สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว ที่หลังจากผ่าตัดครั้งแรก ก็วิ่งเข้าวิ่งออกห้องฉุกเฉิน จนเป็นเหตุให้ถูกกล่าวหาว่า เป็นพวกติดยา นัยว่า มาห้องฉุกเฉินเพื่อจะรับมอร์ฟีน จากนั้นก็มีงานเข้าเยอะแยะไปหมด ต้องช่วยคุณอาจัดการงานศพให้สามีเค้า และต้องอยู่ช่วยดูแลคุณอาไปด้วยในตัว ตอนนั้นกระโดดข้ามรัฐเป็นว่าเล่นเลย ตอนนั้นเราเครียดมากนะ แบบสติจะแตกอ่ะ
เมื่อทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถช่วยคลายความเจ็บปวดได้ เราเลยหันเข้าทางธรรมซะเลย ตอนนั้นก็บ้าสวดมนต์ กับนั่งสมาฺธิมาก พอมีสติ เลยคิดว่าหางานทำน่าจะดีที่สุด อย่างน้อย ๆ ก็จะได้คลายความประสาทไปได้บ้าง ตอนนั้นเราก็เลยรับงานแบบสัญญาสั้น ๆ ค่ะ ซึ่งจะไปสิ้นสุดประมาณกลาง ๆ เดือนกรกฎาคม ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี
ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิปีนั้น พอดีสวนสาธารณะแถว ๆ บ้าน มีการแข่งแรลลี่จักรยาน โดยมีบูธทางด้านสุขภาพมาเปิดเยอะ บูธหนึ่ง เป็นบูธของ Spines & Sports Institute ซึ่งตอนนั้นเค้าก็มีการมานวดนักปั่นจักรยาน
นายจอมยุ่งเห็นดังนั้น ก็
"รี่" เข้าไปเลย เผื่อฟลุ๊คจะได้นวดฟรี อิอิ
เอ้ย...ไม่ใช่ค่ะ เฮียแกอยากจะเข้าไปปรึกษาว่า อย่างเราเนี่ย ยังมีทางรักษาให้หายมั้ย ? เพราะเราหามาหลายแผนแล้ว ฝังเข็มก็ทำมาแล้ว หาจิตแพทย์ก็หามาแล้ว
วันนั้นโชคดี ได้เจอกับคุณหมอเคทลิน เธอจับหลังเราปุ๊ป เธอก็บอกทันทีว่า ที่เราเจ็บหลังเนี่ย เป็นเพราะ "ผังผืด (Scar Tissue)" จากการผ่าตัด มันยึดติดกัน ต้องนวดออก แล้วถึงจะคลายความปวด เธอก็บอกว่า ถ้าเราสนใจ เธอจะรับเป็นคนไข้ให้ เพราะเห็นท่าเดินเราแล้ว เธอบอกว่า รู้เลยว่าเจ็บมาก
นาทีนั้น น้ำตาจะไหลค่ะ มันเหมือนกับว่า ในที่สุด ก็มีคนเข้าใจความปวดของเราซะที 5555 สัปดาห์ต่อมา เราก็จัดการนัดพบคุณหมอเคทลินได้ เสียแต่คลีนิคเธอ อยู่ไกลเวอร์อ่ะ ต้องขับรถไปเกือบ ๆ 50 นาทีได้ แต่เราก็ไปสัปดาห์ละ 2 ครั้งนะ
นับจากไปพบคุณหมอเคทลิน ก็เหมือนกับทุกอย่างมันดีขึ้น จนกระทั่ง วันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันชาติของชาวอเมริกัน ความซวยก็มาเยือนอีกครั้ง คืนวันนั้นเราก็เล่นดอกไม้ไฟกันในสวน กรี๊ดไปกรี๊ดมา จากที่ยืนอยู่บนบันไดทางลงสวน ก็ "ร่วงตุ๊บ" ลงไปคลานอยู่ในสนามซะงั้น หมดกัน...หมดอารมณ์เล่นพลุ เลิก ๆๆๆ เสียอารมณ์มาก
2-3 วันหลังจากนั้น เราก็ไปพบคุณหมอเคทลินตามนัด ก็บอกเธอว่า เราหกล้มในสนาม และเราก็บอกว่า สัปดาห์หน้าคงมาไม่ได้ เพราะเราจะไปกรุงเทพ คุณหมอเธอก็ไม่ค่อยถูกใจเท่าไร คือ เธอยังไม่อยากจะให้เรานั่งนาน ๆ แต่ก็นะ คนมันจะดื้อค่ะ ก็ไม่ฟังหมอ ก็โบยบินไปซบอกหม่อมแม่ที่กรุงเทพ
