Group Blog
 
 
ตุลาคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
30 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 

-๑-๑-วัชราอัคนี-๑-๑- "บทที่ ๑"

}{:}{:}{:}{:}{:}{





บทที่ ๑



วัชราเก็บดาบคมกริบอันปราศจากโลหิตนั้นเงียบๆ



“สุดท้ายเจ้าก็ไม่ได้ฆ่าคนพวกนั้น” ผู้ที่เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนตั่งไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลเข้มออกปากทัก



เจ้าของดาบหันกายกลับมาเผชิญหน้า...สตรีผู้อยู่ห่างจากตนไปไม่ถึงห้าก้าว ตั่งไม้นั้นยกสูงขึ้นจากพื้นจริงอยู่ แต่มิได้มากเท่าใดนัก ดังนั้นหากวัชราขยับสืบเท้าเข้าไปใกล้อีกเพียงเล็กน้อย ก็จะกลายเป็นยืนอยู่สูงกว่าอีกฝ่ายไปโดยปริยาย



...อย่าพาชีวิตไปอยู่ระหว่างความเป็นความตายโดยไม่เข้าท่าจะดีกว่า...



กลีบปากบางเฉียบแย้มขบขันให้ตนเอง และเรียกเรียวคิ้วที่โก่งงามได้รูปของอีกสตรีให้เลิกขึ้นเล็กน้อยแทนคำถามอีกครั้ง



คราวนี้ วัชราจึงตอบ



“ข้าไม่ได้ฆ่าคนพวกนั้น” มือที่เกาะกุมดาบที่นอนนิ่งในตัวฝักขยับลงข้างกายอย่างสบายๆ “เรื่องที่พวกเขารู้ ปล่อยให้คนอื่นรู้ไปจะสบายเรากว่ามาก”



“แต่ข้าสั่งให้เจ้าไปฆ่าพวกมัน....” ฝ่ายตรงข้ามค้านเสียงเอื่อยๆ ไม่บอกอารมณ์ความรู้สึกใด ขณะวัชรายังแย้มริมฝีปากอย่างใจเย็น



“ท่านมอบหมายข้าให้ไปจัดการคนพวกนั้น” วัชราทวนคำสั่ง “แต่ท่านไม่ได้ระบุให้ชัดว่าให้จัดการแบบไหน และยังบอกให้ข้าสืบสวนดูให้รู้แน่ก่อนจะลงมือด้วย นั่นไม่ได้แปลว่าให้ข้าสืบและตรวจตราเรื่องนี้ให้แน่ก่อนหรือ”



รอยยิ้มบนวงหน้าเฉิดเฉลานั้นขยายกว้างขึ้นกว่าเดิม ขณะมองสบนัยน์ตาผู้ถาม



“หรือข้าเข้าใจผิดไปเอง ท่านปาดา”



ท่านปาดา...ผู้นั่งบนตั่งไม้และมองกลับแววตาของผู้อ่อนวัยกว่าด้วยความเยือกเย็นมิได้มีอาการขุ่นเคืองใดๆทั้งสิ้น มือเรียวที่ยังคงเค้าลางความงามนับแต่วัยสาวสะพรั่งเอื้อมใบหยิบพัดใบไม้สานมาโบกไปมา ก่อนจะตอบ



“ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองตีความผิดจริง เจ้าคงไม่กลับมารายงานข้าแบบนี้หรอกกระมัง วัชรา”



“ข้าทำตามที่ท่านสั่ง” วัชราตอบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงคลาดเคลื่อนไปจากเดิม “ท่านสั่งให้ข้าไปสืบเสาะและตรวจตราเรื่องราวของคนเหล่านี้ จากนั้นก็ให้จัดการให้เรียบร้อย แล้วจงมารายงานท่าน ข้าทำอะไรผิดกัน ข้าทำตามที่ท่านบอกเป็นลำดับขั้นเสียด้วยซ้ำ”



ท่านปาดาเหลือบตาขึ้นมา นัยน์ตาสีดำสนิทอันลึกล้ำและเย็นเยือกเหมือนน้ำในบ่อที่มองไม่เห็นก้นหากกลับสะท้อนเงาของผู้ถูกมองอย่างชัดเจน....ทะลุปรุโปร่ง



ก่อนที่รอยยิ้มอันงดงามยิ่งกว่าจะปรากฏบนเรียวปากให้วัชรากะพริบตาปริบ



“ครั้งนี้ถือว่าเจ้า....ทำได้ดี” ท่านปาดากล่าวชมด้วยน้ำเสียงจริงใจอย่างยิ่ง “เจ้าเปลี่ยนเรื่องที่คนพวกนั้นรู้ให้กระจายไปอีกแบบหนึ่ง แบบที่จะเป็นประโยชน์ต่อเรามากกว่ากำจัดพวกมันทิ้ง แล้วอาจทำให้ข่าวบางข่าวที่ไม่พิศมัยนักแพร่กระจายออกไป เจ้าทำได้ดีจริงๆ วัชรา”



คำชม...ที่หมายถึงการยอมรับนั้นควรทำให้วัชรายินดี ทว่าบางสิ่งกระตุ้นเตือนให้หญิงสาวกุมกระชับตัวดาบของตนเองไว้ให้มั่นพอๆกับปลายเท้าที่เริ่มขยับไหวเปลี่ยนท่ายืนเล็กน้อย



พร้อมๆกับที่เสียงอันอ่อนนุ่มแฝงกระแสชื่นชมนั้นเปลี่ยนเป็นความเยียบเย็น



“ทว่า... วัชรา เจ้าเป็นสิ่งใด?”



