Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
12 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 

ภพชาติฤๅภาพฝัน - ภพ : เสี้ยวที่ ๒

ภพ : เสี้ยวที่ ๒



จิรวดีแยกเขี้ยวใส่เงาในกระจก ที่คราวนี้ไม่ยักจะขยับตามหล่อน

“อย่ามาเล่นลิ้นนะ อนาลา” หญิงสาวขยับจะก้าวเท้ายาวๆเข้าไป โดยลืมเสียสนิทว่าตนเองไม่ได้นุ่งกางเกงที่จะทำให้กระโดดโลดเต้นไปมาได้อย่างใจนึกอีกต่อไป

ผ้าผืนยาวกรอมเท้าลักษณะคล้ายผ้าถุงที่นุ่งอยู่ยามนี้จำกัดระยะก้าวของจิรวดีไว้กว่าเดิมเกือบเท่าตัว ทั้งยังกลายเป็นเหมือนอุปกรณ์ทรงพลังบังคับท่วงท่าการเดินให้งามสง่าเรียบร้อยอย่างที่หล่อนขัดขืนไม่ค่อยจะได้เสียด้วย

และตอนนี้...เจ้าอุปกรณ์สวยแต่รูป ใส่ไม่สบายนั้นก็กำลังแผลงฤทธิ์ที่คนนุ่งลืมไปเสียสนิท เมื่อขยับตัวหมายใจจะก้าวพรวดเดียวไปให้ถึงเงารูปเดียวกับตนเองนั่น

อุปกรณ์ในรูปผืนผ้าทำงานของมันทันที ปราศจากการเตือนทุกรูปแบบ มีเพียงผลลัพธ์....

คือคนเดินเกือบเสียหลักและสะดุดหัวทิ่ม !

ซึ่งผลของมัน...ก็คืออาการที่น้องชายหล่อนคงจะให้นิยามไว้ตามหลักเหตุผลว่า‘สะดุดหัวทิ่ม’นั่นเอง

“ว๊าย จีจี้” เสียงเสนาะในคันฉ่องอุทานอย่างตกใจ หากจิรวดีที่ยันแท่นตั้งคันฉ่องไว้ทันเห็นเต็มตาถึงสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความขบขันของอีกฝ่ายมากกว่าจะตกใจจริงจังเช่นน้ำเสียง

“อนาลา” หล่อนเรียกนามอีกฝ่าย “เลิกเล่นสนุกซะทีเหอะ”

“ระวังตัวหน่อยจีจี้” ฝ่ายตรงข้ามพูดไปอีกเรื่อง “คืนนี้ท่านลุงบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอัครราชธิดาแห่งสีหราห์ต้องปรากฏตัวได้แล้ว”

“ใช่” จิรวดียอมรับพร้อมจ้องเขม็ง “อัครราชธิดา...กับไอ้สารพัดตำแหน่งที่แสนจะเรียกยากอีกตั้งกี่อย่างก็ไม่รู้ นั่นมันเธอไม่ใช่หรือ อนาลา”

รอยยิ้มหวานปรากฏบนเรียวปากบางนั่น...แต้มเติมเป็นความงามอันน่าดูอย่างประหลาดเมื่อตอบคำด้วยเสียงกังวานวิเวกที่เสียดเข้าไปถึงหัวใจคนฟัง

“เดี๋ยวนี้เป็นเธอต่างหาก...จีจี้... เธอเป็นอนาลาแล้วนับแต่วันนั้น ลืมไปแล้วหรือ?”

ลืมหรือ?....หล่อนจะลืมได้อย่างไรกัน จิรวดีอยากกรีดร้องตอบ หากน้ำอุ่นจัดที่เคยเก็บกลั้นไว้กลับหยาดลงมาบดบังภาพตรงหน้าจนพร่ามัวไปหมด ขณะที่ภาพในความทรงจำกลับแจ่มชัดขึ้น

วันนั้น.....

วันที่หล่อนลืมตาตื่นขึ้นมา.....


.
.
.

เสียงพึมพำเป็นจังหวะสูงต่ำหากฟังไม่ได้ศัพท์กังวานแว่วเข้ามาใกล้ หากสำหรับคนที่ตั้งใจจะนอนหลับเอาแรงสักงีบแล้ว เสียงนั้นนับเป็นการรบกวนกันอย่างมหันต์จนพาให้หงุดหงิดอยู่หลายวินาทีกว่าจะรำลึกได้ว่านั่นน่าจะเป็นเสียงจากงานเลี้ยงฉลองวันครบรอบวันเกิด ๑๘ ปีของหล่อนเอง

ใครเปิดคาราโอเกะแล้วแน่ๆ.... เจ้าของงานเดาได้ไม่ยาก สมองที่เริ่มตื่นตัวและไล่ลำดับเหตุการณ์ยังใช้งานได้ดีพอจะนึกได้ว่าใครสักคนบอกหล่อนอยู่ให้รีบๆจัดการเค้กให้หมดซะ จะได้มาสุมหัวร้องเพลงไปพลางกินขนมของหวานไปพลางเป็นการตบท้ายงาน