ทริปนั้น นายจอมยุ่งบอกว่า จะไปก็ได้ (ถึงห้ามก็ไม่ฟังอยู่แล้ว อิอิ) แต่จะต้องรีเควส Wheelchair กับสายการบิน ซึ่งก็สบายมากคะ่ ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ แถมยังได้ตัดคิวชาวบ้าน ทั้งตอนผ่านด่านตรวจความปลอดภัย และตอนขึ้นเครื่องบินอีกต่างหาก
23 กรกฎาคม วันนั้นเป็นวันเกิดเราค่ะ รู้อยู่แล้วว่าแม่เตรียมของไว้ให้ใส่บาตร เราตื่นขึ้นมาตอนตี 5 (พระมาประมาณเจ็ดโมงครึ่ง) ลุกจากเตียงปุ๊ป ก็ร่วงลงไปนอนกับพื้่นเลยค่ะ ตั้งแต่กระดูกก้นกบลงไป ถึงปลายเท้ามันเจ็บมาก และไม่มีแรง ไม่สามารถลงน้ำหนักไปที่ขาได้เลย เกิดมาไม่เคยเจ็บเท่านั้นมาก่อนค่ะ เราก็ลุกขึ้นมาใหม่ เดินได้ 2 ก้าว ต้องกลับไปนอนที่เตียงต่อ นั่งก็ไม่ได้นะคะ เจ็บมาก ตอนนั่งในห้องน้ำนี่ เป็นอะไรที่ทรมานสุด ๆ อ่ะค่ะ...กว่าจะลุกไปถึงห้องน้ำได้ เพราะลุกแล้วเดินได้ไม่กี่ก้าว แล้วต้องกลับมาตั้งหลักที่เตียงใหม่ วนไปเรื่อย ๆ กินเวลาไปเกือบ ๆ 2 ชั่วโมงค่ะ คือพอลุกยืนได้ มันเหมือนส่วนล่างกับส่วนบนของลำตัว มันจะหลุดออกจากกัน
ตอนเดินจากตัวบ้าน มาที่หน้าบ้าน ต้องใช้ไม้เท้า ทุกย่างก้าวเจ็บปวดมากค่ะ เดินไปน้ำตาไหลไปอ่ะ แม่กำลังจัดทานอาหารพระอยู่ พอเห็นหน้าเรา แม่ตกใจสุด ๆ
จากวันนั้น ไปจนถึงวันบินกลับอเมริกา เราก็นอนอยู่แต่ในห้องค่ะ เพราะนั่งไม่ได้ นั่งแล้วเจ็บมาก ตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามันเป็นอะไรมากมาย แม่ก็อุตส่าห์ไปซื้อลูกประคบมาประคบให้วันละหลาย ๆ รอบ สัปดาห์นั้นเป็นอะไรที่ทรมานมากค่ะ ทุก ๆ วัน กว่าจะลุกจากเตียงได้ จะต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง บางทีก็เดินมั่ง คลานมั่ง เราเลื่อนตั๋วเครื่องบิน เพิ่มไปอีก 1 สัปดาห์ เพราะจะให้เดินทางตอนนั้น ไม่ไหวแน่นอน
เมื่อถึงวันเดินทางกลับ ก็งัดเอารถเข็นของคุณย่าใส่ท้ายรถไปด้วย พนักงานที่สายการบิน ก็ดูแลเป็นอย่างดีค่ะ จากรถเข็นของคุณย่า ก็เปลี่ยนไปนั่งรถเข็นของสายการบิน มีคนเข็นให้ไปถึงเครื่องบิน เข้าไปช่วยเก็บของในเครื่องให้เรียบร้อย และทำแบบนี้ต่อ ๆ ไป จนถึงปลายทางที่นายจอมยุ่งรอรับอยู่
วันถัดไป เราก็ไปพบคุณหมอเคทลินตามนัด หลังจากที่เธอจัดการให้เราทำกายภาพบำับัด พร้อมกับนวดเส้นให้เสร็จ เราก็บอกว่า เราไม่รู้สึกว่าดีขึ้นเลย คุณหมอเธอก็ขมวดคิ้ว ลงมือนวดใหม่ ก็ยังไม่ดีขึ้น เธอเลยถามเราว่า เราคิดยังไงถ้าเธอจะส่งเราไปแสกน MRI อีกรอบ ?