คำถามนั้นอาจไม่ต้องการคำตอบ รอยยิ้มของวัชราจางหาย เมื่อหญิงสาวเม้มริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อยและเลือกจะรอฟังคำต่อไปของอีกฝ่าย



ท่านปาดายิ้มกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย... รอยยิ้มที่ไม่เลยไปถึงดวงตาอันทรงอำนาจ



“เจ้าตอบสิ วัชรา”



น้ำเสียงนั้นไม่กรรโชกโฮกฮากวางอำนาจข่มขู่เหมือนดั่งบางคนที่หล่อนเคยพบปะมา ทว่ามันกลับย้ำเตือนวัชราได้ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรดี หญิงสาวก้มหน้า ก่อนจะทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบ...ด้วยความพยายามอย่างสุดขีด



“ข้าเป็นแค่ผู้ทำงานระดับล่างสุดของกลี(กะ-ลี) ทำงานตามคำสั่งของท่านปาดา รับใช้ภควตี”



ไร้เสียงตอบใดๆจากผู้ที่หล่อนทำงานให้ ทว่าหูของวัชราสำเหนียกชัด...ถึงการเคลื่อนร่างลงจากตั่งที่เอนกายและก้าวเดินเข้ามาหาหล่อนอย่างเชื่องช้า ทว่าหนักแน่น มั่นคง



วัชรากลั้นลมหายใจ มือกำดาบแน่น ก่อนที่.....ฝ่ามืออันเปี่ยมด้วยความปราณีจะลูบลงบนศีรษะแผ่วเบา



“เจ้าเป็นคนทำงานที่สำคัญคนหนึ่ง วัชรา” เสียงของผู้พูดแผ่วหวานอ่อนโยนพอๆกับฝ่ามือที่เลื่อนมาแตะแก้มอันเย็นชืดของหญิงสาวและเชยวงหน้านั้นขึ้น ก่อนกล่าวต่อ “ความละเอียดรอบคอบ การตัดสินใจในการทำงานของเจ้า ข้ากล่าวได้ว่าหาใครจะเทียมเจ้าได้ยากนัก....”



“แต่วัชราเอย...ปีนี้เจ้าอายุได้กี่ขวบกัน” ท่านปาดาถามเสียงที่ทอดนั้นนุ่มนวลลงกว่าเดิม เมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึงเหงื่อเม็ดเล็กๆที่ค่อยผุดพรายบนผิวแก้มนวลของหญิงสาวที่อ่อนเยาว์กว่า “เจ้าเติบโตขึ้น เช่นเดียวกับที่โลกนี้จะเติบโตขึ้นมาเสมอ ดังนั้น จงอย่าคิดว่าเจ้าจะพลาดไม่ได้....”



วงหน้าของผู้สูงศักดิ์กว่าโน้มลงมาเล็กน้อย ...เพื่อให้คนที่พยายามไม่สบตากับตนนั้นได้เล็งแลถนัด เมื่อกล่าวย้ำคำ



“และจงอย่าคิด...ว่าเจ้าจะอ่านใจผู้อื่น รวมทั้งข้าได้ถูกต้องทุกครั้ง!”



วัชรากลืนน้ำลายลงคอพลางพยายามควบคุมลมหายใจที่แทบจะสั่นสะท้านเช่นเดียวกับเนื้อตัวให้เป็นปกติก่อนจะตอบ



“ข้าไม่บังอาจเช่นนั้น ข้าเพียงคิดว่าทำงานอย่างไรจึงจะได้ผลที่ออกมาดีที่สุด...”



ท่านปาดาอมยิ้มให้กับคำตอบนั้น พลางลดมือลงให้ผู้ที่คุกเข่าอยู่เพิ่งได้โอกาสลอบผ่อนลมหายใจอย่างแผ่วเบา ขณะเหลือบแลดูแผ่นหลังของผู้ที่หันกายเดินจากไป



หญิงสาวเกือบจะก้มหัวกล่าวคำอำลา...เมื่อฝ่ายนั้นเดินกลับไปหยุดยืนใกล้ตั่งที่นั่งของตนเองแล้วเอ่ยลอยๆ



“เจ้าฉลาดนัก วัชรา... ฉลาดจนทำให้ข้านึกถึงจริงๆ...”



วัชราเองก็อยากจะแน่ใจในข้อนั้น เพราะอย่างน้อยๆตอนนี้ความฉลาดนั่นก็ช่วยตอบย้ำไม่ให้หล่อนอ้าปากเอ่ยคำใดในยามนี้ทั้งสิ้น นอกจากก้มหน้าลงมองเบื้องต่ำเข้าไว้



หากท่านปาดาก็ยังกล่าวต่อ...อย่างถูกต้องและทะลุปรุโปร่ง



“เจ้าควรจะฉลาดไว้ทุกลมหายใจ เพื่อไม่ให้ลืมว่า...บางครั้งการแสดงความฉลาดของเจ้าออกมาอย่างไม่ดูภาวะการณ์มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่โง่อย่างถึงที่สุด”



“ข้าขอภัย” คนที่ก้มหน้าและ‘พยายาม’ฉลาด ออกปากขออภัย...คำที่หล่อนไม่เคยคาดหมายว่าต้องพูดมันอีกจนได้!