แล้วนี่...คงมีใครเห็นแล้วว่าหล่อนหนีมาแอบนอนอุตุอยู่บนโซฟา จึงจัดแจงปลุกหล่อนด้วยเสียงเช่นนี้ ...ซึ่งพฤติการณ์นี้น่าจะเป็นคนที่รู้ดีว่าจิรวดีทนเสียงกวนโสตสูงๆต่ำๆแต่ฟังแล้วเยือกเย็นอย่างนี้ไม่ค่อยได้นัก

เห็นจะเป็นเจ้าตัวแสบ....นายโจมแน่ๆ

หญิงสาวคะเนตัวผู้ร้ายพร้อมเริ่มวาดบทลงโทษเจ้าน้องชายสุดที่รักไปต่างๆนาๆ อาทิ แกล้งเอารูปอีกฝ่ายตอนร้องไห้จ้าเมื่ออายุสองขวบสอดไปในสมุดการบ้าน หรือไม่ก็แอบหาเวลาอีกฝ่ายเผลอๆไปลบคำตอบในสมุดให้ผิดๆไปซะเลย พลางค่อยๆลองขยับตัว

ยังจำได้ว่าเมื่อตอนก่อนนอน แขนขาของหล่อนเบาหวิวไปหมด เบาจนรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต....

ต่างกับ....หัวใจของจิรวดีกระตุกวูบทันทีเมื่อตระหนักว่าในวินาทีนี้....เวลาน่าจะเพิ่งผ่านไปแค่ไม่นาน แขนขาของหล่อนกลับไม่อาจขยับได้ตามที่คิดอีกเสียแล้ว!

หญิงสาวสะท้าน...เป็นความรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบรรยายไม่ถูกถัดจากที่หัวใจเจ้ากรรมกระตุกความรู้สึกวูบเมื่อครู่

ความสะท้าน....สั่นไหวจากความหวาดกลัว!

เนื่องเพราะตอนนี้ หล่อนไม่อาจรู้เลยสักนิดว่าร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไรบ้าง แขนขาหรือแม้แต่ปลายนิ้วสักนิ้ว จิรวดีก็ไม่อาจสัมผัสได้

มันราวกับหล่อนกำลังไม่มีตัวตน!

หาก......คนที่กำลังจะอายุเต็ม ๑๘ ปี ไม่รู้ว่าควรเสียใจหรือควรหัวเราะขันดี เพราะหลังจากความตื่นตระหนกที่วาบขึ้นมาชั่วแล่นแล้ว ความหวั่นไหวทั้งมวลของจิรวดีก็หมดสิ้นไปพร้อมๆกับที่หล่อนแน่ใจว่าตนเองไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยร่างกายได้

ถ้าเป็นคนอื่นก็คงตกใจแตกตื่น....แต่ก็ว่าไม่ได้เหมือนกัน หญิงสาวค้านความคิดตัวเอง เพราะหล่อนเองก็เคยตกใจจนเกือบบ้าเหมือนกัน เมื่อเป็นอย่างนี้ครั้งแรก

วันนั้นก็คล้ายๆกันอีกอย่าง หล่อนเล่นกับคนอื่นไปได้เพียงครู่เดียวก็เริ่มเหนื่อย ทั้งที่การวิ่งเล่นเพิ่งจะเริ่มสนุกเท่านั้น จิรวดีที่อายุ ๑๒ ตัดสินใจข่มกลั้นเจ้าความเหนื่อยอ่อนที่พยายามเตือนและลากให้หล่อนไปนั่งพักไว้ และทำเป็นไม่แยแสมันเท่ากับความสนุกสนานตรงหน้า

แต่แรกมารดาหล่อนก็เป็นกังวล หากเด็กหญิงในตอนนั้นยังยิ้มแย้มร่าเริงด้วยความภาคภูมิใจว่าถ้าอดทนจริงๆ หล่อนก็สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นได้เช่นกัน

เด็กหญิงภูมิใจกับมันได้ไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะต้องนึกเสียใจกับมันไปเป็นวัน!

มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จิรวดีจะงีบหลับในรถ มารดาหล่อนไม่ทักท้วง กระทั่งเมื่อมาถึงบ้านนั่นแหละ เจนจิรา...ซึ่งเป็นผู้เล่าให้ฟังภายหลังเอง จึงค้นพบความผิดปกติ

จิรวดีไม่ยอมตื่น.... ดูเผินๆเหมือนเด็กหญิงนอนหลับเฉยๆ หากผู้เป็นแม่ที่คอยระมัดระวังมาตลอดกลับเฉลียวใจเร่งจับชีพจรของลูกสาวตัวน้อย ก่อนจะพบด้วยความตกอกตกใจว่าชีพจรของเด็กหญิงเต้นช้ามาก...พอๆกับลมหายใจที่เบาบาง!

