคนอยู่เคึยงข้างผม"

 

CR: Kor-Eng by @Egle0702

 

.....อาจไม่มีวันที่เราเดินจากผู้ชายคนนี้ไป.....

 

 

คุณแม่ของคิมมินจุนเป็นนักเขียน ด้วยเหตุนี้

"ผมลงมือเขียนเรื่องราวและบทกวีมาตั้งแต่ชั้นประถม แล้วมักเข้าร่วมการแข่งขันประกวดเรียงความ แล้วพอขึ้นมอต้นผมก็เริ่มอยากที่จะทำงานทางด้านดนตรี แต่ว่าตั้งแต่ประถมถึงมัธยมผมได้รับรางวัลจากการแข่งขันเรียงความถึง 60 รางวัล เพราะแบบนั้นความฝันในวัยเด็กของผมก็คือการเป็นนักเขียน"

จำได้ว่า @Egle0702 พูดถึงการแปลบทสัมภาษณ์และทวีตของบ่ายเอาไว้ เธอบอกว่าจุนเคเป็นพวกใช้ภาษาสวย มีความหมายลึกซึ้ง จนบางทีก็ยากที่จะเลือกคำมาแทน

นี่คือช่วงเวลาที่ทำให้เกิดความเสียดายที่ไม่อาจรู้ภาษาเกาหลี

 

คิมมินจุนบอกว่าตัวเองตอนนี้แตกต่างไปจากสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนเขาเป็นคนเก็บตัวและก็ขี้อายแถมยังไร้เดียงสาและอ่อนไหวง่าย จนทำให้...

"ผมเลยเจ็บปวดกับคำพูดของคนอื่นได้ง่ายเสียจนทำให้ตัวเองกลายเป็นคนโดดเดี่ยว  การพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาให้คนอื่นรับรู้มันก็จะดูเป็นว่าเราไม่แมนพอและนั่นล่ะทำให้ผมเกิดคิดมากขึ้นมา...แล้วผมก็เริ่มคิดว่ามันคงไม่โอเคแน่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผมก็เลยทำใจให้กล้าพอที่จะเปลี่ยนตัวเองซะใหม่ตอนขึ้นชั้นป.3"

เด็กปอสามคิดได้แบบนี้แล้ว  ตอนนั้นอิฉันยังเล่นหมากเก็บไปวันๆอยู่เลย Smiley

ทวิตเตอร์ของจุนเคมักจะเอาไว้ใช้ขอบคุณไม่ก็ออดอ้อนคนไปทั่ว  แต่ทุกครั้งที่เขาทวีตอะไรลึกซึ้งมันจะจับใจทุกครั้งที่ได้อ่าน อย่างทวีตเรื่องนอแรดครั้งนั้นทำเอาเราเก็บมานั่งคิดอยู่นาน แล้วในที่สุดเราก็ได้รู้ที่มาของมัน

จุนเคเล่าถึงหนังสือนวนิยายเกาหลีที่ชื่อ "ยืนหยัดด้วยตัวเองเฉกเช่นเดียวกับนอแรด" หนังสือเล่มนี้ทำให้เขา่เกิดความประทับใจสงสัยขึ้นมาจนไปเซ้าซี้ถามคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็ให้คำตอบมาว่า

"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายแล้วก็จะมีแค่ตัวเราเอง ดังนั้นตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งไปซะและฉวยคว้าโอกาสที่จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น"

คำอธิบายตีแสกหน้าของคุณแม่ในครั้งนี้  ทำให้เด็กน้อยคิมจุนซูในตอนนั้น

"นี่คือเหตุผลที่ผมเปิดใจตัวเองให้กว้างขึ้นไปกว่าเดิม  ตัวตนของผมจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงซึ่งนั่นล่ะทำให้ผมเริ่มต้นการใช้ชีวิตอย่างสบายๆ"