ท่านปาดาขยับมุมปากอมยิ้มเล็กน้อยกับถ้อยความที่หล่อนเองก็กระจ่างในความกล้ำกลืนที่กลบไม่มิดของผู้เยาว์เบื้องหน้า หากไม่ได้ออกปากทัก นอกจากเดินอ้อมตั่งไปยังกองหีบไม้ด้านหลัง และเลือกเปิดหีบหนึ่ง พลางว่า



“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดคำนั้น” ปลายนิ้วเรียวเสลาเขี่ยไปมา ไม่นานก็ได้ก้อนหินอันพอเหมาะ...ทั้งขนาดและน้ำหนักตามที่ต้องการ จึงหยิบออกมาแล้วโยนให้อีกฝ่าย “ครั้งนี้เจ้าทำงานได้ดี ข้าชมเจ้าไปแล้ว แต่ในฐานะหัวหน้าเจ้า ข้าก็ต้องเตือนเจ้าไว้ก่อน เพราะข้าเองก็ไม่ใช่ผู้กุมอำนาจสูงสุด งานที่เจ้าทำ ข้าต้องรายงานภควตี และหากมีคำถามมา ผู้ที่ต้องตอบและชี้แจงคือข้า ไม่ใช่เจ้า....”



“ข้าเข้าใจดี” วัชราก้มหน้ามืออีกข้างกุมก้อนหินนั้น “ขอบคุณท่านปาดา”



“ดีแล้ว....” ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า เอนกายลงบนตั่งอีกครา ดวงตาหรี่พริ้ม “นั่นส่วนของเจ้าในงานครั้งนี้ คงพอนะ?”



วัชรารับคำเบาๆ เหลือบตาขึ้นรอการพยักหน้าอีกครั้ง จึงค่อยลุกขึ้นและสืบเท้าถอยหลังออกมาจนใกล้จะถึงทางออกนั่นล่ะ หญิงสาวจึงพลิกกายกลับหลัง



พร้อมกระแสลมที่แล่นเฉียดหัวไหล่ด้านซ้ายในชั่วพริบตาจนหัวใจกระตุกวูบ!



มือข้างที่เพิ่งเก็บหินแทบจะเลื่อนไปแตะด้ามดาบในฉับพลัน หากไม่ใช่เพราะหางตาเหลือบไปเห็นเสียก่อนว่านั่นเป็นเพียงแผ่นไม้ที่หลุดกระเทาะออกมาจากด้านบน



บังเอิญ....?



คำนั้นหลุดลอยไปจากใจหญิงสาวเร็วๆพอกับการเข้ามา เมื่อประกายบางอย่างสะท้อนแสงเข้าตาจากด้านบน...ผนวกกับเสียงหัวเราะน้อยๆอย่างเอื้อเอ็นดูที่วัชราทำได้แค่ขบฟันและก้าวออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



ออกจากที่แห่งนั้น....มาสู่แสงสว่างของภายนอก......



}{:}{:}{:}{:}{:}{




สิ่งแรกที่วัชราทำหลังจากก้าวห่างออกมาจากอาณาบริเวณของ‘ท่านปาดา’ได้คือถอนหายใจเฮือกใหญ่... พร้อมคลายมือที่กำด้ามดาบไว้มั่นออกเพื่อจะรู้สึกถึงความชื้นที่ปรากฏชัดเจนบนฝ่ามือ ในขณะที่ลำคอกลับแห้งผาก



หญิงสาวสั่นหน้า ยิ้มหยันสมเพชตัวเอง ดูหรือ....คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาได้สักหน่อย ทว่าเมื่อกลับไปในนั้น หล่อนก็คงไม่ต่างไปจากลูกสัตว์เล็กๆที่กำลังคันเขี้ยวตัวเอง!



หากหล่อนไม่มีเวลามาสมเพชตนเองนาน แม้วันนี้หรือวันพรุ่งยังไม่มีงานใดมากองรอ หากก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ เพราะบางทีท่านปาดาก็จะมีคำสั่งด่วนมาถึงอย่างไม่รู้ตัวหรือเวลา ขนาดบางทีค่อนคืนไปแล้วหล่อนเคยได้รับคำสั่งให้ทำงานที่ต้องเสร็จก่อนรุ่งสางก็ยังมี



วัชราจึงเลือกที่จะใช้เวลาที่พอมีไปจัดการกิจการงานส่วนตนต่างๆให้เรียบร้อย....



อย่างแรกที่หญิงสาวทำคือเอื้อมมือไปปลดผ้าเนื้อหยาบแต่อุ้มน้ำได้ดีสีดำที่ตนม้วนเป็นเกลียวพันไว้กับเรือนผมบนศีรษะออก ...ปล่อยให้เส้นผมสีเดียวกับผืนผ้าแผ่กระจายเต็มลาดหลังไล่ถึงสะโพก ส่วนเจ้าผ้าผืนนั้น วัชรากางมันออกแล้วนำมาห่อดาบให้มิดชิดก่อนผูกกับเอวให้เรียบร้อย



อย่างต่อมา....วัชราก็เริ่มจัดการกับเส้นผม แม้จะไม่ได้ม้วนเก็บไว้เพื่อความสะดวก แต่หากจะให้ปล่อยยาวรุงรังแล้วเดินไปมาก็เห็นจะไม่ได้อีกเช่นกัน เชือกเถาวัลย์เหนียวอย่างดีที่หล่อนถักคล้องข้อมือไว้จึงเป็นอุปกรณ์ชั้นยอดในการจะใช้รัดเรือนผมที่ค่อนข้างหนาให้รวมกันเป็นกองเดียว



ธุระกับรูปโฉมตนเองยังไม่เสร็จแค่นั้น ทว่าวัชราไม่มีอุปกรณ์อื่นอีก หญิงสาวจึงได้แต่เดินต่อไปข้างหน้า....ไม่ไกลนัก หลังคาโรงสัตว์หลังใหญ่ก็ปรากฎอยู่ข้างหน้า



