Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
18 สิงหาคม 2555
 
All Blogs
 

หนึ่งวัน ‘อู’ลวนของหนุ่มน้อยจางอูยอง [ตอนหนึ่ง]






ทุ่งหญ้าสีเขียวสดเคลื่อนตัวดั่งระลอกคลื่นแต้มตัดด้วยดอกหญ้าสีขาวเล็กๆกระจายทั่ว ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยื่นนิ้วมือเรียวสวยแตะไล้ขึ้นลงไล่ราวกับกำลังเป็นจังหวะตามตัวโน๊ตที่มองไม่เห็น สายลมอ่อนพัดปลายใบหญ้าแหลมสะบัดไหว ตวัดพัดอีกครั้งพาปลายผมสีดำสนิทปลิวไสวล้อเล่นลม


แสงแดดสีทองสาดส่องความสดชื่นของน้ำค้างยามเช้าสะท้อนผ่านดวงตากลมสีดำสนิทสุกใสราวกับลูกแก้วรับกับจมูกเป็นสันเล็กได้รูป แพขนตากระพริบถี่ๆแสดงออกถึงความหงุดหงิดบางอย่างจนพาปากสีชมพูบางเม้มยื่นอย่างขัดใจ ชายหนุ่มเหลือบมองมืออีกข้างของตัวเองที่กุมโทรศัพท์มือถือไว้แน่นอย่างชั่งใจ เสียงถอนใจหนักและยาวสะท้อนความรู่สึกภายในใจได้เป็นอย่างดี

มุมปากสองข้างย้อยอุ้มลมจนพองเล็กๆชวนให้ใบหน้าขาวนวลนั้นไม่ต่างจากเด็กชายตัวเล็กๆที่กำลังจะแผลงฤทธิ์ชวนน่าเอ็นดูอย่างถึงที่สุด
...และเหมือนจะตัดสินใจบางอย่างได้ในที่สุด หนุ่มน้อยทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ เป่าปากดังฟู่ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือมาจิ้มข้อความไม่หยุดข้อความยาวยืดถูกกดแล้วลบ กดแล้วลบอยู่หลายครั้งจนในที่สุด...


‘เค้าถูกหลอก!!! ช่วยเค้าด้วย!!!!!!!!!!’



จางอูยองก้มมองข้อความหน้ามุ่ยเหมือนยังไม่ถูกใจเท่าไรนัก จึงจัดการตบแต่งด้วยสัญลักษณ์น้ำตาไหลตามมาเป็นแผง ก่อนจะกลั้นใจ........แล้วหยุดชะงัก

“ส่งให้พี่จุนซู แล้วก็โฮจังกับชานนี่” หนุ่มน้อยจางอูยองพึมพำย้ำกับตัวเองก่อนงึมงำละโหยห้อย “อยากส่งให้พี่คุณด้วยจังเลย แต่พี่คุณบอกไว้แล้วว่าวันนี้ไม่ว่างนี่นา...ทำไงดี อยากส่ง อย่างส่งทำไงดี ส่งดีไหม ส่งไปแล้วพี่คุณไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่...แต่มันจะเป็นการรบกวนจนเกินไปไหมน๊า เฮ้อ~!ทำงายดี๊เค้า ส่งเถอะ ส่งดีกว่านะ เอ...เอาไงดี ก็ถ้าไม่บอก...พี่คุณก็ไม่รู้จิว่าเค้าโดนหลอก ส่งไปแค่บอกให้รู้ก็ไม่เป็นไรมั๊ง”


แม้พึมพำกับตัวเองเป็นขบวนรถไฟ หนุ่มน้อยก็ยังรีๆรอๆไม่แม้แต่จะกล้ากดเรียกชื่อพี่คุณขึ้นมา

เฮ้อ~ไม่ได้เรื่องเลยเรา อูยองนั่งเท้าคางบ่นตัวเอง มองไกลออกไป ความคิดชักสบสนวุ่นวายตีกันอิรุงตุงรังไปเรื่อย


“ส่วนแทค เฮ้อ~~เฮียแทคส่งหรือไม่ส่งก็มีค่าเท่ากัน บอกก็เหมือนไม่บอก ไม่บอกก็เหมือนบอกอยู่ดี” แม้จะพูดประชดไปงั้นแต่มือก็กดชื่ออ๊คแทคยอนขึ้นมาอีกราย ก่อนชะงัก คิดหนักอีกรอบ “แล้วพี่คุณล่ะจะเอาไงดี๊~~~~~~~~~~~~”


ความสองจิตสองใจทำให้อูด้งละล้าละลังอยู่อีกครู่ก่อนตัดใจหลับตาปี๋ ตัดสินใจเสี่ยงแล้วแต่ดวงกดฉึ้กและฉึ้ก ก่อนค่อยๆหรี่ตามอง รอยยิ้มคลี่กระจายจากมุมปากไปถึงดวงตากลมดำคู่นั้นเมื่อเห็นว่าข้อความนั้นได้ถูกส่งไปพร้อมกันถึงห้ารายชื่อ


