My Life; My Destiny.
Group Blog
 
 
เมษายน 2549
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
10 เมษายน 2549
 
All Blogs
 

Beijing, China

เมื่อเดือนตุลาคมปี 2005 ได้ทำตัวเป็นลูกที่น่ารัก พาคุณแม่ไปเที่ยวปักกิ่งค่ะ บอกแม่ไว้ล่วงหน้า 2 เดือน แม่ตื่นเต้นใหญ่เพราะไม่ค่อยได้ไปไหนค่ะ

เริ่มต้นการเดินทางด้วยการ ตลบแตลงเจ้านาย ของลางาน 3 สัปดาห์ เค้าบอกว่าจะไปไหนรีบ ๆ ไปเลย ส่วนคุณสามีมีวันหยุดอยู่แล้ว 19 วัน เราจัดการจัดส่งเอกสารสำหรับของวีซ่าไปให้บริษัทรับจ้างของวีซ่า ที่เมืองวอชิงตัน ดี.ซี ตอนนี้สถานฑูตจีนไม่อนุญาตให้ส่งเอกสารไปทางไปรษณีย์แล้ว ต้องไปเอง หรือไม่ก็ต้องมีตัวแทนไปยื่น เราตัดปัญหา จ้างเขาดีกว่า เสียเงินหน่อย แต่ไม่เสียเวลา ค่าวีซ่ารู้สึกจะ 50 เหรียญ ต่อคน ค่าจ้างและค่าตราไปรษณีย์อีกนิดหน่อย ได้รับเล่มหนังสือเดินทางกลับมา 3 วันหลังจากนั้น ส่วนของคุณแม่ พี่ชายไปจ้างบริษัททัวร์แถว ๆ เยาวราช ไปยื่นวีซ่าให้ สะดวกมาก

เริ่มเดินทางจริง ๆ โดยฝรั่งหนึ่ง กระเหรี่ยงหนึ่ง ต้องลากสังขาร ตื่นแต่เช้า เดินทางจากเมือง Omaha ไปยัง เมือง Minneapolis ในรัฐมินนิโซต้า ใช้เวลาบินประมาณ 50 นาที ถึง Minneapolis ยังมีเวลาเหลือเพียบเลย ต่างคนเลยต่างเดินไปดูโน่นดูนี่ไป นัดกันว่า ถ้าชั้นไม่เจอแก เราจะไปเจอกันบนเครื่องบินนะ เดินไปเดินมาไม่มีอะไรทำ เลยเดินเข้าไปในเล้าจ์ของสายการบิน เอ้า เจอคุณสามีกะลังนั่งดื่มกาแฟอยู่พอดี เลยนั่งสมทบ ทานอาหารเช้านิดหน่อย เค้ามีชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม และ สุรา ตั้งไว้เยอะเลย เราทานมัฟฟิ่นกับน้ำส้มไปเท่านั้น อิ่ม

NORTHWEST AIRLINES WORLDCLUB ค่ะ

ข้ามตอนไปถึงกรุงเทพเลยล่ะกัน มาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณเที่ยงคืนค่ะ โชคดีบ้านอยู่ดอนเมือง 15 นาที ก็ถึงบ้านแล้ว นอนหลับ ตื่นแต่เช้า ตามระเบียบ วันแรก ไม่ได้ทำอะไร พาหลานไปฟิวเจอร์พาร์ค แล้วก็รีบกลับมา จัดกระเป๋าเตรียมไปปักกิ่งค่ะ

เดินทางด้วยสายการบินแห่งชาติของเรา เจ้าจำปี เครื่องออกประมาณเกือบ ๆ ตีหนึ่ง เป็นเครื่องบิน Airbus ทั้งลำเกือบจะไม่มีผู้โดยสารเลย นั่งกันสบายมาก ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมงเศษ ๆ คุณแม่นอนหลับทันทีที่ขึ้นเครื่อง เรากับสามีตัวยุ่ง นั่งวิเคราะห์การเมืองของสหรัฐไปตลอดทาง ประสาทไม่ค่อยจะดีกัน ก่อนเครื่องลงแอร์เอาอาหารมาเสิร์ฟ เป็นปลาย่างซีอิ้วกับข้าวสวย คุณแม่ทานยาก เลยแทบจะไม่ได้ทานอะไรเลยตลอดทริปนี้ เครื่องลงอย่างปลอดภัยที่ Capital Airport กรุงปักกิ่งค่ะ ต.ม ผ่านฉลุย ไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น