แน่นอน...ว่าบทเรียนหนึ่งหลังจากนั้นคือการระมัดระวังตัวเองมากขึ้นของคนป่วยไม่เจียมสังขาร ทว่ามีแต่จิรวดีเท่านั้นที่รู้ว่าหล่อนได้บทเรียนอะไรมาอีกอย่าง

‘จีจี้ไม่เชิงหลับนะคะ’ เด็กหญิงวัย ๑๒ ตอบขณะนั่งหน้าเซียวบนเตียงคนไข้ แม้จะสำนึกผิดหากยังไม่วายขยับตัวยุกยิกอย่างคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ‘จีจี้ก็รู้สึกเหมือนกันว่าเออ นอนนานไปแล้ว เดี๋ยวแม่มาปลุก จีจี้ตื่นเองดีกว่า แต่ไม่รู้ทำไม จีจี้ขยับตัวไม่ได้’

คนเป็นพ่อทำหน้ายุ่งยาก ขณะที่ผู้เป็นมารดาที่กำลังปอกผลไม้ให้คนป่วยขยับปากจะดุลูกสาวใหม่ จิรวดีก็รู้แกวรีบเอ่ยต่อทันที

‘แล้วที่จีจี้ว่าไม่ได้หลับก็เพราะ ตอนนั้นจีจี้ได้เสียงเหมือนมีใครพูดอะไรอยู่รอบตัวตลอดเวลาเลยด้วยล่ะค่ะ’

‘คุณหมอน่ะสิ’ บิดาว่า ทำให้จิรวดีหันไปมองตาแป๋ว....โล่งใจว่าอย่างน้อยๆก็ไม่ถูกแม่เทศน์เรื่องเดิมล่ะ ‘ก็เราน่ะ...ไอ้ความไม่เจียมตัวไม่เจียมสังขารห่วงเล่นนั่นทำให้คุณหมอคุณพยาบาลเขาวุ่นวายไปเท่าไร อย่าลืมซะล่ะ’

เด็กหญิงรับคำและรับผลไม้ที่ปอกเสร็จเข้าปากด้วยท่าทางจ๋อยๆ แล้วตัดสินใจหุบปากดีกว่าจะฟังคำบ่นเพิ่ม

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครได้ฟังข้อสังเกตของเด็กหญิงต่อไปว่า เสียงที่เอ่ยนั้นเป็นเสียงที่ประหลาดจนจิรวดีไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงหมอหรือไม่ ในเมื่อคุณหมอของหล่อนเป็นคุณลุงท่าทางใจดีแต่เข้มงวด

ขณะที่ในภาพฝันเลือนราง...เสียงนั้นเป็นเสียงใสของผู้หญิง!

จิรวดีฟังไม่ออก ว่าคนในฝันพูดว่าอะไร รู้แต่เพียงเสียงนั้นไพเราะอย่างประหลาด...ไม่ได้ไพเราะเพราะเสียงที่หวานใสเพียงอย่างเดียว หากท่วงทำนองสูงต่ำที่เอ่ยแต่ละคำไปนั้นสิ มันฟังราวกับเป็นเสียงดนตรีมากกว่าบทพูดธรรมดา

และมันก็ช่างคล้ายกับเสียงที่หล่อนได้ยินยามนี้เหลือเกิน...

เด็กหญิงที่เติบโตเป็นหญิงสาวขมวดคิ้ว... แม้รู้ว่าไม่อาจทำได้อย่างใจนึก แต่อุปาทานก็ทำให้จิรวดีรู้สึกเหมือนตนเองกำลังขมวดคิ้วอยู่กลางความมืดที่มีแต่เสียงนั้นอยู่เป็นเพื่อนอย่างประหลาด

หากคราวนี้ เสียงที่หล่อนได้ยินไม่ไพเราะเท่า แม้มันจะมีกังวานที่ฟังแล้วรื่นหูแต่ก็ยิ่งทำให้เย็นเยือกประหลาด

มีหลายคน...ไม่ใช่คนเดียวอย่างคราวนั้น ที่กำลังเอ่ยบางสิ่งบางอย่างอยู่รอบๆตัวหล่อน และก็เป็นเสียงห้าวของผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเสียด้วย

หญิงสาวเงี่ยหูฟัง...แว่วสรรพสำเนียงต่างๆชัดขึ้น และเริ่มสำเหนียกว่าในเสียงที่ตนได้ยินมีการเอะอะวุ่นวายบางประการแฝงอยู่

....หมอ...หนนี้ค่อยน่าเชื่อหน่อยว่าคงเป็นหมอแน่ๆ!

ร่างกายของหล่อนคืนมาให้รับรู้ได้วูบ...ราวมีสายลมพัดผ่าน พร้อมที่จิรวดีรู้สึกว่าหล่อนขยับได้...ลุกขึ้นยืนได้!

หากหลังจากลุกยืนได้... หญิงสาวก็ยังยืนเหม่อ.....มองความมืดมิดรอบกาย

หล่อนเคยดูละคร อ่านนิยายและการ์ตูน....แทบทุกเรื่อง จะต้องมีจุดดึงอารมณ์ให้เป็นห่วงตัวเอกเล่นว่าจะตายแหล่มิตายแหล่ หลงทางอยู่ในหมอกควันหรือไม่ก็ความมืดคล้ายๆหล่อนตอนนี้แหละ

แต่ตัวเอกทุกเรื่องมีแสงสว่างมานำทาง มีเสียงมาพากลับซึ่งส่วนมากจะเป็นคู่รักที่รอคอยร้องห่มร้องไห้เฝ้ากันอยู่ไม่ไปไหน

แต่หนทางข้างหน้าของจิรวดี...ยังมืดสนิท....