“มันคือโชคชะตา นำพาไม่ใช่อื่นใดเลย~” หนุ่มน้อยฮัมเป็นเพลงอย่างซุกซน แล้วอุบอิบเหมือนขอออกตัวผ่านสายลมส่งไปยังใครบางคน “เค้าหลับตาจิ้ม แย้ววมือมันจิ้มชื่อพี่คุณขึ้นมาเองนะ เค้าไม่ได้คิดจะรบกวนนะเนี่ย แต่มันบังเอิ๊นนนน บังเอิญเจอเองเงงเงงเงงงงงงง”


หนุ่มน้อยอมยิ้มจนแก้มห้อยย้อยกว่าปกติ ตาจ้องนิ่งที่มือถืออย่างใจจดใจจ่อไม่สนใจสิ่งรอบข้างอย่างคาดหวัง


ติ๊กต๊อก ติ๊กติ๊อก
ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก
ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก



นาฬิกาเหมือนจะเปลี่ยนตัวเลขช้าไม่ทันใจ คิ้วเข้มเริ่มขมวดเป็นปมยุ่ง แก้มย้อยป่องตามมา ปากยื่นชี้ขมุบขมิบไม่เป็นคำ


“อะไรกันเนี่ย คนอะไรใจร้าย ใจร้ายกันหมดเลย” หนุ่มน้อยเริ่มตัดพ้อ “คนเค้าส่งไปก็ต้องตอบกลับมาจิ ไม่ห่วงกันบ้างเหรอว่าเค้าหลอกเรื่องอารัย ครายมาหลอกเค้าอะไรแบบนี้อ่ะ”


ลมหมุนพัดกลับมาวูบใหญ่กวาดดงหญ้าลู่ราบเอนไป


“ใจร้าย ทุกคนใจร้ายกับเค้า” หนุ่มน้อยหมนุตัวร้องโวยวายอยู่คนเดียว มือกวัดกวาดสะบัดไปบาดโดนปลายใบหญ้าคมจนร้องโอดโอยขึ้นมาทันที


จางอูยองก้มมองนิ้วมือตัวเองงงๆ แม้ใบหญ้านั้นไม่บาดลงลึกเพียงแค่ทิ้งรอยเอาไว้แต่ก็ทำให้หนุ่มน้อยจิตใจอ่อนโยนรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างอักโข


“ผมโดนลงโทษ” อูด้งก้มหน้าพึมพำ “ผมไม่ควรคิดไม่ดีกับคนอื่นแบบนี้สินะครับท่าน” เด็กน้อยช้อนสายตามองไปยังฟ้าไกล สีหน้าอ่อนใสนั้นหมายความตามทุกคำที่พูดสารภาพบาปออกมา


พระอาทิตย์สาดลอดกิ่งไม้แสงฟุ้งกระจายเป็นสายจับลงยังร่างบางยามลุกขึ้นยืน ก้าวเดินแต่ละก้าวเต็มไปด้วยความรู้สึกเหงาเต็มหัวใจ ความคิดวุ่นวายก็วิ่งกระจายฟุ้งไปทั่ว ความน้อยใจ ความผิดหวัง คำแก้ตัวแทนเพื่อนตีกันยุ่ง...แต่สุดท้าย หนุ่มน้อยก็ยอมอ่อนข้อ


“หรือว่า...เขาอาจไม่เห็นก็ได้ นั่นสินะของแบบนี้มันพลาดกันได้นี่นา” อูด้งพยายามแก้ตัวแทนก่อนบอกตัวเอง “งั้นโทรไปหาเลยดีกว่า...แน่นอนกว่าเนอะ เนอะ เนอะ”


จางอูยองตัดสินใจโทรไปหาคิมจุนซูในฐานะพี่ใหญ่จอมอาวุโสกว่าใครเพื่อน

“ห้าโหล พี่คร้าบบบบ” หนุ่มน้อยอ้อนทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
“หืม..ด้งเหรอ โทษทีนะตอนนี้พี่ไม่ว่าง” ยังไม่ทันจะฟังอีกฝ่ายพูดอะไร พี่ใหญ่ใจร้ายก็ตัดสายทิ้งทันที


อูด้งจ้องโทรศัพท์อย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ความประหลาดใจบวกงุนงงมีมากเกินจะทันนึกน้อยใจ

“เอ๋ อะไรเนี่ย อ๋า...เอ๋ยยยยยย สวัสดีสักคำก็ยังไม่มีให้เลย พี่อะไรเนี่ย”



เจ้าลูกเจี๊ยบเป่าปากอย่างฉุนๆ แต่แล้วก็ชะงักคิ้วเลิกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์แบบที่ชอบทำเสมอยามเป็นเด็กแล้วจึงจัดการกดอีกหมายเลขขึ้นมาอย่างไม่รีรอ


“โฮเหรอ วันนี้ฉัน....” อูด้งพยายามเรียบเรียงคำพูด
“มีอะไร” เสียงห้วนๆสวนย้อนมานั้นทำเอาอูด้งแทบอยากปิดสายหนีไป
“เอ่อคือ นายว่างไหมตอนนี้” อูด้งพยายามทำใจดีสู้เสือ
“ว่างงงงงง ว่างมากไม่มีอะไรทำ เลยนอนเล่นอยู่บ้านนี่ไง” โฮจังพูดธรรมด๊าธรรมดาแต่ทำไมถึงได้ฟังดูเหวี่ยงอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้ได้ “ถามทำไม มีปัญหาเร๊อะ!”
“ปล๊าวววววววว” อูด้งรีบปฏิเศษเสียงแหลมปิ๊ด กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ “ไม่มีอะไรหรอก คือฉัน....”