เมื่อเดินออกมาด้านนอกสนามบิน เพื่อหารถแท็กซี่ อากาศยามเช้าเย็นดีค่ะ คงราว ๆ 10 องศาเซลเซียส คราวนี้ปัญหาด้านภาษาก็เริ่มแล้วค่ะ โชคดีที่หนังสือท่องเที่ยว (เอาไป 2 เล่ม) เขียนชื่อโรงแรมเป็นภาษาจีน ตอนแรกสื่อสารกันไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ ฝรั่งยิ่งบื้อหนักเข้าไปอีก ให้เราล้งเล้งอยู่คนเดียว ตอนคนขับพยักหน้า แล้วโยนกระเป๋าเราขึ้นรถไปอ่ะ ในใจยังเสียว ๆ เลยว่า แกพอชั้นไปถูกโรงแรมแน่ ๆ นะ ไม่ไว้ใจจริง ๆ อย่าลืมให้แท็กซี่กดมิเตอร์นะคะ จากสนามบินไปยังโรงแรม ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ถนน Wangfujing ค่ารถประมาณ 120 หยวน (รวมค่าทางด่วนแล้ว) แต่ประหลาดมากเพราะตอนขากลับเสียแค่ 70 หยวนเองอ่ะ

เราพักกันที่โรงแรม Novotel Peace Beijing ค่ะ อยู่ห่างจากถนนชอปปิ้ง Wangfujing ประมาณ 2 นาที ตอนจองโรงแรมคุณแม่ยื่นยันว่าจะต้องนอนห้องเดียวกันเท่านั้น เพราะแกขี้กลัว แม้จะจองห้องสูทแบบ 2 ห้องนอน แกก็ไม่เอา ยืนยันอย่างเดียวว่า แกจะนอนโซฟา ในห้องเรา สามีบอกว่าไม่ไปไร เค้าไม่มีปัญหา ห้องที่ได้ดีมาก วิวสวย เพราะตอนเช็คอิน โกหกเค้าว่า มาเที่ยววันครบรอบแต่งงาน พนักงานก็บ้าจี้ไปด้วย ที่ห้องเราเลยมีห้องนอน และห้องรับแขกแยกต่างหาก โชคดีไป

หนุ่มน้อยพนักงานยกกระเป๋านิสัยดีมาก ช่วยจองร้านอาหาร และรถสำหรับไปกำแพงเมืองจีนให้เสร็จเรียบร้อย แถมให้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านเค้ามาอีก เกิดเรามีปัญหาอะไร เค้าพูดภาษาอังกฤษดีมาก หลังจากเก็บของและเปลี่ยนเสื้อผ้า เราก็พากันลงไปหากาแฟดื่มที่ล็อปบี้ จากนั้นก็นั่งถกเถียงกันว่าจะไปไหนดี สรุปว่า จะไปเดินเล่นที่ถนน Wangfujing และจะเดินเลยไปที่จตุรัสเทียนอันเมิน และนครต้องห้าม (Forbidden City)