แต่เราว่าความเป็นคนอ่อนไหวและคิดมากกับคำพูดคนอื่นดูจะยังไม่ได้จากไปไหน เพียงแต่เขาจัดการกำหราบมันเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นมารบกวน  หากแต่พอถูกกระเทือนแรงพอ  เด็กที่แสนคิดมากคนนั้นก็พร้อมจะตื่นขึ้นมา

เรื่องการเปลี่ยนชื่อจากคิมจุนซูมาเป็นคิมมินจุนดูจะส่งผลกระทบต่อจิตใจที่อ่อนไหวของผู้ชายคนนี้ไม่น้อย การยอมเปลี่ยนชื่อทั้งๆที่ตัวเองไม่ยินยอมแต่เพราะเป็นคำสั่งเสียของคุณพ่อที่เสียไปทำให้สุดท้ายเขาต้องยอมรับ

หากแต่พอได้ไปอ่านคอลัมภ์ที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาเองก็ยังคงมีการคุยถึงการเปลี่ยนชื่อของเขา  ยังมีคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมเขาต้องเปลี่ยนชื่ออยู่อีก

"ผมรู้สึกเจ็บใจขึ้นมาพอได้เห็นข้อความพวกนั้น  ผมคิดว่าส่วนหนึ่งคือความรับผิดชอบของผม  ผมจะต้องทำงานให้หนักขึ้นกว่านี้เพื่อแสดงให้เห็นว่างานดนตรีของคนที่ชื่อJun. K นั้นเป็นแบบไหนกันแน่  เพื่อให้พวกเขาสนใจในตัวผม  ดังนั้นแทนที่จะให้คำคนอื่นมากำหนดตัวตนของผม ผมว่ามันจะเยี่ยมกว่าถ้าสักวันหนึ่งพอพวกเขาได้ยินชื่อJun. Kแล้วต่างพากันคิดว่า 'ที่แท้สไตล์เพลงของผู้ชายคนนี้่เป็นแบบนี้นี่เอง' นั่นล่ะถึงจะบรรลุถึงจุดประสงค์อย่างแท้จริง"

บางทีคนเรามักไม่สนถึงเหตุผลของคนอื่น  ยึดติดกับความคิดความรู้สึกของตัวเองแล้วนำขึ้นมาอ้างว่านั่นต่างหากล่ะคือเหตุผลโดยไม่แยแสว่าจะส่งผลทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวด

 

คนชื่อคิมมินจุนบอกว่าตัวเองไม่รู้วิธีก้าวข้ามความเจ็บปวด สิ่งที่เขาทำได้ก็คือ

"ผมก็คงทำได้แค่เตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆไร้จุดหมาย  อย่างตอนที่คุณพ่อผมเสีย สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการเตร็ดเตร่ไปเรื่อยอยู่เกือบปี  ผมได้แต่เสียใจและเอาแต่กระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุขเลยสักนิด  ซึ่งคงเป็นเพราะผมรู้สึกกดดันจากการต้องเข้ามาแบกรับความรับผิดชอบของครอบครัวเอาไว้ แล้วผมยังโกรธตัวเองที่ช่างไม่เคยตระหนักเรื่องพวกนี้มาก่อนซะบ้างเลย  ผมเลยออกไปดื่มเหมือนคนบ้าอยู่เป็นอาทิตย์เลยล่ะครับ"

มีคำพูดที่ว่าเวลาจะเยียวยาทุกอย่าง หากแต่มินจุนกลับคิดว่า

"ถึงมักจะพูดกันว่าเวลาจะเยียวยาทุกอย่างแต่แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม แผลบางอย่างก็ไม่มีทางรักษาหาย  ไม่มีวัน   มีก็แค่ชินชาแล้วค่อยๆลืมเลือนมันไป"