อย่าว่าแต่ทางมืดสนิทเลย คนที่นอนป่วยจนชินแต่ยังไม่เจอพระเอกกินกิมจิยังค่อนข้างเชื่อว่าไอ้ที่หล่อนรู้สึกนี้น่าจะเป็นอุปาทานของความรู้สึกล้วนๆด้วยซ้ำ

และน่าเศร้า...ที่คำตอบที่หล่อนตอบไม่ได้ตอนอายุ ๑๒ พอเวลาผ่านไปไม่ถึง ๖ ปีดี จิรวดีก็ได้คำตอบที่ทำลายมนต์ขลังพาฝันไปเสียสิ้นว่าเสียงหวานๆที่หล่อนได้ยินนั้นแม้จะไม่มีทางเป็นเสียงลุงหมอไปได้ แต่มีความเป็นไปได้สูงอย่างยิ่งที่จะเป็นเสียงนางพยาบาล

หญิงสาวอยากกลอกตา ยกมือเกาหัวตัวเองสักสองแกรกแล้วถอนหายใจเฮือก แต่รู้ดีว่าไร้ผล....

ว่ากันตามตรง หล่อนไม่ควรจะมาทำอะไรอย่างที่ว่ามาสักอย่าง ยิ่งไม่ควรปล่อยความคิดตัวเองให้ฟุ้งซ่านไปเปล่าๆอีกด้วย

หล่อนควรจะสู้อีกครั้งไม่ใช่หรือ?

ประโยคนี้จิรวดีใช้บอกตัวเองซ้ำๆมาไม่รู้กี่ร้อยหรือกี่พันเที่ยว หล่อนก็คร้านจะจดจำ เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่จำนวนครั้ง

แต่เป็นแววตาของแม่ที่มองมา ความอบอุ่นของพ่อที่มีให้ และความสนุกสนานที่น้องชายพยามจะแบ่งมาให้หล่อนอย่างสุดความสามารถต่างหาก!

เหล่านี้ต่างหากคือภาพที่จิรวดีจดจำได้แม่นยำยิ่งกว่าสลักไว้... มันเป็นสิ่งที่หล่อนได้มา...ให้รู้ว่าทุกๆครั้งที่หล่อนบอกตัวเองว่าพยายาม บอกตัวเองว่าต้องสู้ไปอีก ก็มีคนที่พยายามและสู้เพื่อให้หล่อนก้าวเดินไปได้พร้อมๆกัน

และยิ่งจดจำไว้มากเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นของที่ไม่อาจทิ้งได้ลงมากขึ้นเท่านั้น หญิงสาวรับสิ่งที่ครอบครัวทั้งหมดมอบให้มาในชีวิตหล่อนมาเป็นไม้เท้าช่วยคลำทางช่วยประคองให้เดินไป แบ่งเบาความทุกข์ยากทั้งหลาย หล่อนจึงไม่อาจที่จะบอกว่าในขณะที่คนอื่นๆพยายามกันถึงเพียงนั้น หล่อนจะโยนไม้เท้าออกแล้วทรุดตัวลงนั่งไม่ยอมไปต่อ

จิรวดีทำไม่ได้...และไม่มีวันทำ!

ต่อให้รอบด้านหล่อนมืดมิด...หล่อนก็ต้องเดินเปะปะไปหาแสงสว่าง...ต่อให้มันเป็นแสงสว่างของหลอดไฟนีออนในโรงพยาบาลที่ไม่สวยงามดังภาพที่วาดเขียนขึ้นมา...

หรือต่อให้ไม่มีแสง....

ความคิดของจิรวดีสะดุดลงเมื่อเบื้องหน้าของหล่อนปรากฏแสงสว่างวูบ

มันเป็นแสงสีขาว...ตัดกับความมืดจนตาของหล่อนน่าจะดูพร่าเลือนไปหมดตามทฤษฏีที่เจ้าโจมชอบมากรอกหูหล่อน ทว่าจิรวดีกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น แสงสว่างเบื้องหน้าไม่ได้ทำให้นัยน์ตาของหล่อนเสียหาย

แต่มันนำมาซึ่งความตื่นตะลึง กับความสยองขวัญแบบแปลกๆจนคนอยู่กลางความมืดถึงกับเผลอผงะถอยหลังกรูดไปร่วมสิบก้าวแทน!

“เป็นไปไม่ได้” หลุดปากไปแล้วจิรวดีก็อยากรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีเสียแต่หล่อนไม่อาจรู้สึกได้ ...นี่ก็อีก ถ้าหล่อนยังนอนพะงาบๆอยู่จริง หล่อนต้องไม่สามารถทั้งมองเห็น หลุดปากพูดออกมาเป็นเสียงสะท้อนไปมายังกับอยู่ในห้องปิดได้แบบนี้สิ!