หัวมุมถนน Wangfujing





แม่ยายกับลูกเขย ยามเช้าในปักกิ่ง


จตุรัสเทียนอันเมิน ยามเช้า





ใครที่ไม่มีบรรพบุรุษต้องไปเคารพที่เมืองจีนในช่วงเดือนตุลา แนะนำว่าอย่าไปนะคะ เพราะว่าวันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันชาติของจีนค่ะ คนจีนจะเดินทางเข้าเมืองใหญ่ ๆ เทศกาลนี้จะกินเวลาทั้งสัปดาห์ค่ะ คนเป็นล้านเลยค่ะ (ขอเน้น .....เป็นหลายล้าน ! ) ไปทางไหนก็คนเยอะค่ะ ลำบากมาก ไม่นึกว่าจะเป็นเช่นนี้ ที่จตุรัสแทบจะไม่มีที่ให้ยืนด้วยซ้ำ ประกอบกับคนจีน ก็อย่างที่ทราบ ๆ กันว่า เสียงดังมากกกกกกกกกกกกกกกกก ล้งเล้ง ๆ กัน ปวดหัวมากเลย ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เราเข้าไปในนครต้องห้ามไม่ได้ เพราะว่า แค่เห็นแถวรอซื้อบัตร ก็หมดกำลังใจแล้วค่ะ จึงตกลงกันว่า ขอลาดีกว่า ไปหาขนมกับกาแฟกินกัน (แม่ถามว่า ทำไมกินกันแต่กาแฟ แบบว่าแม่ งง) กลับมาถึงโรงแรม นอนหลับพักผ่อน จะได้มีแรงออกไปเที่ยวอีก อิ ๆ

คืนแรกนี้ ไปทานเป็ดปักกิ่งกันที่ร้าน Qian Men Peking Duck Restaurant กว่าจะจองได้ แทบตาย ยิ่งพอไปถึง ยิ่งเกือบตายอีก หิวก็หิว เราก็อุตส่าห์โปรโมทกับแม่ไว้ว่า เป็นภัตราคารที่ขึ้นชื่อมาก แม่ก็หิ้วท้องรอไว้ ปรากฎว่ากว่าจะไปถึง (รถติดมาก ๆ ) พอไปถึงที่ร้าน โห้ คนตรึมเลย ด้วยความเคยชินกับระบบอเมริกัน เราก็นึกว่า ถ้าโทรมาจองต้อง เค้าจะติดชื่อเราไว้ที่โต๊ะ ที่ไหนได้ ม่ายช่ายแบบที่คิดอ่ะ

เริ่มจากไอ้บ้าเนี่ย บอกเราว่าตอนนี้ยังไม่มีที่นั่ง แบบสั่งอาหารเป็นจาน (Ala Carte) ก็เลยพาเราไปนั่งที่โต๊ะกลม ๆ (แบบโต๊ะจีน) โน้นเลย อยู่ในสุด ๆ เสร็จแล้วก็มีพนักงาน 3 คนมาจัดโต๊ะ แบบเอาตะเกียบ เอาจานมาให้พร้อม เราก็ไม่รู้มันทำอะไร รู้แต่มันพูดว่า เป็น Set Menu คือ อาหารจะมาเป็นชุด ๆ แต่ปัญหาคือ ในกลุ่มของเราไม่มีใครรู้ซักกะคนว่ามันชุดละเท่าไหร่ ถามพนักงานก็ไม่มีคนตอบอ่ะ แต่ละคนก็บอกปัด ๆ ว่า อีกคนจะมาบอก สุดท้ายไอ้บ้าอีกคนเดินกลับมา พร้อมกับสลิปค่าอาหาร (นี่ยังไม่ได้กินเลยนะ) อ่านไม่ออกซักกะตัว รู้แต่ว่าตัวเลขอ่ะ บวกลบคูณหารแล้ว คิดเป็นเงิน 400 เหรียญสหรัฐ หลังจากส่งภาษาให้คุณสามีแล้ว ตกลงกันว่าอย่ากินเลย เสียดายเงิน เอาไปชอปปิ้งดีกว่า เลยพากันลุกกะว่าจะเดินออกไปเลย ปรากฎว่า ไอ้บ้าตัวเดิม ฮันแน่ คราวนี้แบบว่า มีที่นั่งอีกด้านพอดี เป็น Set Menu เหมือนกัน แต่ราคาต่ำกว่า โอเค เราก็ตกลง คราวนี้ อาหารเป็นชุดละประมาณ 40 เหรียญ ก็กินไป เพราะถือว่ายังไงก็มาแล้ว และทุกคนก็หิวมากด้วย คุณแม่กับคุณสามีซัดเบียร์กันใหญ่ รักกันน่าดู อาหารทีได้ คือ เป็ด 1 ตัว (ก็อร่อยดี แต่ถ้าถามเรา เราชอบเป็ด MK มากกว่า) น้ำซุปเป็ดใส ๆ แบบมันเยิ้มเลยอ่ะ จิบไปหนึ่งที แทบอ้วก แอสปารากัสผัด แล้วก็มีอะไรอีกก็ไม่รู้จำไม่ได้ เยอะแยะไปหมดเลย กินไม่ค่อยได้ด้วย มันรสชาติชืด ๆ แม่ทานไม่ได้เลย กินแต่เบียร์ย้อมใจ นั่งมองหน้ากันตาปริบ ๆ สรุปว่า มีเป็ดอย่างเดียวที่พอทนได้ ดีนะที่ไม่ได้จ่าย 400 เหรียญ