พูดยังไม่ทันจบโฮจังก็สวนขึ้นมา

“ไม่มีอะไรแล้วโทรมาทำไม หึ!...งั้นแค่นี้นะ” โฮจังไม่ฟังเสียงตัดสายไปเฉยๆอีกคน




อูด้งนิ่งขึงเป็นรอบที่สอง ขาแข็งยืนนิ่งขึงขยับตัวไม่ได้ หนุ่มน้อยยืนเคว้งคว้างกลางทุ่งหญ้าที่กำลังสั่นไหวด้วยกระแสลมแรงพัดกระโชกมาอย่างแรง


ขณะที่โลกทั้งโลกของจางอูยองชักหมุนติ้วจนแทบทรงกายไม่แทบอยู่นั้นเอง ราวกับหูแว่วเสียงฝีเท้ายาวย่ำมาจากที่ไกลๆ หนุ่มน้อยเกิดความรู้สึกลิงโลดด้วยความคาดหวังบางอย่างขึ้นมา เขายืนรอนิ่งให้ฝีเท้านั้นเข้ามาจนใกล้
แต่แล้วก่อนที่จะขยับไปหันมองและแทบไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำหัวใหล่สองข้างกลับถูกล็อคด้วยมือแข็งแรงคู่หนึ่งจนตัวเขาผงะหงาย แถมโดนลากปุเลงๆตามไปอย่างไม่ปราณีปราศัย


ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ทั้งลากทั้งจูงโดยไม่นำพากับเสียงโวยวายไม่ขาดปากของหนุ่มน้อยตัวผอมบางจนมาถึงห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังตระเตรียมข้าวของอยู่ขวักไขว่


สองมือใหญ่หนาจับกดไหล่จางอูยองลงนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะกระจก ก่อนพยักเรียกช่างทำผมให้เข้ามาจัดการต่อ
หนุ่มน้อยกวาดตามองทั่วห้องอย่างงุนงง แทบพูดอะไรไม่ออกได้แต่ส่งสายตาตัดพ้อสบตากลับไป


“นายท่านปาร์คสั่งให้นายน้อยย้อมผมเป็นสีบรอนด์ครับผม” พี่นัมยองกลืนความใจอ่อนลงไป “อดทนหน่อยนะครับ คงต้องใช้เวลานานสักหน่อย”


พูดจบเจ้าตัวก็เตรียมจะหลีกตัวหนีไปด้วยกลัวพ่ายสายตาราวกับลูกหมาถูกทิ้งที่กำลังจ้องเป๋งมา แต่ก็ไม่ทันจนได้ หนุ่มน้อยคว้าแขนหมับเอาไว้ได้ทันก่อนฉีกตัวหนีไปทัน


“ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ครับ” เสียงแหบพร่าด้วยแรงสะอื้นเบาๆ “ตอนแรกก็บอกว่าจะพาไปกินไก่ทอด ผมก็อุตส่าห์หลงดีใจ” หนุ่มน้อยแหงนมองฟ้องพี่สาวช่างทำผม “แต่ก็ไม่พาไปสักที บอกให้รอก่อนรอก่อน รอดึกก่อน พอผมสงสัยว่าร้านอะไรทำไมขายดึกๆก็เฉไฉไปโน่นไปนี่” หนุ่มน้อยตวัดค้อนฉับอย่างน้อยใจพร้อมบ่นพึมงึมงำ “นี่ถ้าผมไม่เผอิญไปได้ยินพวกพี่คุยกันว่าจะหลอกพาผมไปเที่ยวคลับละก็นะ...จะหลอกผมไปถึงเมื่อไร หึ!” จางอูยองยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด “ผมบอกไปแล้วนี่ว่าไม่ไป ไม่อยากไป ยังไงก็ไม่ไป พวกพี่ใจร้ายทุกคน ไม่จริงใจเลยทั้งๆที่เค้าเชื่อใจแท้ๆ แต่ก็มาหลอกเค้า...หลอกแล้วหลอกอีก”



น้ำเสียงอ่อนสร้อยบนใบหน้าระโหยห้อยชวนให้พี่นัมยองใจหายวาบขึ้นมาทันใดจนชะงักแน่นิ่งไป เขาค่อยทรุดลงนั่งยองๆแอบปาดเหงื่อในใจกับการต้องมารับมือข้อกล่าวหาเพียบในคราเดียวเพียงลำพังแบบนี้


“พี่เองก็ไม่อยากหลอก เฮ้อ~ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยสักนิดเดียวครับ” ชายหนุ่มหน้าตาคมสันแสดงความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นสีหน้าตัดพ้อตามมาก็ตัดสินใจพูดตรงไปตรงมา “คุณหนู เอ๊ย นายน้อยก็ปาไปตั้ง 23แล้วนะครับ แต่ก็ยังไม่เคยแม้แต่จะเดทอย่างคนอื่นเขาสักครั้ง แล้วจะไม่ให้นายท่านเป็นห่วงได้อย่างไรล่ะครับ แม้แต่พวกพี่เองก็เถอะ”


“ห๊า~! สักครั้งก็ไม่เคยเหรอคะ” พี่สาวช่างผมที่อุตส่าห์เงี่ยหูผึ่งฟังเงียบอยู่นานหลุดปากโพล่งแทรกดังลั่น