ที่ๆท่านปาดานัดหล่อนหนนี้ ห่างจากตลาดกลางเมืองอยู่โข ...ไม่ใช่แค่ด้วยระยะทางอย่างเดียว แต่เป็นเพราะถ้าวัชราจะไปที่นั่น หล่อนมีแต่ต้องเดินลัดเลาะแทบจะอ้อมค่อนเมืองกว่าจะไปถึง ขณะที่ตลาดอีกแห่ง แม้จะไกลกว่า แต่หญิงสาวสามารถขี่ม้าไปจนใกล้ๆแห่งนั้นก่อนแล้วค่อยลงเดินก็ได้



และผู้คนส่วนมาก...ที่พอจะมีเงินสักหน่อยก็ไม่ค่อยมีใครเดินอยากเดินไปอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้นำม้าของตนเองไปก็มักจะมีความกังวลว่าสัตว์พาหนะพันธุ์ดีของตนจะถูกใครลักขโมย ธุรกิจอย่างหนึ่งจึงเกิดขึ้นและเฟื่องฟูต่อมาเรื่อยๆพอๆกับความคึกคักในตลาดนั้น



“นี่ท่าน...” หล่อนออกปาก...สุ้มเสียงเจื้อยแจ้ว ไม่ได้เคร่งเครียดเหมือนเมื่ออยู่ต่อหน้านายตนอีกต่อไป “ก่อนข้าจะเช่าม้าขี่ไปตลาดท่า ข้าขอน้ำล้างหน้าหน่อยเถอะ”



คนทำงานชายของโรงสัตว์...หนึ่งในนั้นซึ่งดูอายุอ่อนกว่าหล่อนไม่เท่าไรหันมาพยักหน้ายิ้มเชิญชวนให้ทันที ขณะที่เหลือก็หันไปสนใจรับลูกค้าคนอื่นต่อไป



“เชิญเลยท่าน” เสียงที่ยังไม่แตกพานของอีกฝ่ายกล่าว ขณะวิ่งไปหยิบกระบอกน้ำที่แขวนติดเสาใกล้ๆเป็นสิบอันมาส่งให้คนขอ “เข้าไปพักดื่มน้ำสมุนไพรก่อนเลยก็ได้ หรือขี้เกียจไปแย่งคนหาอะไรที่ตลาดท่าก็แวะกินที่นี่ก่อนก็ได้”



วัชราฟังคำเชิญชวนนั้นผ่านๆหู หล่อนรินน้ำใส่มือแล้วลูบล้างหน้า ก่อนส่งคืนให้อีกฝ่าย



“ไม่ล่ะ ข้าจะเร่งไปหน่อย ขอไปดูม้าเลยแล้วกัน...”



คนทำงานผู้แสนดีพยักหน้าหงึกหงักเมื่อรับกระบอกน้ำ แล้วรีบผายมือเชิญหญิงสาวไปยังคอกอีกด้านก่อนก้าวนำ ปากก็ว่าแจ้วๆ



“ท่านมาทางนี้ได้เลย ม้าฝีเท้าจัดของเราควบไปเพียง....”



ฝ่ายนั้นอวดอ้างไม่ทันครึ่งประโยค วัชราที่เอื้อมมือไปแตะถุงเงินของตนเองก็ขัดทันที



“เอาที่มันถูกลงหน่อยเถอะ ข้าเร่ง แต่ไม่ได้รีบขนาดต้องใช้ม้าฝีเท้าจัด”



คนนำทาง...ที่ควรเรียกเป็นเด็กหนุ่มมากกว่าชายหนุ่มด้วยท่าทีที่หันมายิ้มให้หล่อน เหลือบตามองซ้ายขวาล่อกแล่กก่อนลดเสียงลงถาม



“ท่านอยากได้ราคาใด บอกข้ามาได้เลย ข้าจะได้นำทางไปให้ถูกไม่พูดพล่ามให้รำคาญหูท่าน”



หญิงสาวอดยิ้มขันพอๆกับนึกชอบใจไม่ได้ หล่อนกะคำนวณน้ำหนักเงินในกระเป๋าก่อนบอกราคาที่พอเหลือติดก้นถุงไว้บ้าง



หากฝ่ายตรงข้ามคอย่นทันที



“แค่นั้น...เห็นจะได้แต่ฬ่อล่ะท่าน ม้าไม่มีแล้ว”



“แค่นั้นก็น้อยไปแล้วเจ้า” หล่อนโต้ทันควันเหมือนกัน “ข้าใช่คนจรเพิ่งเคยผ่านมาเมื่อไร นี่มาทีไรข้าก็เข้าโรงนี้ทุกทีแท้ๆ ราคาแค่นี้ก็พอได้ม้าให้ข้านั่งไปสบายๆทุกหน”



“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เด็กชายปฏิเสธสีหน้ายุ่งยาก “เพียงแต่...วันนี้เห็นว่าเรือเข้าท่าเยอะ คนก็ออกไปกันเยอะ ม้าเลยวิ่งเปลี่ยนไม่ทันน่ะท่าน เหลือก็แต่ฬ่อนี่แหละ”



“มันควรจะมีแต่คนเอาฬ่อไปขนของมากกว่าม้าไม่ใช่หรือ?” วัชราแย้ง แต่ตาเริ่มกวาดแลรอบๆแล้วก็เห็นจริง... วันนี้ม้าตัวเล็กราคาต่ำที่มักใช้นั่งขี่ไปตลาดท่าสบายๆนั้นแทบไม่มีให้เห็นเลยจริงๆ เหลือแต่ฬ่อกับม้าที่ฝีเท้าจัด ลักษณะดีขึ้นมาอีก...พอๆกับราคาที่คงสูงขึ้นด้วย