หลังอาหาร เราก็พากันเดินออกมาเรื่อย ๆ ตามถนน มีขอทานเพียบเลย แล้วก็ขอทานที่ปักกิ่งนี่นะ ตื้อมาก ๆ เลย แบบว่า เค้าดึงเสื้อเราด้วย คุณสามีโดนหนักกว่าใคร ๆ ช่วยไม่ได้ อยากทะลึ่งเกิดมาตัวขาว จมูกโตเอง

กว่าจะกลับถึงโรงแรม แทบจะกระอักเลือด เพราะเดินไปเดินมาแล้วหลงเจ้าค่ะ เรียกแท็กซี่มันก็ไม่ยอมไปอ่ะ ไม่รู้ด้วยเหตุใด หลังจากหลงมาเกือบ 1 ชั่วโมง ตอนนี้ดีกรีความร้อนมากเลย เริ่มจะโมโหมาก ๆ สุดท้าย แท็กซี่ใจดี พาไปส่ง ที่ไหนได้ เดินหลงอยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรมเอง ทุเรศจริง ๆ

เช้าตรู่วันถัดมา เราออกเดินทางไปกำแพงเมืองจีนทีด่าน Badaling ห่างจากที่พักไปประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ โชเฟอร์มารอรับแต่เช้าที่เดียว เสียค่ารถไป 80 เหรียญค่ะ เค้าขับรถให้ทั้งวัน เป็นรถเบนซ์สีดำ เงาแว๊บเลย คนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เวลาที่พี่แกจะให้เราดูอะไรข้างทาง แกก็ส่งภาษาใบ้เอา เราก็ส่งภาษาใบ้กลับ รู้สึกว่าคำที่พี่แกพูดได้ดีที่สุด คือ "YES YES" ถามอะไรแกก็ Yes Yes ไปหมด คราวนี้หม่อมแม่ขอนั่งข้างหน้าบ้าง ไม่รู้อยากดูทาง หรือว่าไม่อยากนั่งข้างลูกตัวเองกันแน่ ฮืมมมมมมม

เมื่อถึงกำแพงเมืองจีน ต้องเสียค่าเข้าคนละ 40 หยวน แม่ขึ้นไปได้หน่อยนึง พอถึงที่พักระหว่างทาง แม่บอกขอลา ไปกันเหอะ เลยปล่อยแม่ไว้แบบนั้นอ่ะ น่าสงสารมากเลย ไม่รู้ว่าบาปกรรมหรือเปล่า จากนั้นสองคนผัวเมียก็พากันปีนขึ้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งขึ้นไปสูงทางก็เริ่มแคบค่ะ แถมคนเยอะมากเลยต้องเดินเรียงหนึ่งตลอด ขึ้นบันไดก็ชัน สุดท้ายต้องขอพักเหนื่อย เดินไม่ไหว ตรงที่พัก เค้ามีตราสลักว่าบุคคลนี้ได้ปีนกำแพงเมืองจีนมาแล้ว ตอนแรกว่าจะไม่ซื้อแล้ว สุดท้าย เอาว่ะ อันละ 5 เหรียญ ซื้อมา 2 อัน ทุกวันนี้อยู่ไหนก็ไม่รู้ 5555555 มีเรื่องประหลาดคือ ตอนที่นั่งพักอยู่มีตำรวจมาเรียบ ๆ เคียง ถามโน่นถามนี่กับคุณสามี ไม่รู้เป็นสายลับหรือเปล่า แปลกดี

