ทริปฉลองครบรอบวันแต่งงานของพวกเราตรงกับช่วง long weekend วันพ่อแห่งชาติ ทุกปี แต่ปีนี้เริ่มด้วยความกะทันหันไปหมด หลังจากที่ฉันเลียบเลาะถามเขาล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ว่าปีนี้จะไปที่ไหนดี?... แต่ไม่มีสัญญานตอบรับ(จากหมายเลขที่ท่านเรียก) จนฉันถอดใจแล้วว่า หน้าหนาวปีนี้คงได้ นั่งๆ นอนๆ แกร่วอยู่เมืองกรุงเป็นแน่แท้ ... แล้วจู่ๆ เขาก็เปลี่ยนใจเอาเมื่อตื่นนอน 7 โมงเช้าของวันที่ 5 ธ.ค. ฉันบอกเขาว่า ขอแค่ camping สักคืนก็พอค่ะ เขารีบหาข้อมูลสถานที่ ฉันเลือกที่ "ภูทับเบิก" จากนั้นก็พากันรีบร้อนจัดสัมภาระแบบชนิดไม่เต็มสตรีม (ไม่มีอุปกรณ์ปรุงอาหาร)วันนั้นรถร่วมเส้นทางค่อนข้างเยอะ ถึงจุดหมายเกือบ 6 โมงเย็น ... แต่สำหรับฤดูหนาว เวลานี้กระพริบตา 2-3ที ก็มืดแล้ว เริ่มทางขึ้นภูฯ ถึงได้เห็นว่านักท่องเที่ยวที่มีจุดหมายเดียวกันมีจำนวนมากทีเดียว ตามความเข้าใจของฉัน น่าจะมาจากถนนหนทางขึ้นภูฯ สะดวกมาก ไม่ต้อง FW4 อย่างรถเรา ก็ขึ้นเขาได้สบายๆ จึงเห็นทั้งรถเก๋งโหลดต่ำพยายามแล่นอืดๆขึ้นไป และมอเตอร์ไซค์ขี่กันเป็นกลุ่ม... ตามประสบการณ์ของการ camping ของพวกเรา ควรถึงปลายทางสักบ่าย 3 โมง เพื่อจองที่กางเต็นท์เหมาะๆ ได้ชมวิวสวยๆยามเช้า/ยามเย็น และเผื่อเวลาไว้สำรวจพื้นที่ใกล้เคียงว่าทำกิจกรรมอะไรได้บ้างแต่ครั้งนี้เลือกไม่ได้ พวกเราก็ยัง(กระเสือกกระสน)ขับรถวนจนได้ที่กางเต็นท์เป็นแปลงกระหล่ำปลีที่เก็บเกี่ยวแล้วทำให้พวกเราได้ประสบการณ์ในการนอนบนพื้นที่ตะปุ่มตะป่ำที่สุดที่เคยนอนเต็นท์มาต้องอาศัยความสามารถส่วนตัวในการแหวกพื้นที่ที่เรียบที่สุดในเต็นท์ แถมนอนกันคนละมุม (นึกขำจริงเชียว-สวีทมาก)ห้องน้ำที่นั่นก็น้อยไปหน่อย (เอ่อ ที่จริง น้อยมาก) เมื่อเทียบกับที่อื่น และเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ล้นจากบริเวณกางเต็นท์ที่จัดไว้ ไปสู่แปลงปลูกผักกะหล่ำปลีที่เก็บเกี่ยวแล้ว--เช่นพวกเราหรืออาจเป็นเพราะความไม่ทันตั้งตัวของผู้ดูแลสถานที่(มือใหม่) จึงยังจัดการ/รับมือนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ไม่ดีนักและไม่ทั่วถึงเอาหละ ไม่ว่ากัน เพราะฉันเห็นเจ้าหน้าที่ที่ถือ ว.