คำพูดนี้ของมินจุนทำเอาเรานึกถึงทวีตหนึ่งของเขาขึ้นมา

"มีคนพูดว่าขยันทำงานให้หนักตั้งแต่ยังเด็กแล้วพอแก่ตัวไปจะได้สบาย แต่มันก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่ถ้าเราต้องประสพกับกับความยากลำบากมามากเกินไปตั้งแต่ยังเด็กมันจะเร่งทำให้เราเป็นผู้ใหญ่จนเกินตัว"

ดูเหมือนไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่กลับให้ความรู้สึกคล้ายคลึง  ความเป็นผู้ชายคิดมากและอ่อนไหวง่ายกับทุกสิ่ง มันทำให้คนแบบนี้สัมผัสกับทุกอย่างได้ลึกซึ้งกว่าใครแต่อีกทางก็ทำร้ายเขาได้เจ็บลึกกว่าอีกด้วย

จุนเคตอบคำถามที่ว่าถ้าเกิดไปเห็นกับตาว่าแฟนตัวเองกำลังจับมือควงแขนอยู่กับผู้ชายอีกคนจะทำยังไง

"ผมคงช็อกไปเลย ช็อคกับสิ่งที่เห็นจนไม่อาจขยับตัวได้  ในสถานการณ์แบบนี้ผมไม่มีทางเข้าไปต่อว่าเธอ..ผู้หญิงที่ผมรัก แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร"

หลังจากคุณพี่ตะลึงตึ่งตึ๋งเสร็จจึงตัดสินใจว่า

"ผมคงโทรไปหาเธอทีหลังโดยที่ไม่เอาเรื่องนั้นมาพูดด้วยซ้ำ"

....เอิ่ม พี่คิมคะ ความขี้ขลาด ความอ่อนไหวของพี่นั้นมันช่าง.................

พอลองเอาคำตอบจากพวกบ่ายที่เหลือมาเทียบ อย่างคุณ คุณบอกเห็นปุ๊บเข้าไปถามปั๊บ ให้มันรู้กันไปเลยว่าเป็นน้องชายหรืออะไร

ส่วนแทคบอกว่าอาจเป็นพ่อที่หน้าอ่อนมั๊กมากก็ได้ 5555555555  แทคไม่เหมือนคุณ แทคบอกจะไม่เข้าไปถามตรงนั้นแต่จะรอถามทีหลัง ที่ไม่เข้าไปถามตรงนั้นเพราะแทคไม่รู้จะรับมือยังไงถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นเกิดนอกใจขึ้นมาจริงๆ

คุณนี่แมนๆเอาให้เคลียร์  แต่แทคนี่เป็นพวกขอตั้งสติก่อนสตาร์ท

ส่วนด้งน่ะหลังจากคิดอยู่นานมากกกกกก  ก็ตอบว่าจะทำเหมือนไม่เห็นอะไร 555555  ด้งตอบคล้ายๆคุณที่ว่าคงไปถามต่อหน้าเลยว่ามันเรื่องอะไรเนี่ย ด้วยเงื่อนไขที่ว่า "ถ้่าผมพอมีเวลา"

ด้ง...ช่างแสบโคตร ข้อแม้ของด้งนี่แสดงชัดเลยว่าตัวเองสำคัญกว่าฝ่ายหญิง

ส่วนโฮนี่แทบเดาคำตอบได้เลย โฮบอกจะเข้าไปจับแขนผู้ชายคนนั้นเอาไว้แล้วถามว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร

แต่ชานนี่คล้ายๆแทคคือเข้าไปถามฝ่ายหญิงทีหลังว่าเห็นเธอไปควงคนอื่น

คือคำตอบมันควรเป็นประมาณนี้จริงไหม คือไม่ถามตรงนั้นมันก็ควรต้องรอไปถามวันอื่นให้แน่ใจ แต่ถึงกับไม่หือไม่อือไม่ถามปล่อยไปซะงั้นนี่มันเกินไปหรือเปล่า(วะ)