หญิงสาวทอดถอน...พร้อมกับที่เจ้าเด็กโรงสัตว์ก็ช่างพูดได้ตรงใจเหลือเกินว่า



“จริงๆข้าก็อยากแนะม้าให้ท่านนะ จ่ายเพิ่มอีกไม่กี่เบี้ยเปลือกเท่านั้นเอง ท่านก็เอาของอะไรก็ได้ออกมารับรองกันม้าหายก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยเอาเงินมาไถ่คืนเวลาส่งม้า”



นั่นเป็นหนทางที่ดี วัชรายอมรับ เพราะในบรรดาโรงสัตว์ ๒-๓ แห่ง ค่าเช่าของที่นี่นับว่าราคาต่อรองได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ขึ้นชื่อเรื่องราคารับรองส่งคืนม้ามากที่สุดเช่นเดียวกัน



และน่าเสียดาย...ที่หล่อนไม่ใช่คนช่างพกของมีค่าติดตัวโดยเฉพาะเวลาออกไปทำงาน วัชรานิยมพกเศษเบี้ยเปลือกหอยอันเป็นหน่วยเงินย่อยที่สุดซึ่งสะดวกในการจับจ่ายมากกว่า



ลงท้าย ความที่ไม่ชอบยืดเยื้อมากมายในเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้ วัชราก็ตัดใจ



“ฬ่อก็ฬ่อ” หล่อนว่า พยักหน้าส่งๆไปทางฬ่อตัวหนึ่งที่กวาดตาดูแล้วเห็นมันคึกคักพร้อมจะออกไปทำงานดี พลางล้วงถุงหยิบพวงเบี้ยเปลือกหอยออกมาจ่ายให้อีกฝ่าย



เจ้าหนุ่มน้อยยิ้มแฉ่งรีบตะครุบรับ แล้วเผ่นแผล็วไปทางนายจดประจำโรงสัตว์ซึ่งรับพวงเบี้ยไปตรวจนับก่อนหยิบป้ายไม้แกะสลักส่งให้เด็กหนุ่ม ส่วนตนเองก้มหน้าบันทึกการเช่าไปพลางเก็บเงินเข้าที่ไปพลาง



หนุ่มน้อยนั้นไม่ได้ตรงมาส่งป้ายไม้ให้วัชราทันที แต่รีบไปปลดเชือกบาศก์ที่คล้องฬ่อตัวซึ่งหญิงสาวเลือก ปูผ้าผืนหนาบนหลังมัน ก่อนนำมาส่งให้หญิงสาวพร้อมกับป้ายไม้



วัชรารับป้ายไม้เนื้อเบาขนาดเท่าฝ่ามือมาร้อยเข้ากับเชือกเถาวัลย์ที่ยังเหลือติดบนข้อมืออีกข้างโดยไม่สนใจจะตรวจดูตรารายละเอียดบนนั้น กระทั่งเรียบร้อย เด็กหนุ่มโรงสัตว์ผู้รู้หน้าที่ก็จัดแจงเตรียมฐานไม้เตี้ยๆมาวางไว้ให้หล่อนใช้เผื่อเป็นแท่นเหยียบเรียบร้อย



หญิงสาวขยับยิ้มมุมปาก ฬ่อนั้นตัวย่อมกว่าม้า ยิ่งถ้าเป็นม้าพันธุ์ดีราคาสูงยิ่งต่างกันอย่างเทียบไม่ค่อยจะได้ วัชราเองก็พอคุ้นกับการขึ้นม้าลักษณะนั้นโดยไม่ต้องมีอะไรมาใช้เหยียบให้เสียเวลา หากนั่นดูจะเป็นสิ่งอันไม่น่าพึงกระทำนักในเวลาเช่นนี้



หล่อนจึงพึมพำขอบใจเจ้าหนุ่มน้อยนั่นพลางโหย่งกายขึ้นเหยียบฐานแล้วเอนกายลงนั่งบนหลังฬ่อที่ยืนเฉยอย่างรู้หน้าที่ เจ้าหนุ่มนั่นก็อุตส่าห์รอจนแน่ใจว่าหล่อนนั่งได้มั่นคงก่อนจะอุ้มฐานไม้ไปเก็บ



วัชรารอให้เด็กหนุ่มนั่นหันกลับมา หล่อนถึงโยนเบี้ยเปลือกพวงเล็กๆให้อีกฝ่ายเป็นเงินพิเศษที่ทำให้เด็กหนุ่มยิ้มกว้างให้หล่อนกว่าเดิม ก่อนจะกระทุ้งฬ่อให้เดินออกจากโรงสัตว์



คล้อยหลังหญิงสาวไม่ทันไร เด็กหนุ่มที่ยืนมองตามก็ถอนสายตากลับ หากไม่ใช่เพื่อไปต้อนรับลูกค้าคนอื่นแต่อย่างใด เขาหมุนกายเดินกลับไปยังที่ของนายจดด้วยท่าทางที่ปราศจากเค้าความขี้เล่นอีกต่อไป



“ขอข้าดูเบี้ยเปลือกพวกนั้นหน่อย”



กระทั่งสุ้มเสียง....ก็เปลี่ยนเป็นหนักแน่นจริงจัง ทั้งยังมีกังวานเคร่งขรึมต่างจากเสียงที่ยังไม่แตกพานที่เอ่ยก่อนหน้านี้ราวเป็นคนละคน !