หากจิรวดีไม่มีเวลาให้สงสัยนาน... เพราะเจ้าแสงสว่างที่น่าจะเป็นตัวแทนแห่งความหวังของนางเอกนั้นค่อยๆขยายตัวออกและไล่ลามมาหาหล่อนด้วยความเร็วสูง จนคนที่เกือบจะได้รับบทผงะซ้ำสองและตัดสินใจสละตำแหน่งนางเอกด้วยการหันหลังวิ่งหนีสุดฝีเท้าทันใด

ทว่ามาราธอน...ไม่ว่าจะห้าสิบเมตรหรือร้อยเมตรก็ไม่เคยเป็นวิชาที่จิรวดีทำได้ดี ขณะที่เจ้าแสงด้านหลังน่าจะเป็นเจ้าของสถิติใหม่ได้สบาย เพราะแค่จิรวดีหันหลังวิ่งได้สองก้าว แสงสว่างนั่นก็คืบคลานเข้ามาโอบอุ้มหล่อนไว้หมดสิ้น

แม้จะอยู่ในอ้อมกอดของแสงสว่างแล้ว จิรวดียังไม่รู้สึกนัยน์ตาพร่าเลือนอยู่นั่นเอง หากในหูของหล่อนกลับแว่วเสียงสูงต่ำที่รัวเร็วกระชั้นชัดขึ้นราวกำลังเข้าไปใกล้เสียงนั้นทุกขณะแทน พร้อมที่ลางสังหรณ์หรืออะไรบางอย่างกำลังกรีดร้องเตือนสุดเสียง


.
.
.

“ทำไมฉันถึงทายหวยไม่แม่นอย่างนี้บ้างนะ” จิรวดีว่า พลางปาดน้ำตาออกจากหน้าของตัวเองอย่างโกรธๆ...ที่บอกไม่ถูกว่าเพราะใครหรืออะไรกันแน่

ขณะที่ ‘อนาลา’ ...เงาสะท้อนในกระจกนั้นคลี่ยิ้มเฉิดฉายราวดอกไม้แรกบานในรุ่งอรุณเมื่อเอ่ยคล้ายปลอบประโลม

“เพิ่งผ่านมา ๒ สัปดาห์เองนี่นา...เดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนจีจี้ก็เดาได้เองนั่นแหละ ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง”

“ตั้ง ๒ อาทิตย์!!!” จิรวดีแก้เสียงหลง พลางย่างสามขุมเข้าไปหาคันฉ่องและพูดด้วยเสียงลอดไรฟันต่อ “ฉันตื่นขึ้นมา...และอยู่ในสภาพนี้ตั้ง ๒ อาทิตย์ต่างหาก เธอเข้าใจไหม อนาลา!”

อนาลาผงกศีรษะแช่มช้า
“ฉันย่อมต้องเข้าใจแจ่มแจ้ง จีจี้”

“งั้นก็กลับมาเอาร่างหล่อนไปเซ่!!!”

จิรวดีแทบร้องกรี๊ดเข้าไปเขย่าคันฉ่องในกรอบไม้ ติดแต่ว่าหล่อนเคยลองมาแล้วเมื่อได้คุยกับอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกๆ และผลของมันน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่หล่อนพบว่าแม้กรอบข้างหน้าจะเรียบ แต่ถ้าหล่อนจิกตีมากๆเข้า หล่อนก็จะโดนเสี้ยนตำมือได้

ครั้งนี้หญิงสาวจึงระงับอารมณ์ได้อย่างน่าชื่นชมด้วยการส่งเพียงดวงตาลุกวาวให้อีกฝ่าย และอนาลาก็มีสีหน้ายินดีอย่างไม่ปิดบัง

“ดูสิ แค่ ๒ อาทิตย์ จีจี้ก็เริ่มทำสายตาแบบเจ้าหญิงได้แล้ว รับรองว่าชีวิตที่เหลือไม่ลำบากแน่ๆจีจี้”

“นั่น-ไม่-ใช่-ปัญ-หา-ที่-เรา-กำ-ลัง-พูด-ถึง อ-นา-ลา” จิรวดีเอ่ยเสียงเย็นหากเน้นหนักทุกคำพูด

แต่ดูเหมือนความเยือกเย็นที่มีแต่ภายนอกของจิรวดีจะไม่มีผลกับอนาลามากนัก เพราะฝ่ายนั้นยังคงแย้มริมฝีปากน้อยๆอย่างน่าดู เมื่อเอ่ยด้วยน้ำเรียบที่อ่อนหวานแต่เน้นหนักดุจเดียวกันว่า

“ถูกแล้ว นั่นมิได้เป็นปัญหาของฉันอีกต่อไป หากมันเป็นปัญหาของเธอที่ฉันอดห่วงไม่ได้ต่างหาก จีจี้”

“งั้นเธอก็กลับมาสิ” จิรวดีพูดคำที่หล่อนเคยพูดมาตลอดสองอาทิตย์เมื่อเจอฝ่ายตรงข้าม

และอนาลาก็พูดคำเดิม...ที่ทำให้ร่างของจิรวดียามนี้สั่นสะท้าน

“ไม่ได้หรอก จีจี้ ฉันเคยบอกแล้วมิใช่หรือ?” เสียงนั้นอ่อนโยน...เต็มไปด้วยการปลอบประโลม “ว่าฉันกลับไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉันตายแล้ว”