หนุ่มโสดวัย 23 ตวัดค้อนขวับทันที ทำเมินปากเชิดไม่พูดไม่จา
พี่นัมยองทำหน้าบอกไม่ถูก อยากจะยิ้มก็ไม่กล้ายิ้ม แววขำขันระยิบระยับออกมาจากนัยน์ตาคม แล้วจึงเริ่มบทกล่อมเด็กน้อยให้หลงเชื่อคำหวานดูสักครั้ง


“ก็เพราะความเป็นห่วงนี่ล่ะครับ พวกเราถึงต้องทำแบบนี้ คุณหนูเองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ถึงได้อยากให้ออกไปเปิดหูเปิดตาอย่างคนอื่นเขาบ้าง นี่ขนาดคุณหนูชานซองพออายุถึงแล้วยังออกไปเที่ยวตั้งหลายต่อหลายครั้งเลยนะครับ” หลังจากปลอบนำร่อง พี่นัมยองหันมาขู่ต่อ “ไปดูเพื่อให้รู้ก็พอครับ ขืนไม่รู้อะไรเลยแบบนี้วันดีคืนดีเกิดไปโดนหลอกไปทำมิดีมิร้ายพี่ก็ใจสลายพอดีสิครับ”

“ใครจะมาหลอกผม” หนุ่มน้อยเสียงอ่อยยอมอ่อนข้อลงนิด แต่ยังไม่วายขอโต้กลับ “เค้าไม่ใช่เด็กนะ”

“ก็นั่นสิครับ ไม่ใช่เด็กแล้ว เพราะงั้นก็ไปเที่ยวที่ผู้ใหญ่โตแล้วเขาเที่ยวกัน”

“ก็เค้าไม่ชอบไปนี่นา” หนุ่มน้อยยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆทำเอาพี่นัมยองต้องใช้ไม้ตายเข้าสู้

“ไม่เคยไปรู้ได้ไงว่าไม่ชอบครับ” พี่นัมยองดักคอแล้วย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ “ทำเพื่อพี่สักครั้งไม่ได้หรือครับ หรือว่าคุณหนูไม่ไว้ใจพี่? คิดจริงๆหรือครับว่าพี่คนนี้ไม่หวังดี คิดแต่จะหลอกคุณหนูงั้นเหรอครับ ถ้าคุณหนูคิดว่าพี่เป็นคนแบบนั้นล่ะก็...ก็ตามใจคุณหนูครับ ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป”


พี่นัมยองลุกขึ้นยืน หันหลังก้าวเดิน ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่...


“พี่ครับ”

พี่นัมยองเก็บยิ้มจนตาหยีจนเรียบร้อยก่อนหันกลับมา ทำเป็นยืนนิ่งฟังไม่ยอมพูดจา

“ผมรู้ว่าพี่รักและหวังดีกับผมมาตลอด เพียงแต่ว่า....” หนุ่มน้อยวัยยี่สิบสามแสนใสซื่อบริสุทธิ์ใจอ่อนยวบ ถอนใจยาวก่อนยอมตกลงแต่ก็ไม่วายเอาเชิง “เอางั้นก็ได้ ถ้าผมยอมไปแล้วพวกพี่ๆจะมีความสุขล่ะก็นะ ”



พี่นัมยองพยักหน้ารับอย่างโล่งอกกับภาระกิจที่จู่ๆก็โดนยัดเยียดมาในที่สุดก็ใกล้ความจริงอีกก้าวก่อนขอตัวไปทำธุระก่อน


“แต่ว่า...ทำไมผมต้องย้อมผมด้วยล่ะครับ” หนุ่มน้อยเปรยถามอย่างไม่เข้าใจ ทำเอาพี่นัมยองต้องกลืนน้ำลายอีกเอื้อกใหญ่ คำถามง่ายๆแต่ช่างลำบากใจที่จะต้องตอบชะมัด




เหตุผลในคำสั่งที่ให้จัดการแปลงโฉมของนายท่านจินยองยังดังสะท้านชวนให้สะเทือนในความทรงจำ

‘ขืนให้ออกไปทั้งสภาพแบบนี้ ถึงโชว์บัตร ฉันพนันล่วงหน้าเลยว่าไม่มีทางผ่านด่านคนเฝ้าประตู แถมพวกแกอาจโดนข้อหาหลอกเด็กพ่วงมาอีกกระทงแน่ หน้าตาแบบนี้ใครจะเชื่อว่าเกิน20 ฉันเป็นพ่อมัน บางครั้งฉันเองยังสงสัยเลยว่ะ”



พ่อที่ดูลูกตัวเองถูกต้องไปซะหมดทำการกวาดตามององครักษ์จำเป็นทั้งสี่ไล่ไปทีละคนอย่างช้าๆจนเกิดเป็นช่วงเวลาแห่งความหวาดระทึกชวนขนหัวลุกขึ้นมา


“คลับมันมืด ผมบรอนด์แบบนี้พวกแกจะได้ตามหาตัวได้ง่ายๆ ถ้าเกิดเจ้านี่คิดวิ่งหนีกลับบ้านหรือไม่เดินเหม่อไปเหม่อมาจนพลัดหลงกันขึ้นมา พวกแกคงไม่อยากให้ถึงขนาดประกาศเรียกเด็กหายให้มาพบผู้ปกครองที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์อะไรอย่างนั้นหรอกนะ พาไปเที่ยวคลับไม่ใช่งานวันเด็กนะเว้ย’