The Great Wall @ Badaling



ขากลับไม่ได้ลงทางเดิมค่ะ แต่ว่าเดินตัดภูเขาเอา เป็นทางเดินดินลาดลงเขาไป มันส์ดี เลื่อนบ้าง หกล้มบ้างไปตามเรื่อง เจอแม่นั่งรออยู่ พอแกเห็นหน้า แกรีบบอกให้ซื้อข้าวโพดปิ้งให้กินหน่อย หิวอ่ะ กินไปก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย ถึงความมหัศจรรย์ของมนุษย์ที่สามารถสร้างกำแพงนี้ได้ วิวจากความสูงนั้นสวยมาก เห็นไปไกลลิบ ๆ เลยค่ะ สุดท้ายลมเริ่มแรง อากาศเริ่มเย็น ก็เลยตัดสินใจกลับกัน ที่ตีนเขามีร้านขายไอติม กับน้ำดื่ม เผอิญสายตาเลือบไปเจอ ไอ้ที่เค้าทอดขายเนี่ย ทุกวันนี้ยังไม่ทราบว่ากินอะไรเข้าไป เดาเอาว่า คงจะเป็นตัว Yak อ่ะค่ะ (ภาษาไทยเรียกว่าอะไร ใครรู้มาบอกหน่อยนะคะ) รสชาติมันก็เหมือน ๆ เนื้ออ่ะ แต่กลิ่นมันเหม็น ๆ คาว ๆ บอกไม่ถูก ฝรั่งสั่นหัวเลย ถามว่า กินเข้าไปได้ไงว่ะ เลยต้องบอกว่า เฮ้ย มาแล้วต้องลองดิ !

ขากลับโชเฟอร์แวะไปสุสาน 13 กษัตย์ให้ ลงไปแล้ว ต่อแถวซื้อตั๋วก็แล้ว (หลังจากที่มีคนตัดหน้าหลายครั้ง) สุดท้าย บอกว่าไม่เข้าดีกว่า คนเยอะ ร้อนด้วย กลับโรงแรมดีกว่า เลยไม่ได้ดูอะไรเลย แต่ไม่เสียใจ คนมันเยอะเกินเหตุจริง ๆ โชคดีที่ตัดสินใจแบบนั้น เพราะขากลับรถติดมาก กว่าจะถึงโรงแรมก็เย็นมากแล้ว แต่ละคนก็เหนื่อยด้วย ทุกคนเลยลงความเห็นว่า ขอนอนกลางวันหน่อยล่ะกัน

คืนนั้นเราเดินออกไปทางอาหารค่ำกันที่ร้านแถว ๆ ถนน Wangfujing ค่ะ เดินเลือกไปเลือกมา ฝรั่งบอกว่า อยากจะสัมผัสอาหารจีนแท้ ๆ อีกซักมื้อ แต่ฝรั่งมีข้อจำกัดเยอะค่ะ ไม่เหมือนกระเหรี่ยงแบบเรา ๆ สุดท้ายเจอร้านอาหาร ดูภายนอกแล้วดูดี เด็กเสิร์ฟก็พูดจาดี อธิบายอาหารให้ฟัง เมนูมีรูปให้ดู แต่ว่าดูไม่ออกเลยว่า เป็นรูปอะไร คุณสามีเครียดมั่ก ๆ กลัวได้กินอะไรแปลก ๆ สุดท้ายสั่งต้มยำปลา 1 หม้อ กับอะไรก็ไม่รู้เป็นหมูทอด สาวเสิร์ฟแนะนำมา ขอโทษนะคะ เกิดจากท้องแม่ไม่เคยเห็นต้มยำแบบนั้นมาก่อนเลย เป็นต้มยำปลาในน้ำมันค่ะ ไอ้เราก็พอได้มองก็ซดน้ำแกงเลยไง ต๊ายยยยยย นึกในใจ เอาอะไรมาให้กูกินว่ะเนี่ย ส่วนหมูทอดเนี่ยพอถูไถไปได้ แล้วก็ผัดผักมาช่วยชีวิตไว้ ระหว่างที่กิน ในร้าน Drama มาก ลูกค้าอยู่ดี ๆ ก็ปัดถ้วยปัดชาม ลุกขึ้นมาด่าเสียงดังมาก ไม่รู้ว่าคุณท่านไม่พอใจอะไร ฟังไม่ออก แต่ท่านหน้าแดงมาก สุดท้าย คิดว่าคงเป็นเจ้าของร้าน ต้องออกมาไกล่เกลี่ย โห้ แล้วก็ตะเกียบที่ร้านนี้นะ สะอาดมาก ๆ เลย ราเขียว ๆ ตรึมเลย เค้าเอาช้อนมาให้ก็ยังกินไม่ลง ต้องไปเดินหาช้อนส้อมพลาสติคมาเอง