นายจดบันทึก...ซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เพียงเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนส่งพวงเบี้ยที่ตนแยกไว้ต่างหากตามคำสั่งเมื่อครู่ให้อย่างว่าง่าย แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น



เด็กหนุ่ม....ที่บัดนี้ความเคร่งขรึมบนสีหน้าแววตาปั้นแต่งจนแลดูเป็นชายหนุ่มเต็มตัวพินิจเบี้ยเปลือกหอยแต่ละอันอย่างแช่มช้า...ละเอียด....



}{:}{:}{:}{:}{:}{



ตลาดท่า....คือตลาดใหญ่ริมท่าตรงตามชื่อของมัน และเป็นส่วนที่ทำให้บ้านเกิดเมืองนอนของวัชราคึกคักมากที่สุด



หญิงสาวหย่อนตัวลงจากหลังฬ่อเมื่อมันพาเดินมาจนสุดทางด่านที่ทอดยาว ลมที่แฝงกลิ่นไอของท้องทะเลลอยกระทบจมูกเรียกความชื่นมื่นให้กลับมาเต็มเปี่ยมในอารมณ์อีกครั้ง



หล่อนจูงฬ่อไปส่งที่โรงสัตว์ของทางฟากนี้อันเป็นด่านแรกของตลาดท่า ยื่นป้ายไม้คืนและรับเงินรับรองกลับมา ก่อนจะย่ำเท้าลงบนพื้นหินและกวาดตาดูบรรยากาศอันคึกคักของตลาดท่า



ช่วงนี้ยังไม่เข้าฤดูมรสุม เรือใหญ่ที่มาจอดเทียบท่าจึงพอมีเป็นระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เท่าที่วัชราชะโงกหน้ามองไป หล่อนก็เห็นเรืออย่างน้อยสองลำลอยเทียบขนถ่ายสินค้าโดยมีเจ้าของและบรรดานายท่าช่วยกันตรวจตราอยู่



และนอกจากเรือใหญ่แล้ว เรือขนาดย่อมที่เดินน้ำลึกฝ่าคลื่นมาจากเกาะใกล้ๆนี่ก็มีมาเป็นประจำอยู่แล้ว วันที่ทั้งเรือใหญ่เรือย่อมพร้อมใจกันเข้าท่า...ม้าจะแทบหมดโรงสัตว์ก็เห็นจะไม่แปลกกระมัง



หญิงสาวละความสนใจจากบรรยากาศโดยรอบ ยิ่งเสียงร้องเรียกชวนชมสินค้าของพ่อค้าเรือที่นำสินค้าลงมาขายด้วยตนเองยิ่งไม่ใส่ใจ เพราะตระหนักดีว่าถุงใบน้อยที่ห้อยเอวอยู่เบาหวิวเพียงใด หล่อนจึงสาวเท้าหลบผู้คนลัดเลาะไปตามข้างทางฟากหนึ่งซึ่งมีโรงเรือนมั่นคงตั้งอยู่หลายสิบหลังและซอยแบ่งเป็นแนวซอยอย่างเป็นระเบียบ



วัชราตรงดิ่งไปยังโรงเรือนแถวแรก...โรงเรือนของร้านรับแลกเปลี่ยนเงินของตลาดท่าที่แม้จะเปิดขึ้นมาหลายร้าน แต่ก็ดูจะไม่เคยเพียงพอกับความต้องการของผู้คน เพราะแทบทุกร้านมีคนจับกลุ่มยืนรอพูดคุยและวิ่งไปมาเพื่อเปรียบเทียบราคาของแต่ละร้านจนเอะอะอึกทึกไปหมด



ร้านที่วัชราเข้าไปเป็นร้านประจำของหล่อน....หญิงสาวชอบร้านนี่เพราะจะมีมุมเล็กๆสำหรับคนที่นำเงินตรามาตรฐานมาแลกในจำนวนหนึ่ง ไม่ใช่พ่อค้าแม่ค้าที่วิ่งมาแลกเงินเป็นแบบต่างๆเพื่อไปใช้จับจ่ายแลกทอนซึ่งค่อนข้างเป็นปริมาณมากและมักเสียเวลากกว่า ทางร้านจะจัดมุมใหญ่ไว้ให้ด้านหนึ่งอยู่แล้ว



“ท่านกังกะ” วัชราร้องทักด้วยความคุ้นเคย “ข้ามาขอขึ้นเงินหน่อย”



ท่านกังกะของวัชราคือชายวัยกลางคนร่างสูงโปร่ง ยิ่งนั่งอยู่หลังแท่นไม้ใหญ่ซึ่งทำไว้สำหรับเก็บเงินตราต่างๆ ร่างของอีกฝ่ายก็ยิ่งแลดูปราศจากความผึ่งผายราวคนที่ไม่เคยออกไปตรากตรำทำงานเหนื่อยยากใดๆ



หากเมื่อฝ่ายนั้นเหลือบตาขึ้นตามคำเรียกแล้วก้มหน้าลงสนใจกับงานต่อ วัชรากลับขยับยิ้มพรายอย่างอดไม่ได้... ท่านกังกะแทบจะถูกค่อนว่าผอมบาง ไม่เคยออกไปแม้แต่จะถูกลมทะเล หากคนเคยอยู่แต่ในโรงเรือนที่ไหนกัน จะตวัดตาขึ้นมาแวบเดียวแล้วยังมีประกายตาคมกริบปานนั้น!



น่ายินดีที่ไม่มีลูกค้าคนอื่นมารอแลกเงิน หญิงสาวจึงสามารถก้าวไปหยุดเบื้องหน้าแท่นไม้สูงเทียมอกและหยิบก้อนหินที่เพิ่งได้รับออกมาวาง...