นายท่านอ่านเกมทะลุปรุโปร่งแถมรู้จักลูกชายตัวเองดีเกินไปแล้วครับท่านครับ พี่นัมยองนึกนับถือเจ้านายตัวเองขึ้นมาอย่างสุดใจขณะเตรียมเรียบเรียงคำพูดสวยหรูมาตอบให้กับคุณหนูอูยองที่กำลังขมวดคิ้วหน้ามุ่ยรอฟังคำตอบอยู่




“จะได้สมกับการเป็นหนุ่มโสดวัย 23 ไงครับ” สุดท้ายพี่นัมยองตัดสินใจตอบแบบกำปั้นทุบดินแล้วรีบชิ่งหนีก่อนจะแพ้สายตาละห้อยคู่นั้นที่มองตามไม่วางตา






โทรศัพท์ในมือยังคงไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ หนุ่มน้อยยิ่งรู้สึกจนหนทาง ความทดท้อน้อยอกน้อยใจบางอย่างเข้ามาแทรกซึมจนนัยน์ตารู้สึกอุ่นจัดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


ผมสีดำสนิทถูกสารเคมีกัดจนจางอ่อนลงพร้อมเวลาที่เดินไปเรื่อยๆ
ขณะที่จางอูยองนั่งระทดระท้อกับความหวังที่กำลังลดลงเรื่อยๆ



เสียงหัวเราะหนักเป็นคลื่นยาวทำให้ห้องทั้งห้องสะเทือนตามไปด้วย ฟังสนุกสนานแบบที่ทำให้คนฟังอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ดังนำมาก่อนเจ้าของเสียงเสียอีก...


ชายหนุ่มไหล่กว้างกับเสื้อยืดลวดลายจัดจ้าน กางเกงยีนส์เอวต่ำกว่าปกติคาดด้วยเข็มขัดรูปริมฝีปากอันโตสะดุดตากับหมวกทรงเหลี่ยมวางพาดเอียงเป๋ลงมา ย่ำเท้าเสียงหนักจากรองเท้าสีดำหุ้มข้อซึ่งร้อยไว้ด้วยเชือกหลวมๆเข้ามาด้วยทีท่าเต็มไปด้วยความสง่าภาคภูมิเสียจนเรียกทุกสายตาให้หันไปมอง

จางอูยองจะไม่แปลกใจเลยสักนิดถ้าจะมีใครสักคนสงสัยขึ้นมาว่าชายหนุ่มคนนี้อาจเป็นนายแบบที่หลงมาจากแคทวอร์คที่ไหนสักแห่ง
และเขาอยากต่อให้อีกด้วยว่า...แบบที่คนปกติธรรมดาเขาไม่ใส่เดินถนนกัน




คิมจุนซูเดินเข้าแทรกตรงช่องว่างทรุดตัวลงนั่งเหม่ๆลงบนขอบโต๊ะกระจกแต่งหน้า สองหนุ่มนั่งประชันหน้ากัน หัวอกหนุ่มน้อยจางอูยองร้อนวูบขึ้น เอาแต่กอดอกแน่นไม่ยอมหันไปมองแม้สักแว้บ


ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มผู้มาใหม่กลับเริ่มด้วยการกวาดสายตาอย่างเพลิดเพลินไล่มองทีละคนทั่วห้องจนแน่ใจอะไรบางอย่างแล้วจึงก้มตัวลงไปทักทายน้องชาย แจกยิ้มกว้างเปิดเผยโดยไม่ใส่ใจอาการเมินเฉยแม้แต่น้อย


“คนแรกใช่ไหม” จุนซูยักคิ้วกวนประสาทกับทีท่าโอ่ๆ “มาเป็นคนแรกนะเนี่ยฉัน ชนะแล้ว”

“หืม! ชนะอะไร” อูยองฉงนอยู่ไม่ถึงอึดใจ ก็รวนกลับ สายตาเย็นชาแสดงออกชัดเจนว่าครั้งนี้จะไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆอย่างเคย “ใคร อะไร มีเกมอะไรที่ไหนกัน ไม่เห็นจะรู้เลย”



หนุ่มอารมณ์ดีรับรู้ถึงความแง่งอนที่อีกฝ่ายส่งมาได้แต่หัวเราะครึ่งขันครึ่งเอ็นดู เสียงหัวเราะนั้นชวนให้นึกถึงระลอกคลื่นซัดโครมกับหินผากลางทะเล ส่งให้ใบหน้าสดใสจนอีกฝ่ายได้แต่มองอย่างฉิวๆ



“โอ๋ โอ๋ แต่ช้าแต่น้องรัก อย่างอนเลยหนา พี่ก็มาแล้วนี่ไง มีอะไรก็บอกมา ใครบังอาจมาหลอกน้องชายสุดที่รักของพี่” พี่ชายจอมโวตบอกแน่นๆของตัวเองดังปุปุ “พี่คนนี้จะแก้แค้นแทนให้เอง”