หลังอาหาร เราพากันเดินไปที่จตุรัสเทียนอันเหมิน และนครต้องห้าม กะว่าคนอาจจะน้อยลง ซึ่งก็จริง ๆ แต่น้อยลงไม่มาก แม่เดินไม่ไหว ขอนั่งรอ (อีกล่ะ ! ) เดินไปถ่ายรูปกันนิดหน่อย แล้วก็เข้าไปในนครต้องห้ามนิด ๆ แต่ว่าขี้เกียจเดินต่อ เลยพากันกลับไปหาแม่เฉยเลย แม่ยังถามเลยว่าทำไมกลับเร็ว ความจริงแล้วลมมันเริ่มแรงไง สงสารแม่ด้วย หนาวด้วย คุณสามีบอกให้ถามว่าแม่จะไปนั่งกินเบียร์เปล่า แม่บอก ม่ายอาววววจ้า เราก็เลยพาแม่ไปส่งขึ้นห้อง จากนั้นก็เดินกลับไปหาคุณสามีอีก นั่งกินเหล้ากันพักหนึ่ง ก็ลากกลับไปนอน



ม้าน้ำกับแมงป่องทอด


วันถัดมาก ตื่นแต่เช้า เตรียมตัวไปชอปปิ้ง วันนี้เราไปที่ Pearl Market ใครอยากได้ไข่มุกของดี ต้องขึ้นไปที่ชั้น 4 นะคะ (ต้องขึ้นลิฟต์ไปนะ บันไดเลื่อนไปไม่ถึง) ราคามากขึ้นอีกนิดหน่อยค่ะ แต่ว่าจะได้ของดี ร้านชื่อ Sharon's Store เป็นร้านที่ประธานาธิปดีคลินตัน ไปซื้อมาแล้วค่ะ เราซื้อไข่มุขนิดหน่อย คนขายน่ารักมาก ที่ตลาดนี้ ก็มีของก๊อปเยอะเลยค่ะ สารพัดยี่ห้อเลย แต่ว่าไม่ได้ซื้ออะไร เพราะว่า เบื่อต่อของอ่ะ ไม่ว่าจะซื้ออะไรต้องต่อน้านนาน เซ็ง จากตลาดไข่มุก เราก็ไปที่ Silk Market ค่ะ ซื้อเสื้อ Cashmere แล้วก็พวกผ้าพันคอ ไว้สำหรับแจกชาวบ้านช่วงคริสต์มาสค่ะ ราคาดีเหมือนกัน แต่ต้องต่อเยอะ เดินกันจนเหนื่อยเลย ต้องไปนั่งพักดื่มกาแฟ หิวก็หิว แต่ว่า ไม่ค่อยมั่นใจในความสะอาดของอาหารข้างถนน เลยไม่กล้ากิน

คืนนี้คืนสุดท้ายแล้วค่ะ แม่เริ่มเบื่อมาก ๆ เพราะว่าตั้งแต่มาแม่ยังไม่ค่อยได้ทานอะไรเลย หลังจากได้ลิ้มรสอาหารจีนมา 2 วันแล้ว วันนี้ทั้งฝรั่งทั้งกระเหรี่ยงลงความเห็นต้องกันว่า ขอกินอาหารลุงแซมดีกว่า ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนค่ะ KFC เจ้าเก่านี่เอง แม่กินเอา ๆ เลยอ่ะ คงหิวมาก สุดท้ายไปนอนดูทีวี สลบเหมือดทุกคน เช้าวันสุดท้าย เครื่องบินออกตอนบ่าย 4 เลยมีเวลาไปเดินเล่น หาซื้อของไปฝากชาวบ้าน แม่ดีใจมาก อยากกลับบ้าน เพราะว่าคิดถึงหมาที่บ้าน