“ข้าขึ้นเงินนี่ และจ่ายค่าฝากของอื่นๆที่ฝากไว้ล่วงหน้าสองปักษ์” หญิงสาวแจ้งความจำนง



ท่านกังกะวางเหล็กจาร เอื้อมมือมาหยิบหินที่มีตราแกะสลักสัญลักษณ์และรายละเอียดมูลค่าต่างๆไว้อย่างละเอียด เพื่อความสะดวกในการนำมาแลกเป็นเงินตราของผู้ได้รับ ชายวัยกลางคนเพียงเดาะหินในมือก่อนหยิบแผ่นไม้สำหรับจดจารรายละเอียดหินที่นำมาขึ้นเงินออกมา และลงมือทำงานไปเงียบๆ



คนเป็นลูกค้าเสียอีก ที่มองรอบๆ...แล้วหันมาชวนคุยว่า

“วันนี้เรือใหญ่เข้าท่าทั้งหมดกี่ลำกัน ท่านกังกะ”



“ข้ามุดหัวอยู่แต่ในนี้ ไม่ได้ออกไปดู” คนแลกเงินตอบเสียงเรียบไม่บ่งอารมณ์ใด ให้สาวน้อยที่อ่อนวัยกว่าโคลงหัวไปมาช้าๆ ก่อนกระซิบ



“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านนั่งอยู่ในนี้แล้วจะไม่มีเสียงกระซิบอะไรลอยมาบ้าง บอกข้าบ้างไม่ได้หรือ เผื่อข้าจะได้ของดีๆก่อนเขาบ้าง”



คราวนี้ท่านกังกะเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย...เล็กน้อยเท่านั้นจริงๆก่อนจะก้มลงไปใหม่ หากยอมเอ่ยปากพูดว่า



“เจ้าจะเอาของดีที่ไหนกัน วัชรา ของขึ้นท่า นายท่าย่อมต้องตรวจเก็บภาษีส่งเข้าวังก่อน หากเจ้าอยากได้ของดีจริงเห็นจะต้องไปดักปล้นขบวนขนแล้ว”



วัชราอุทานบางอย่าง...ที่ทำให้สีหน้าและแววตาดูอ่อนเยาว์ลงจนเหมือนเป็นสาวน้อยช่างต่อคำมากกว่าหญิงสาวผู้คร่ำเคร่ง ก่อนพ้อ



“ท่านหาเรื่องให้ข้าแบบนี้ เห็นจะเบื่อเห็นหน้าข้าที่โรงแลกเงินนี้เต็มทีกระมัง ไว้ข้าไปเข้าโรงเงินอื่นก่อนเถอะ...”



“เจ้าจะแลกเป็นเบี้ยเปลือกแล้วฝากไว้ส่วนหนึ่งอย่างเคย หรือจะเอาเป็นเบี้ยเปลือกไปหมด ข้าจะได้ออกให้ถูก”



ท่านกังกะ...ผู้แสดงท่าให้เห็นชัดว่าคร้านจะฟังคำพ้อขัด หากไร้ผล เพราะวัชราโยนภาระต่อดื้อๆ



“ก็แล้วแต่ท่านเห็นสมควรแล้วกัน ถ้าวันนี้มีของให้ข้าน่าจะซื้อเยอะก็เอาเบี้ยเปลือกมา แต่ถ้าไม่มีสิ่งใดน่าสนก็เอามาน้อยๆแต่พอดี ข้าไม่ชอบพกเยอะ รำคาญ”



คนรับแลกเงินถอนหายใจเฮือกใหญ่...บ่งชัดถึงการหมดความอดทน ดวงตาอันคมกล้าแจ่มใสนั้นจ้องสาวน้อยเบื้องหน้าด้วยแววดุๆ



“เจ้าอย่ามาทำเป็นเล่น เห็นข้าว่างนักหรือ”



วัชราพยักหน้าลงแทนคำตอบตามด้วยรอยยิ้มกว้าง



“ก็ไม่เห็นมีใครมาแลกเงินแลกเบี้ยกับท่านนี่นา ท่านกังกะ มีแต่ข้าผู้เดียว ข้าก็ชวนท่านคุยเสียหน่อยจะเป็นไรไปเชียว?”



“เป็น...” ท่านกังกะตอบเสียงแผ่ว “เพราะเดี๋ยว‘คนอื่น’ ที่ไม่ใช่‘เจ้า’ ก็คงตามมาขึ้นเงินบ้าง และเจ้าคงไม่ชอบนักหรอก วัชรา”



เสียงเรียกชื่อที่ปราศจากแววล้อเล่นกับถ้อยความนั้นทำให้คนฟังเลิกเรียวคิ้วขึ้นเล็กน้อย เช่นเดียวกับที่สาวน้อยช่างเจรจาหายไปแทนที่ด้วยหญิงสาวผู้ขยับมุมปากเป็นรอยแย้มยากจะอ่านออกแทนที่



“งั้นข้าคงไม่กวนท่าน” หล่อนยอมถอยแต่โดยดี “เงินหนึ่งในสี่ส่วนนั่นเอามาเป็นเบี้ยเปลือกให้ข้า ส่วนที่เหลือหักจากค่าฝากของสองปักษ์แล้วกึ่งหนึ่งข้าฝากไว้ที่นี่ อีกกึ่งเปลี่ยนเป็นเบี้ยแปะกับเบี้ยหิน ข้าจะได้พกติดตัวง่ายๆหน่อย”