“ไม่ล่ะ ไม่อยากรบกวนคนงานยุ่ง” น้องชายยังงอนไม่เลิก

“อ๋า~~~~~~~~ อูด้ง อ้งงง อ้งงงงงงง” จุนซูก้มลงมองอีกฝ่ายส่งเสียงอ้อนยาว “ก็พี่จะรีบมาเป็นคนแรกนี่ไง พอเห็นข้อความพี่ก็อุตส่าห์บึ่งรถมาเลยนะเนี่ยน้องรัก”



คำพูดแปลกๆนั้นชวนสะดุดหูอย่างประหลาดชวนให้ความคิดแล่นปาดขึ้นมาทันที หลังจากหยุดนิ่งคิดคำนวณอยู่อึดใจ เด็กขี้งอนแต่หัวไวเขม้นมองอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง


“อ๋า~นี่แสดงว่าที่พี่ซูตัดสายเค้าบอกว่าไม่ว่างนั่นก็เพราะจะรีบมาเอาหน้าก่อนคนอื่นๆล่ะสิท่า” แก้มป่องพองขึ้น แกล้งทำหน้าบึ้ง

“เอ๋ยยยยยย พูดแบบนั้นมันน่าเกลียดไปนะไอ้น้อง เอาหน้าเอาเน่ออะไร” หนุ่มช่างแก้ตัวยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นเหมือนเด็กซุกซนที่รู้ตัวว่าก่อเรื่องเดือดร้อนจนต้องหาทางเอาตัวรอด “พี่แค่อยากรีบมาก่อนใครก็เท่านั้น”



อูยองปรายตามองนิ่งไม่พูดจา ทำเอาชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นพี่รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาพิกลจึงลุกเขยิบตัวเข้ามาจนใกล้ ทำเสียงอุบอิบเชิงร้องขอความเห็นใจปนความยียวน

“เวลาของพี่มีค่าน้อยกว่าตัวพี่นิดเดียวเองนะด้งนะ”

“ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพี่ซูน่ะเป็นผู้ชายราคาแพงแค่ไหน” อูยองกระแทกเสียงหมั่นไส้เต็มที่ ความเกรงอกเกรงใจชักหดหาย


น้ำเสียงเชิงประชดประชันนี้ไม่สะเทือนผู้ชายราคาแพงเลยสักนิด สีหน้าแช่มชื่น ยืนยืดยิ้มยิงฟันต้อนรับข้อกล่าวหาอย่างภาคภูมิ


หากเมื่อน้องชายประสานสายตาตอบเขม็ง เม้มปากยื่นแสดงความขัดใจกับการแก้ตัวน้ำขุ่นๆชวนให้หนาวๆร้อนๆขึ้นมา หนุ่มแพนด้าเลยชักจนหนทางหลังจากหันรีหันขวางอยู่ครู่ ก็กางแขนออกเข้ารวบตัวร่างเล็กๆไว้จนเจ้าลูกเจี๊ยบตัวเซต้องรีบลุกตามเพื่อไม่ให้ล้ม ก็เลยกลายเป็นการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปอย่างไม่ตั้งใจ


“ไงบอกมาสิ โดนใครแกล้งบอกมา พี่จะเคลียร์เอง” เสียงห้าวถามมาอย่างอารมณ์ดี



หนุ่มน้อยมองอย่างชั่งใจอยู่ไม่นานเลยก่อนพรั่งพรูความคับข้องออกมาดั่งน้ำป่าไหลบ่าด้วยน้ำเสียงแสดงความน้อยใจมากกว่าความโกรธขึ้ง และตบท้ายด้วยความประหลาดใจ


“เค้าก็งงว่าร้านขายไก่อะไรมีดีเจมาสแครชแผ่นด้วย พอถามก็เฉไฉไปโน่นว่าเป็นร้านขายไก่แนวใหม่ นี่ถ้าเค้าไม่ไปแอบได้ยินพี่ๆเขาคุยกันละก็เค้าคงไปยืนงงในคลับคนเดียวแล้ว...ใจร้ายชะมัด”

“นี่นายกะจะไปรู้เอาตอนเข้าไปในผับเลยเรอะ” จุนซูอดใจไม่ไหวขัดขึ้น “มันควรจะรู้ตั้งแต่ก่อนจะเข้าไปแล้วนะ”

“ก็หมายความว่างั้นล่ะ!” จางอูยองแหวเสียงแหลม “ต้องแจงละเอียดขนาดนั้นเลยเรอะ”

“น่า...น่า” ปะทะพายุลูกเล็กๆเข้าไปทำเอาจุนซูต้องรีบเอาใจอีกสักรอบ “พี่ว่าฟังๆดูแล้วก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา ลองไปเที่ยวดูสักครั้งเถอะด้ง แถมมีพวกเฮียนัมยองตามไปเป็นองครักษ์แบบนี้ด้วยแล้วจะกังวลอะไรเล่า”




ถึงเวลาต้องปล่อยมือให้เดินด้วยตัวเองแล้ว...คิมจุนซูบอกตัวเองให้ใจแข็งเมื่อมองทีท่ากระสับกระส่ายด้วยวิตกกังวลไปล่วงหน้าของหนุ่มน้อยตัวผอมบางตรงหน้า ถ้าหากทำได้เขาเองก็อยากตามคอยปกป้องน้องชายคนนี้ไปจนตลอดแต่เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ การออกไปเจอประสบการณ์อันหลากหลายด้วยตัวเองน่าจะเป็นวิธีการสอนให้คนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างดีที่สุด