เราก็บอกว่า เราไม่คิดยังไงเลย นาทีนี้เอายังไงก็ได้ เธอเลยส่งเราไปที่คลีนิคอีกแห่งใกล้ ๆ บ้านเรา เธอเขียนใบสั่งให้เราฉีดสเตอรอยต์เข้าไขสันหลังอีกรอบ ดังนั้น เราจึงต้องไปแวะรับนายจอมยุ่งที่ทำงาน เนื่องจากฉีดยาเสร็จ จะต้องมีคนขับรถให้
ตอนแสกนหลัง จากปกติที่ไม่เคยมีปัญหากับการฉีดสีเลย วันนี้เกิดอะไรไม่รู้ พอเค้าฉีดสีเข้ากระแสเลือด แล้วส่งเราไปในอุโมงค์อีกรอบ เราก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวมาก แต่ก็พยายามไม่กระดุกกระดิกนะคะ สุดท้ายไม่ถึง 3 นาทีดี ต้องกดออดเรียกเจ้าหน้าที่ พร้อมบอกว่า ไม่ไหวแล้ว "จะอ้วก" เจ้าหน้าที่วิ่งพรูเข้ามาพร้อม ๆ กัน 3 คน พร้อมกับถังขยะ 1 ใบ สงสัยกลัวเราจะอาเจียน ใส่เครื่องแสกนราคาหลายล้านเหรียญล่ะมั้ง
หลังการแสกนหลัง คุณหมอทางด้านเส้นประสาท ก็เข้ามาฉีดยาสเตอรอยด์ เข้าไขสันหลังให้ จากนั้นก็ส่งกลับบ้าน
เย็นวันเดียวกัน คุณหมอเคทลินโทรกลับมา ฝากข้อความไว้ว่า ผลแสกนออกมาแล้ว และเธอได้ขอความเห็นกับคุณหมอท่านอื่น ๆ เห็นว่า เรามีความจำเป็นจะต้องผ่าตัด เนื่องจากหมอนรองกระดูกสันหลังแตกเยอะมาก จำเป็นจะต้องตัดส่วนที่ทับเส้นประสาทออก หากทิ้งไว้นาน ก็ทำความเสียหายให้แก่รากประสาทได้
เช้าวันรุ่งขึ้น เราโทรกลับหาเธอ ถามว่าคุณหมอคิดว่าจำเป็นต้องผ่ามั้ย ? เพราะเราจำได้ว่า ครั้งแรกที่มาปรึกษากับเธอ เธอบอกว่า เธอไม่ค่อยอยากให้คนไข้ผ่าหลัง เพราะส่วนมาก ผ่ามาแล้วก็ไม่หายอยู่ดี
เธอก็บอกว่า กรณีของเรานี้ มันเยอะเกินกว่าที่การรักษาทางอื่น ๆ จะช่วยได้ เธอก็ว่าถ้าเราตกลง เธอจะติดต่อหมอผ่าัตัดมือหนึ่งของรัฐให้ เราก็ตกลงตามนั้นค่ะ เธอก็ให้ชื่อศัลยแพทย์ทางด้านเส้นประสาทมา (Neuro Surgeon)
พอเราได้ชื่อคุณหมอมา เราก็จัดการกูลเกิ้ลประวัติคุณหมอซะละเอียดยิบ ก็เป็นการคอนเฟิร์มว่า คุณหมอท่านนี้มือหนึ่งจริง ๆ ได้รางวัลมาก็เยอะ จึงค่อนข้างโล่งใจ และค่อนข้างตื่นเต้นที่จะได้เจอท่าน
แต่เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไป ติดตามต่อตอนหน้านะคะ อิอิ