วัชราสั่งความรวดเดียว และอีกฝ่ายก็ว่องไวไม่แพ้กัน เพราะแทบจะทันทีที่หญิงสาวจบประโยค เบี้ยเปลือกหอยสามพวงใหญ่ก็ถูกโยนมาให้ก่อน ตามด้วยเบี้ยวงกลมอันเล็กสีดำแกมเทาที่มีรูสี่เหลี่ยมตรงกลางอีกสองพวงเล็ก และสุดท้ายคือเบี้ยลักษณะคล้ายก้อนหินทรงกลมปนเหลี่ยมใหญ่กว่าปลายหัวแม่มือเล็กน้อยสีเดียวกับเบี้ยวงกลมอันเล็กห้าอัน



หญิงสาวหยิบเบี้ยหินเข้าถุงผ้าใบเล็กก่อนม้วนเหน็บกับชายผ้าเข้าไปด้านใน ส่วนเบี้ยเปลือกกับเบี้ยแปะที่เหลือ หล่อนกวาดใส่ถุงที่ห้อยอยู่ที่เอวและใช้เส้นเชือกถัดล้อมไว้พร้อมไขว้กับปากถุงก่อนผูกกลับคืนที่



วัชราเก็บของทั้งหมดเสร็จและเงยหน้าขึ้น...เพื่อพบกับสายตาของท่านกังกะที่มองมาอยูก่อนจะเอ่ยถามไถ่



“งานเจ้าหนนี้เรียบร้อยดีใช่หรือไม่?”



หล่อนหัวเราะเบาๆ และอดยิ้มแถมเย้ากลับไปไม่ได้ว่า“หากไม่เรียบร้อยข้าจะมีหน้ามาขึ้นเงินได้หรือท่าน”



ท่านกังกะสั่นหน้า ปรายตามองฝูงคนที่ยังออแน่นแลกเบี้ยโดยไม่ได้ลดลงเล็กน้อย ก่อนเอ่นด้วยเสียงกระซิบ



“เจ้าเดินวกกลับไปใกล้ๆช่วงท่าเทียบหน่อยแล้วกัน แถวนั้นของจากเรืออื่นเพิ่งลง ผู้คนจากเรือใหญ่ก็วุ่นวายจนยังไม่ค่อยมีใครเข้าไป น่าจะมีของให้เจ้าเลือกก่อนผู้อื่นบ้าง”



หญิงสาวยิ้มรับ พึมพำขอบคุณ ขณะที่คนบอกก้มหน้าทำงานต่อตามเดิมเหมือนไม่ใส่ใจ หากวัชราก็ไม่ว่ากระไรนอกจากหันหลังเดินออกจากโรงเงิน แล้วหมายจะเดินไปตามที่อีกฝ่ายบอก



และเพราะตั้งใจเช่นนั้นเอง หญิงสาวจึงเพียงกวาดตาดูแผงของที่ส่วนมากตั้งแบกะดิน ส่วนน้อยขึ้นวางบนแคร่ไม้อย่างผ่านๆ ไม่ใส่ใจจะไปหยิบจับพินิจสินค้าชิ้นไหนจริงจัง รวมถึงเสียงเรียกชวนล้งเล้งอื้ออึงนั้นด้วย



กระทั่งสายตาไปสะดุดกับวัตถุหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ....



}{:}{:}{:}{:}{:}{

จบบทที่ ๑


*****อนึ่ง คำว่า "ฬ่อ" คำนี้ เห็นในพจนานุกรมไม่ใช้กันแล้ว แต่ขอใช้ในนี้เพื่อความสะดวกกันการถูกเซ็นเซอร์แล้วกันค่ะ ^^ ******



ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้มากค่ะ คนเขียนแอบหวั่นว่าด้วยผลกรรมการดองที่ทำไว้จะทำให้ไม่มีคนอ่านเสียอีก แต่แค่มีคนแวะมา คนเขียนก็ยินดีค่ะ

คุณmimny - เดี๋ยวจะได้รู้เกี่ยวกับ"มัน"ในไม่เกินบทที่ ๒ หรือ ๓ นี่แหละค่ะ ส่วนท่านจารานั้นมีตำแหน่งเป็น... หัวหน้าของท่านปาดาค่ะ (ว่าแล้วก็วิ่งหลบของที่อาจมีเขวี้ยงมา)

คุณfong-pandy - อ่า...ตอนนี้ก็เผลอทิ้งไว้ให้สงสัยอีกแล้ว ขออภัยค่ะ

แล้วพบกับเรื่องนี้ใหม่ในอีก ๒-๓ วันค่ะ คนเขียนขอตัวไปทุบไหนกงูบ้างค่ะ ผลัดกัน อย่าเพิ่งรีบหนีนะคะ




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2553
3 comments
Last Update : 30 ตุลาคม 2553 0:36:37 น.
Counter : 1080 Pageviews.

 



คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: นนนี่มาแล้ว 30 ตุลาคม 2553 14:34:20 น.  

 

ใครเป็นนางเอกเนี่ยยังไม่ค่อยเข้าใจงงๆกับเนื้อเรื่องและตัวละครอยู่

 

โดย: mimny 30 ตุลาคม 2553 15:16:32 น.  

 

แวะมาทักทายครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ บางทีคนเขียนเองก็มีเบลอบ้างเหมือนกันครับ ขอ add blog ด้วยนะครับ

 

โดย: สามปอยหลวง 29 พฤศจิกายน 2553 11:14:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


อมราวตี
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]





ครั้งหนึ่ง.....เคยนั่งอยู่
วันหนึ่ง.......เคยลุกมาก้าวเดิน
และอีกวัน...อาจหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน
-- -- -- -- -- -- -- -- -- --
"คนเรามักจดจำความเจ็บปวดของตนเอง แต่หลงลืมความเจ็บปวดของผู้อื่น"




New Comments
Friends' blogs
[Add อมราวตี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.