หนุ่มช่ำชองยามราตรีเริ่มพูดจาหว่านล้อมปนโน้มน้าวไปจนแนะนำการทำตัวสุดเท่ให้เด่นสะดุดหยุดทุกสายตา แถมเรื่องเล่าอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเจื้อยไม่หยุดปาก โวให้ฟังเรื่องบรรยากาศ ดนตรีแนวๆ แล้วยังสาวๆสวยๆที่คอยอยู่


หากแต่ความอัศจรรย์ใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของจางอูยองนั้นมีมากเสียจนไม่ได้ฟังคำพูดพล่ามยืดยาวมากมายนั้นเลยสักนิด


“นี่พี่กำลังทำอะไร!” เสียงเล็กๆแหวขึ้นมาทำเอาคิมจุนซูสะดุ้งโหยง

“พี่ทำ...ทำอะไรเหรอ” จุนซูชักงง “ก็กำลังเล่าให้ฟังอยู่นี่ไงว่าเราน่ะจะต้องเจออะไร สาวเซะกะซ...” พูดยังไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งโหยงอีกรอบ

“ไม่ใช่! ที่เค้าถามคือพี่กำลังทำอะไรอยู่นี่ไง”



คิมจุนซูไล่มองตามมืออูด้งไปจนปลายนิ้วทีกำลังชี้ยิกลงตรงพื้น แล้วเงยมอง เลิกคิ้วเชิงถามอย่างไม่เข้าใจว่าจะให้มองอะไร

“พี่เดินถอยหลังอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” อูยองถลึงตากลับพูดอย่างฉุนๆ “นี่ขนาดตอนนี้พี่ก็ยังเดินไม่หยุดเลยเนี่ย จะเดินไปไหนกัน”


จุนซูก้มมองเท้าตัวเองที่ยังขยับถอยหลังไปเรื่อยๆก่อนเงยมามองอูยองด้วยดวงตาสีดำจัดที่เริ่มฉายแววซุกซนแบบที่คุ้นเคย


“พี่ก็แค่...” น้ำเสียงเริ่มอึกอัก ผิวหน้าแดงเรื่อตรงโหนกแก้ม ขากรรไกรเรียวคมขยับขึ้นลงก่อนปล่อยหัวเราะแก้เก้อดังก้องทั่วห้อง “พี่มีธุระ ธุระสำคัญมั่กมากกกกเลยจะต้องไปก่อนนะด้งนะ”

“รีบมากจนหยุดคุยเฉยๆสักนาทีเดียวก็ไม่ได้เลยสินะ” จางอูยองเหน็บแนม ความน้อยใจพุ่งขึ้นมาจนหันหลังหนีทันที “แล้วจะมาทำไมเนี่ย”



แพนด้าเริ่มรู้ตัวแม้จะช้าไปสักหน่อยแล้วว่ากำลังขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆเลยขอตะเกียกตะกายเอาตัวรอดดื้อๆด้วยการโผเข้ารวบกอดน้องชายจากด้านหลังไว้ทั้งตัว มือสองข้างรัดอีกฝ่ายไว้จนแน่นทั้งจับยกไปมาเชิงหยอกล้อแทนคำแก้ตัว แต่ทว่าขาสั้นๆเจ้ากรรมสองข้างของแพนด้าหนุ่มก็ไม่ยอมหยุดยืนนิ่งอยู่ดี ยังคงขยับถอยหลังไปเรื่อยๆแถมพ่วงเจ้าลูกเจี๊ยบลากขาตามไปด้วยโดยปริยาย



“แต่พี่ก็มาก่อนใครไม่ใช่เหรอ มาเป็นที่หนึ่งต้องเก็บคะแนนพิเศษได้นะอูด้งนะ” จุนซูพยายามอ้อนเสียงน่ารัก

“มาก่อนกลับก่อนน่ะสิ” อูด้งอดขำไม่ได้ทั้งที่ยังฉุนอยู่ “จะเอาที่หนึ่งไปแลกพ้อยต์เรอะ”


หนุ่มไหล่กว้างโดนหมัดเล็กๆแต่หนักจนตัวทรุด หัวเราะลั่นขำจนตัวสั่นไปหมด


แต่ยิ่งโต้คารมก็ยิ่งใกล้ประตูเข้าไปทุกที อูยองรีบรั้งแขนพี่จุนซูเอาไว้แน่น


“พี่เอาเค้าไปด้วย” หนุ่มน้อยร้องขอเสียงอ่อนเชิงอ้อนวอน ปากเล็กๆขมุบขมิบไปมา


ใจหนึ่งของคิมจุนซูเมื่อเห็นสายตาละห้อยก็แทบละลาย...แทบอยากตกปากรับคำพาน้องหนีไปด้วยกัน แต่อีกใจก็ฝ่อลง...แค่นึกไปถึงหน้าเหี้ยมของเหล่าองครักษ์ทั้งสี่ที่ยืนกันอยู่ตรงทางเข้าออกก็ทำเอาลูกขี้ขลาดวิ่งปู๊ดชนขมองกลมๆอย่างแรง



“ถ้าพี่พาไปได้พี่พาไปแล้ว” เสียงกระซิบบอกนั้นเบาแสนเบา “แต่พวกพี่นัมยองน่ากลัวกว่าพี่จะรับมือไหวว่ะด้ง”