เงาร่างสะคราญในกระจกขยับถอยหลังไปเล็กน้อย ก่อนหล่อนจะทรุดตัวลงคล้ายนั่งบนชิงช้าที่ขยับโล้ไปมาช้าๆ ทั้งๆที่ในสายตาของจิรวดีเห็นเพียงแต่อากาศธาตุที่รองรับฝ่ายนั้นอยู่ แล้วเอ่ยต่อ

“ฉันถูกวางยาพิษแต่ก่อนหน้านั้น เห็นจะเป็น ๒๐ วันก่อนกระมัง” เสียงเสนาะเรียบเรื่อยราวเอ่ยเรื่องธรรมดาสามัญมากกว่าความเป็นความตาย “ราชะแห่งสีหราห์ หรือท่านลุงนั่นแหละ ให้หา....หมอ...ทุกประเภททุกแบบมารักษาฉัน แต่ก็ทำได้เพียงพยุงลมหายใจของฉันไม่ให้หยุดลงเท่านั้น หากถึงอย่างนั้น...”

ปลายนิ้วเรียวยกขึ้น จับเชือกชิงช้าที่ดูจะมีเพียงตนซึ่งเห็นให้โยกเร็วขึ้นเล็กน้อย ก่อนวงหน้าที่แย้มยิ้มเสมอจะเลือนหายกลายเป็นอากัปการทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง

“มฤตเทพมารับฉันนับแต่วันนั้นแล้ว จีจี้ อายุขัยในโลกนี้ของฉันหมดลงและไม่มีทางต่อได้ ที่ยังหายใจอยู่ก็มีเพียงแต่ร่างเท่านั้น ต่อให้ประคองไปได้เช่นนั้น ก็ไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีก มิหนำซ้ำจะช้าหรือเร็วก็ต้องผุพังไปไม่ต่างจากไม้ล้ม...”

ข้อความเหล่านี้จิรวดีเคยได้ฟังผ่านหูมาบ้างแล้ว แต่ไม่มีครั้งไหนจะได้ยินรายละเอียดลึกเท่าครั้งนี้

ไม่สิ... พูดให้ถูกต้องจริงๆควรบอกว่า ตลอดเวลานับแต่หล่อนลืมตาตื่นขึ้นมา ยังไม่มีครั้งไหนที่หล่อนจะไม่ทั้งโกรธและร้องไห้เหมือนคนบ้าขัดอีกฝ่ายไม่ให้พูดจบ...แบบครั้งนี้

แต่ก็นั่นแหละ หล่อนทำอย่างที่ว่ามาตั้งสองอาทิตย์จนหมดแรงไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ และแค่คิดว่าจะร้องไห้อีกครั้ง ในอกก็พลอยละเหี่ยจนกระทั่งหลั่งน้ำตาไม่ออกแล้วสักหยด

อนาลาจึงเพิ่งได้โอกาสพูดยาวๆอย่างนี้เป็นครั้งแรก

“และบรรดา....” หญิงสาวที่ไหวตัวไปมานั้นชะงักไปเล็กน้อย โคลงศีรษะคล้ายลังเลก่อนตัดสินใจเลือกคำที่จิรวดีจะเข้าใจได้ง่ายที่สุดเพื่อกล่าวต่อ “หมอทุกแบบที่ท่านลุงหามาก็ย่อมต้องมีผู้รู้ ว่าสภาพของสังขารอันปราศจากวิญญาณอยู่ภายในนั้นก็ย่อมไม่ต่างกับตายไปแล้วเท่าไร แต่เมื่อเป็น....คำสั่งของราชะ หมอพวกนั้นก็ย่อมต้องหาวิธีรักษาฉันให้จงได้”

“ใครคนหนึ่ง...ผู้ดูจะเชี่ยวชาญในวิชาไสยะได้เสนอข้อคิดต่อผู้ร่วมชาตาในการหาหนทางรักษาฉัน เขาว่าเป็นเหตุและผลอย่างตรงไปตรงมาดีว่าแม้การรักษาด้วย..ยาต่างๆนั้นจะได้ช่วยทำลายพิษในร่างกายของฉันไปเกือบสิ้นแล้ว แต่ยังคงเหลือการรักษาวิญญาณของฉันอีกหนึ่งอย่าง ฉันถึงจะฟื้นคืนมาได้”

นัยน์ตาสีราตรีของจิรวดียามนี้ทอประกายสงสัยขึ้นมาทันใด และเงาสะท้อนผู้มีพิมพ์เดียวกันก็ดูจะเข้าใจดี เพราะเจ้าหล่อนเอ่ยเหมือนตอบคำถามในใจของคนฟังว่า

“นั่นเป็นเรื่องที่...แทบเป็นไปไม่ได้ หรือในกรณีของฉันจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลยก็ไม่ผิดนักหรอก จีจี้ และพวกเขาก็ไม่ได้หมายถึงการรักษาวิญญาณของฉันจริงๆหรอก พวกเขาหมายถึงว่าจะทำอย่างไร ร่างกายของฉันจะมีวิญญาณต่างหาก”