คิมต้องสู้คนบ้างนะคิมนะ  คิมจะอยู่กับออเดรย์ไปชั่วชีวิตไม่ได้หรอกนะ

"ผมรักสัตว์มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วครับ พวกมันน่ารัก แค่นั่งมองก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ อย่างออเดรย์สุดที่รักของผมน่ะตัวก็เล็กนิดเดียวแต่กระโดดเก่งมากกกกก  อย่างตอนผมนั่งกินข้่าวอยู่ มันก็เอาแต่กระโดดหยองแหยงเรียกร้องความสนใจจากผมอยู่นานตั้งสองชั่วโมงเลยนะครับ"

รักทรหดและบึกบึนของคุณคิม Smiley

"เพราะออเดรย์เป็นแบบนี้ล่ะถึงทำให้หัวใจผมได้รับการเยียวยา  มันมอบความรักให้ผมอย่างเต็มที่และไม่เคยคิดทรยศผม  ถึงจะกลับบ้านมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ตามแต่แค่ได้อยู่กับออเดรย์ก็ทำให้ผมมีความสุขแล้วล่ะครับ"

รู้สึกตัวสั่นยะเยือกขึ้นมา  ดูท่าแล้วออเดรย์คงจะได้กระโดดหยองแหยงไปอีกสิบยี่สิบปีแน่แล้ว

 

ผู้ชายคนนี้เคยทำอะไรเพื่อความโรแมนติกมากมายให้กับแฟนสาว  วางแผนอย่างดี ลงทุนลงแรงปักชื่อตัวเองคู่กับชื่อสาวลงบนตุ๊กตาหมีเพื่อมอบเป็นของขวัญ เตรียมซีดีเปิดเพลง จุดเทียนสร้างบรรยากาศเพียงเพื่อจะได้เห็นสีหน้าความประทับของสาวน้อยผู้เป็นที่รัก

นี่คือความโรแมนติกสมัยคิมยังไร้เดียงสา

แต่พอบรรลุแล้ว

"ขอแค่เป็นสิ่งที่เราทำร่วมกัน อย่างทำอาหารแล้วนั่งกินข้าวด้วยกัน แค่เป็นสิ่งที่ทำด้วยกันก็โรแมนติกแล้วล่ะครับ"

คืนสู่สามัญ Smiley

 

 

สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบคุณเลยกับการที่จุนเคโซโล่เดบิ๊วท์ที่ญี่ปุ่น  ก็คือเราได้อ่านตัวตนของเขาผ่านนิตยสารหลายเล่มเยอะมายชนิดเป็นฮอตเทสมาหลายปีก็ยังหาอ่านได้ไม่ได้ถึงครึ่ง

วัฒนธรรมการอ่านของญี่ปุ่นกับเกาหลีนี่ช่างแตกต่าง

แล้วที่ต้องขอบคุณอย่างมากตามมาก็คือ JUNKAY STREET เป็นเวปบอร์ดที่เก็บทุกอย่างของคิมมินจุนเอาไว้  ความรักและทุ่มเทที่ให้จุนเคนี่ทำเอาเรากระเด็นตกขอบไปเลยทีเดียว

ขอบคุณที่แปลนิตยสารเกือบครบทุกเล่มให้เราได้รู้จักผู้ชายคนนี้เพิ่มขึ้น  ไม่ทั้งหมด เป็นแค่ด้านที่เขายอมเปิดให้รับรู้ก็เพีัยงพอกับการตกหลุมรักอีกครั้งและอีกครั้งและทุกครั้งที่ได้อ่าน

 

เคยคิดว่าคงไม่อาจชอบไปได้มากกว่านี้แล้ว 

ลำธารสายเล็ก ลำน้ำไหลเอื่อยอยู่ไม่เคยแห้งหาย

นี่ล่ะคือเหตุผล

 

 

 

 




 

Create Date : 15 มกราคม 2558
0 comments
Last Update : 16 มกราคม 2558 16:52:58 น.
Counter : 4970 Pageviews.


Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.