ท่านก็ ทา น่า ที่ เต ที่ และ ส่า กา อยู่ ตา หล่อ (ทำหน้าที่เต็มที่และสั่งการอยู่ตลอด) ทั้งเรื่องที่จอดรถและขอรถบรรทุกน้ำมาใช้ในห้องน้ำ เทียบกับการ camping ที่อื่นแล้ว ฉันขอเอ่ยชมภูทับเบิกในเรื่องอาหารการกิน มีร้านอาหารเพียบพร้อมให้เลือกหลากหลาย อย่างพวกเราไม่ได้เตรียมอาหารไปเลย ก็ไม่อดตาย ...ชักโม้มากไป...ดูรูปเลยดีกว่าค่ะเส้นทางคดเคี้ยว เหมือนเกมส์บันไดงูที่เคยเล่ยสมัยเด็ก แต่สะดวกเพราะราดยางตลอดกางเต็นท์ยามโพล้เพล้ อาศัยแสงจากตะเกียงแกส (เต็นท์ที่เห็นเป็นเต็นท์ข้างหน้าเรา)ประมาณหนึ่งทุุ่ม บางกลุ่มจุดโคมลอย แล้วร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ท่ามกลางความมืด ฉันได้ยินเสียงเพลงอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จากเต็นท์โน้น เต็นท์นี้ ลอยตามลมไปทั่วภูฯ น่าชื่นใจ ฉันก็แอบร้องแจมไปกับเค้าด้วยแล้วตะโกน "ทรงพระเจริญ"ซูมรูปดาวบนดิน แล้ว crop มาให้ดูชัดๆ ขึ้นค่ะ ... ... ภาพยามเช้า จากหน้าเต็นท์ ...ที่จริงฉันตื่นตั้งแต่ตี 5 แล้วนอนไม่หลับ นึกถึงพ่อ เลยลุกขึ้นมานั่งสมาธิเจริญภาวนา อุทิศกุศลให้ท่าน นั่งสงบๆ เย็นๆ ได้สักครึ่งชั่วโมง ท้องไส้เริ่มปั่นป่วน (อิอิ) เลยต้องคลายจากสมาธิ ไปทำธุระส่วนตัวเขา...เก็บเต็นท์ ฉัน...ถ่ายรูป (แต่ไปช่วยเก็บเต็นท์ทีหลังนะจ๊ะ)ระหว่างทางเดินไปเก็บภาพบนยอดภูฯ ผ่านร้านชาวเขาขายผักสด มันเผา และเครื่องดื่มร้อนๆ ก็แวะเติมพลังก่อนใครไม่ถ่ายรูปเจ้าผักนี้ แสดงว่ามาไม่ถึง ภูทับเบิกประสาคนไทย ไปที่ไหนต้องถายรูปกับป้ายฯ ที่ยอดภูฯ ผู้คนมากมายรอคิวถ่ายรูปกับป้ายฉันรอไม่ไหว แบกแต่ป้ายกลับมาก็พอเศษหนึ่งส่วนสาม-ส่วนสี่ ของปริมาณเต็นท์บนภูทับเบิกมองไปลิบๆ จุดเล็กๆในพื้นที่สีเขียว คือ นักท่องเที่ยวที่พึงใจกับการเดิยลุยไปถ่ายรูปในแปลงปลูกกระหล่ำปลีร้านขายของที่ระลึก และผักสดๆ ราคาถูกๆขับรถออกจากลานกางเต็นท์ (ที่ป้ายบอกว่า เป็นจุดสูงสุดของภูทับเบิก)ผ่านมาทาง "ภูสวรรค์"รีสอร์ท (ลานกางเต็นท์อีกแห่ง)ฉันหันหลังกลับไปมอง เห็นวิวสวยดี เลยจอดถ่ายรูป และหม่ำมื้อสาย ระหว่างรอข้าว... เพิ่งเคยเห็นดอกกระดาษต้นเป็นๆ ตัวเป็นๆ เลยวิ่งขึ้นเนินไปเก็บภาพมาชื่นชม ที่มาของชื่อบล็อกวันนี้ "... กินข้าวผัด ชนแก้วน้ำเปล่า ฉลองทริปครบรอบแต่งงาน" มุมมองจาก "ภูสวรรค์" รีสอร์ท แล้วตอนหน้า... ติดตามไปไหว้พระที่ "วัดป่าภูทับเบิก" กันนะคะTo be continued...