รอยยิ้มบางๆหวนกลับมาอีกครั้ง คล้ายเมื่อเล่าถึงตรงนี้ คนเล่าก็ขบขันเสียเต็มประดา ขณะที่หัวใจผู้ฟังกระตุกแปลบประหลาดเพราะเจ้ารอยแย้มริมฝีปากนั่น

“ลมหายใจของฉันยังอยู่ ที่ขาดหายไปมีแต่วิญญาณ หากเรียกวิญญาณกลับมาได้ ฉันก็ย่อมลุกขึ้นมาอีกครั้ง และผู้เอ่ยคำนี้ก็รู้...พิธีกรรม..อันจะเรียกวิญญาณที่หายไปจากร่างให้กลับคืนมาได้เสียด้วย”

...งั้นอนาลาก็ควรจะยังเป็นอนาลา ไม่ใช่เป็นอนาลาที่มีหล่อนอยู่ข้างใน... จิรวดีนึกเดาได้ทีเดียว ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังไม่วายเค้นถามเสียงลอดไรฟัน

“พิธีกรรมมันล้มเหลวใช่ไหม”

“สำเร็จต่างหากเล่า” อนาลาตอบเสียงกลั้วหัวเราะอย่างไม่ปิดบังทันควัน “ไม่อย่างนั้นเธอจะอยู่อย่างนี้ได้อย่างไรล่ะ จีจี้ ถ้าพิธีกรรมนั่นไม่สำเร็จ มันสำเร็จท่ามกลางความโล่งใจของทุกฝ่าย อัครราชธิดาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแม้ร่างกายจะอ่อนแอเพราะหลับไปเกือบ ๗ วัน จนต้องพักผ่อนอีกยาว แต่ก็นับเป็นความสำเร็จอันน่ายินดี”

“ยินดีบ้าอะไร!” จิรวดีแหวเสียงใส่พร้อมแยกเขี้ยวย่างสามขุมอย่างหมดความอดทน “มันล้มเหลวเรียกวิญญาณมั่วๆชัดๆนี่หว่า!”

“ไม่ผิด” อนาลายังยืนยัน...บนชิงช้าอากาศธาตุของหล่อนด้วยสีหน้าที่แฝงความเร้นลับแกมยั่วเย้า “เธอขัดฉันเสียทุกทีนี่นา จีจี้ เลยข้ามตอนสำคัญไปอีกตอน... ว่าการเรียกวิญญาณของเขา คือเรียกวิญญาณที่ออกจากร่างในวันและยามที่พวกเขาเอื้อนเอ่ยให้กลับมาคืนเข้าร่างนี้ ซึ่งที่เขาเอ่ยถึงในเวลานั้นน่ะ คือ‘เรา’ทั้งคู่อย่างไรเล่า จีจี้”

จิรวดีอ้าปาก ขยับจะค้าน แต่ประโยคสุดท้ายนั้นเหมือนแส้ที่เฆี่ยนลงบนหัวใจของหญิงสาวอย่างแรง ขณะที่อนาลายังคงเล่าเรื่องต่อไป

“แต่‘เรา’ก็ยังต่างกันอยู่หนึ่งอย่าง คือแทบจะทันทีที่วิญญาณของฉันละจากสังขาร ฉันก็..อุบัติ...ขึ้นในอีกภพภูมิแล้ว ถือว่าเป็นอีกผู้หนึ่ง จึงไม่ใช่ผู้ที่เขาเพรียกหา...เหลือเพียงเธอ....”

คำพูดขาดหาย เหลือเพียงเค้าหน้าอ่อนโยนที่ส่งรอยยิ้มให้ พร้อมเสียงเรียก

“จีจี้....”

“ไม่!” คำปฏิเสธหลุดจากปากแทบจะทันทีที่จิรวดีหาเสียงตัวเองเจอ “ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่ๆ มันแค่เป็นการผิดพลาดทางเทคนิค ไอ้ไสยศาสตร์บ้าอะไรนั่นต้องมีตรงไหนผิดแน่ๆ เลยเอาวิญญาณฉันมายัดใส่ร่างเธอ วิญญาณฉันอาจจะออกจากร่าง แต่...แต่...ฉันยังไม่ตายสักหน่อย!”

ท้ายประโยคฟังเกือบเหมือนเสียงตะโกน ที่ตัวคนออกปากเองก็หอบจนตัวโยนหลังพูดประโยคยาวเหยียดพวกนั้นจบ ขณะอีกฝ่ายรับฟังด้วยสีหน้าสงบก่อนคลี่ยิ้มละมุนและพยักหน้ารับง่ายๆ

“ใช่”

จิรวดีแทบถลกผ้าที่นุ่งอยู่ยันคันฉ่องในกรอบไม้

“ได้ยังไงยะ!” หญิงสาวเผลอตะโกนอีกคำรบ “หล่อนยอมรับง่ายๆว่าเหตุมันเกิดเพราะผิดพลาดเพราะมั่วแบบนี้ได้ยังไง!”