แก้มน้อยๆของอูด้งเบะย้อยลง ความน้อยใจเข้ามาครอบครองดวงตากลมดำสนิทชวนให้คนมองใจหาย



“เอางี้ล่ะกัน สวมนี่เอาไว้นะ” จุนซูแกะสร้อยข้อมือทำจากหนังถักคล้องด้วยจี้สลักเล็กๆออกจากข้อมือแล้วดึงมือน้องชายมาจัดการสวมใส่ให้เสร็จสรรพ “จะได้อุ่นใจเหมือนมีพี่อยู่ใกล้ๆตลอดเวลาไง”


พี่ชายตัวแสบก้มลงคล้องสายสร้อยอย่างบรรจง หัวสั่นดุ๊กดิ๊กไปมาตามเสียงเพลงที่ตัวเองฮัมงึมงำ

~จับจองเอาไว้ก่อน~



เมื่อสวมให้เสร็จเรียบร้อยก็เงยขึ้นมามอง ตาเรียวยาวของหนุ่มอารมณ์ดีโค้งชี้ตกลงยิ่งกว่าปกตินั้นส่งประกายระยิบระยับด้วยรอยยั่วเย้ากึ่งล้อเลียนจนกวนชวนโมโหของอีกฝ่ายที่จ้องเขม็งอยู่นานแล้วในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวจนได้


“ของดูต่างหน้า...ว่างั้น”
“อ่ะจื๋ยส์~! พี่ยังไม่ม่องนะไอ้น้อง”
“ยังเหรอ!”
“ย๊างงงงงงงงง”



หนุ่มรุ่นพี่ครางปฏิเศษเสียงหลงเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุกก็จริง แต่เมื่อเห็นทีท่าเอาจริงของเด็กรุ่นน้องในใจก็เกิดเสียววูบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทำเอามือไม้อ่อนต้องถอยเอนพิงประตูเอาไว้เป็นตัวช่วย



“ใจ-สู้-สู้สู้-ไว้-อู-ยอง-บอย” จุนซูถึงกับลงมือแรพให้กำลังใจ “นายผ่านมันไปได้แน่ พี่จะคอยช่วย...” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กๆจับที่มุมปาก พร้อมกับที่มือข้างหนึ่งอ้อมหลบไปจับลูกบิดประตู ตาเรียวยาววาบขึ้นก่อนหรี่ลง เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบา “....อยู่ไกลๆ”



พูดยังไม่ทันสิ้นเสียงด้วยซ้ำพี่ชายจอมเจ้าเล่ห์ก็เบี่ยงตัว เอาก้นดันประตูก่อนยกสองแขนขึ้นปรกกลางหัวกลมๆของตัวเองเป็นรูปหัวใจดวงใหญ่ ยิ้มเพล่เห็นฟันบนเรียงแถวครบก่อนผลุบหลุบออกไปทันที ทิ้งลูกเจี๊ยบยืนมองตามอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


“DIS IS HOW WE DO! WOO-YOUNG-BOY GOIN’ CRAZY”


หนุ่มแดกูถอยพลางร้องแรพแดกูสไตล์ให้กำลังใจหนุ่มน้อยปูซานไปพลางวิ่งโบกมือหยอยๆร้องตะโกนอย่างลิงโลด


“ฉันคือที่หนึ่ง ที่หนึ่งเท่านั้นที่ฉันคู่ควร”



เสียงหัวเราะแหบทุ้มเต็มปากเต็มคำราวออกมาจากตัวการ์ตูนจอมวายร้ายดังสะท้อนกลับไปมาตามโถงทางเดินชวนบาดหู



ความแสบของหนังศีรษะที่ถูกกัดด้วยสารเคมียังไม่เท่ากับความแสบสันต์ในหัวใจ


“ที่หนึ่งอะไร ที่หนึ่งไม่ได้เรื่องอ่ะจิ” ความอัดอั้นตันใจล้นเกินจะยับยั้ง ยังบอยเขม้นมองตามเงาลิบๆไปพร้อมส่งเสียงคำราม “ไอ้พี่บ้าหนีเอาตัวรอด”








 

Create Date : 18 สิงหาคม 2555
3 comments
Last Update : 18 สิงหาคม 2555 0:06:34 น.
Counter : 3968 Pageviews.

 

กรี๊ดดดดดดดดดดดด คิดถึงงงงง

ไม่รู้จะคอมเม้นอะไร แต่อยากบอกว่า "ชอบมาก"

 

โดย: หมูอ้วน...อิ่มจัง 18 สิงหาคม 2555 7:22:21 น.  

 

มาลงชื่อรออ่านตอนต่อค่าา
ครือว่า โมเมนท์อวดๆ ปน ทวงบุญคุณของพี่ซูนี่มันน่ารักจริงๆเลย 55555
ถึงฉันกลับก่อน แตฉันก็มาคนแรกนะเฟ้ย

 

โดย: ปลาวาฬ001 25 สิงหาคม 2555 23:47:34 น.  

 

ดีใจที่ชอบค่ะ


ความจริงดีใจกว่าที่มีคนเผลอหลวมตัวมาอ่าน

 

โดย: Quaver 28 สิงหาคม 2555 18:09:07 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.