ถึงเวลาอำลาจากนครปักกิ่ง มาเที่ยวนี้เหมือนไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย รู้สึกเหมือนวุ่นวายมาก กลับถึงบ้าน พ่อบอกว่า บอกแล้ววววว ให้ซื้อทัวร์ไปไม่เชื่อ เซ็งเลย แต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ชีวิตค่ะ ถึงแม้จะไม่เห็นอะไร ๆ หลาย ๆ อย่าง นับว่าคุ้มค่ะ สนุกดี




 

Create Date : 10 เมษายน 2549
8 comments
Last Update : 10 เมษายน 2549 4:59:24 น.
Counter : 1001 Pageviews.

 

เขียนได้สนุกมากค่ะ
ดีใจด้วยที่สนุกกับปักกิ่งค่ะ
สวัสดีจากคนที่อยู่เซี่ยงไฮ้ค่ะ

 

โดย: BFR IP: 218.79.186.76 10 เมษายน 2549 6:28:40 น.  

 

ไม่เคยไปเลยครับ
อ่านแล้วรู้สึกว่าต้องอาศัยความทรหดพอดูเลยนะเนี่ย

 

โดย: 9A 10 เมษายน 2549 6:58:11 น.  

 

อ่านแล้วคิดถึงปักกิ่งจังค่ะ
คิดถึงกองทัพมดในวันชาติที่นั่นด้วย

 

โดย: แพนด้ามหาภัย 10 เมษายน 2549 7:41:02 น.  

 

อ่านแล้วอยากไปมั่งคะ รูปอาหารบนโต๊ะน่ากิน หุหุ โดยเฉพาะ อันที่เป็น แสตนเลส กลมๆ นั่นใช่ เป็ดปักกิ่ง หรือเปล่าค่ะ เห็นแล้วอยากชิมค่ะ อิ

 

โดย: liza (Superza) IP: 124.120.184.100 10 เมษายน 2549 14:10:45 น.  

 

มาเที่ยว Beijing ด้วยคนค้า

 

โดย: Malee30 11 เมษายน 2549 0:36:07 น.  

 

ตามมาเที่ยวด้วยคนนะคะ

 

โดย: shnkitty 11 เมษายน 2549 8:05:11 น.  

 

555 ต้ายยยย ตาย ตาย เจ้ นี่คุณหญิงแม่เค้าอยากไปหรือเจ้ไปบังคับเค้าไปอ่ะ เนี่ย

 

โดย: หนู๋คนจีนนะเนี่ย (Jiguli ) 19 สิงหาคม 2549 14:41:03 น.  

 

Hey, that was very nicely chronicled. I think your mom will enjoy Chiangmai more. She's going there with Mod soon I think. She should call Ah Turn re hotel reservation. She can stay where YaNid's son is front desk mgr.

 

โดย: ahpan na ja IP: 70.44.126.25 22 ตุลาคม 2549 8:52:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Lilac Girl
Location :
The Land of 10,000 Lakes United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชม Blog ของเรานะคะ มีอะไรแนะนำจะให้เขียน รบกวนเขียนฝากไว้ด้วยค่ะ

Disclaimer: ทุกข้อความใน Blog นี้ เราเขียนเรื่องจากประสบการณ์เท่านั้น ไม่มีเจตนาว่าร้ายใคร และหากเรื่องที่เขียนไปกระทบใจใคร ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ส่วนข้อมูลต่าง ๆ ที่ให้ไว้ ก็เป็นเพียงข้อมูลจากประสบการณ์จริงเท่านั้นค่ะ

***ประกาศ : ท่านที่นำเนื้อหาในบล็อคของเราไปแปะไว้ในเว็ปอื่น ยินดีอย่างยิ่งค่ะ ที่ช่วยกันเปิดเผยข้อมูล แต่ขอความกรุณาซักนิด แจ้งให้เราทราบด้วยนะคะ ให้เครดิตคนเขียนกันบ้างค่ะ ***

New Comments
Friends' blogs
[Add Lilac Girl's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.