“ก็ถ้าไม่ยอมรับ บอกว่าจีจี้ตายไปแล้วจริงๆ จีจี้ก็โกรธอีกไม่ใช่หรือ?” อนาลาถามกลับหน้าตาย

แน่นอนว่าที่อีกฝ่ายพูดจริงยิ่งกว่าจริง แต่เส้นประสาทความกราดเกรี้ยวของจิรวดีกลับยิ่งทำงานหนักขึ้นจนเนื้อตัวสั่นเทิ้มไปหมด ขณะที่อนาลาหัวเราะเสียงหวาน

“เหตุมันจะเกิดเพราะอะไรตอนนี้ เวลานี้ ยังไม่สำคัญไม่ใช่หรือ จีจี้?”

“สำคัญที่สุดสิ” จิรวดีแย้ง แม้น้ำเสียงจะยังคงแววขุ่นเคือง หากลึกลงไป กระทั่งตัวหล่อนเองก็ยังรู้สึกถึงความสั่นไหวไม่แน่ใจในนั้น “ถ้ารู้เหตุว่ามาที่นี่ได้ยังไง ฉันก็จะหาทาง...กลับบ้าน...ได้น่ะสิ”

อนาลาไม่ได้ตอบหรือปฏิเสธข้อความนั้นของหล่อน อดีตเจ้าของร่างที่กลายมาเป็นร่างของจิรวดีเพียงเอียงคอเล็กน้อย ทำท่าคล้ายสดับเสียงบางอย่างให้จิรวดีมองซ้ายมองขวาอย่างพลอยระแวดระวังไปด้วย เพราะทุกครั้งที่อีกฝ่ายทำท่าทางแบบนี้ก็มักจะตามมาด้วยการที่ใครสักคนโผล่หน้ามาเมียงๆมองๆ‘อัครราชธิดา’ด้วยความหวาดระแวง

ที่จิรวดีไม่เคยเข้าใจความหมายนั้นแน่ชัดสักที

แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะยังไม่มีใครมา... อนาลาก็ผุดลุกขึ้นจากที่นั่งของหล่อนอย่างรวดเร็ว เรือนร่างระหงขยับวูบคล้ายลอยล่องมาหยุดอยู่ที่อีกฟากคันฉ่องในระยะใกล้พร้อมสีหน้าที่แม้จะยังแจ่มใส แต่ดวงตากลับทอประกายกลัดกลุ้มชัด

“ก่อนหน้านั้นนะ จีจี้.... ไม่คิดจะถามอีกสักเรื่องหรือ?”

“ไม่เอา” คนตอบพาล เบ้ปากแทบจะเมินมองไปทางอื่น ละเลยแววกลัดกลุ้มที่เร้นลึกนั้นอย่างจงใจทั้งที่หล่อนเคยเห็นมันบ่อยครั้งจากสายตาของมารดา หากก็นั่นแหละ การมองเห็นแววตานั้นมันยิ่งทำให้จิรวดีรำลึกถึงคนเป็นแม่มากขึ้นจนหล่อนแทบกระอัก

“แค่ต้องมาเห็นที่นี่....ฉันก็ปวดหัวมากพอแล้ว ยังไม่อยากคิดหาอะไรนอกจากวิธีกลับ”

คำตอบเฉียบขาด...ที่เต็มไปด้วยทิฎฐิซึ่งเงาสะท้อนยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยโต้

“จะต้องหาหรือไม่หา มากหรือน้อย ก็แปลว่าจีจี้...ไม่สิ อนาลายังอยู่ต่อและกำลังจะปรากฏกายอีกครั้งในคืนนี้ ไม่ใช่หรือ”

‘อนาลา’จำใจในตอนนี้ยังไม่ทันอ้าปากโต้ อดีตอัครราชธิดาก็เป็นฝ่ายเอ่ยต่ออย่างไม่เว้นช่องว่า

“ราชะแห่งสีหราห์จัด...งาน...ขึ้นมาแบบนี้ ย่อม...”

จิรวดีขัดจังหวะทันที หลังจากความอดทนสะสมของการแกล้งเมินเฉยมอดลงอย่างรวดเร็วพอๆกับไฟที่ไหม้ก้านไม้ขีด

“ก็แล้วมันยังไง”

“ก็แล้ว.....ไม่คิดจะถามฉันสักคำหรอกหรือ ว่าฉันโดนใครปองร้ายจนต้องตายแบบนี้?”



<>:<>:<>:<>:<>






 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2554
2 comments
Last Update : 11 กันยายน 2554 4:01:15 น.
Counter : 566 Pageviews.

 

OHO

 

โดย: nangjai1 12 กุมภาพันธ์ 2554 22:50:51 น.  

 

มาลงชื่อว่ายังตามอ่านอยู่ ช่วงนี้เครียดกับนิยายมากเหมือนกัน หวังว่าจะตามอ่านนิยายคนอื่นแล้วจะเขียนออกได้บ้าง - -

 

โดย: สร้อยดอกหมาก IP: 49.228.87.173 13 กุมภาพันธ์ 2554 20:03:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


อมราวตี
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]





ครั้งหนึ่ง.....เคยนั่งอยู่
วันหนึ่ง.......เคยลุกมาก้าวเดิน
และอีกวัน...อาจหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน
-- -- -- -- -- -- -- -- -- --
"คนเรามักจดจำความเจ็บปวดของตนเอง แต่หลงลืมความเจ็บปวดของผู้อื่น"




New Comments
Friends' blogs
[Add อมราวตี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.