|
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
เลือกในสิ่งที่รัก
หมายเหตุ 1. สัปดาห์นี้ ขอญาตเสวนาด้วยประเด็นออกแนวซีเครียดหน่อยนะคร้าบ 2. หน้าบล็อกนี้มิได้มุ่งหมายจะวิพากษ์ระบบการศึกษา (อันล้าหลัง) ของชาติไทยแต่ประการใด และมิได้จะอวดอ้างตัวกระผมเองในอดีต ... ประสงค์เพียงแค่อยากแบ่งปันเรื่องราวเดียวกัน ที่อยู่คนละห้วงเวลากัน เพื่อให้น้องๆ ในยุคปัจจุบันได้ทราบ และเพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจเท่านั้นครับ ____________________________________________________________
มีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงนี้ และทำให้ผมย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ ... ... เหตุการณ์นึงก็คือ มีน้องๆ บางคนในบล็อก กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ก็คือเรียนอยู่ ม.6 กำลังจะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต้องขยันอ่านหนังสือกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อต ... อีกเหตุการณ์นึงก็คือ มีเพื่อนรุ่นน้องคนนึงของผม เดินทางกลับมาเมืองไทยชั่วคราว เพื่อมาขอต่อทุน
... ยังคงจำหนังไทยเรื่องนึงเมื่อต้นปีที่ผ่านมากันได้มั้ย หนังแนวสารคดีที่ตามถ่ายชีวิตเด็ก ม. 6 กลุ่มนึง ตลอดระยะเวลา 1 ปี
(ภาพทุกภาพในหน้าบล็อกนี้ มาจากหนังสารคดีค่าย GTH เรื่อง Final Score)
ระบบการศึกษาสมัยนี้ ค่อนข้างซับซ้อนวุ่นวายเป็นที่ยิ่งสำหรับคนรุ่นผม มีทั้งการสอบเก็บคะแนน A-net, O-net รวมทั้งการสอบตรงต่างๆ มากมาย พาลให้ปวดกบาล ไม่เหมือนสมัยผมที่มีเพียงแค่การสอบเอ็น(สะ)ทร้านซ์ เพียงครั้งเดียว โดยใช้ผลคะแนนที่ได้ (อาจรวมถึงวิชาความถนัด สำหรับบางคณะที่ถูกบังคับให้สอบ) เป็นตัวตัดสินว่าเราจะได้เรียนในคณะใด มหาวิทยาลัยใด ตามอันดับที่ได้เลือกไว้ (สมัยผมมีให้เลือกถึง 6 อันดับ แต่รุ่นหลังๆ ก็ลดลงมาเรื่อยๆ จนเหลือ 4 มั้ง) ... ส่วนเด็กภูมิภาค ก็จะโชคดีหน่อย ได้สอบ 2 ครั้ง แถวๆ ภาคเหนือบ้านผมเค้าจะเรียก สอบเอ็นท์ฯ เล็ก คือเป็นโควตาสอบเข้า มช. ก่อนทีนึง แล้วถึงจะมา สอบเอ็นท์ฯใหญ่ เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยส่วนกลางอีกทีนึง ... ถ้าใครติดและอยากเรียนคณะที่เลือกตอนเอ็นท์ฯ เล็กแล้ว ก็ไม่ต้องสอบเอ็นท์ฯ ใหญ่อีก
นอกจากนั้น ก็จะมีระบบ สอบเทียบ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กที่ขยัน (คงไม่ใช่เรียนดีหรอก เพราะส่วนใหญ่ก็ผ่านกันนี่นะ) ได้ไปลองสอบในสนามแข่งจริงกับรุ่นพี่ๆ ก่อนจะถึงเวลาสอบจริงในรุ่นตัวเอง ถ้าสอบติด จะไปเรียนก็ไปได้เลย โดยใช้วุฒิจากการสอบเทียบนั่นแหละ (ส่วนวิชาที่ไม่ได้เรียนในชั้นที่พาสไป ก็ต้องไปเรียนรู้เอาเอง)
กรณีศึกษาที่ 1 : เพื่อนสมัยมัธยมคนนึงของผม สถานะ : ถึงแม้เค้าจะเรียนวิชาหลักไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่จะเป็นคนที่วาดรูป ร่างแบบ ได้สวยมาก หัวศิลป์สุดๆ เวลามีงานออกแบบตกแต่งพวกสแตนด์เชียร์หรืออื่นๆ ก็ต้องอาศัยฝีมือเค้านี่แหละเป็นคนร่าง และเจ้าตัวก็ประกาศมาโดยตลอดว่าอยากเรียนสถาปัตย์ ซึ่งใครๆ ก็คิดว่าเค้าต้องได้เรียนในสิ่งที่เค้ารักและทำได้ดีแน่ๆ ผลการสอบเอ็นท์ฯ : คะแนนสอบเค้าติดอันดับล่างๆ ของที่เลือกคณะไว้ เป็นคณะทางด้านสังคมศาสตร์ จึงต้องไปเรียนตามที่สอบได้ ทุกวันนี้เค้าทำงานทางด้านทรัพยากรบุคคล (Personal) ของบริษัทมีชื่อแห่งนึง และเรียนจบโทแล้ว สาขาการบริหารบุคคล ส่วนสิ่งที่เค้ารัก เค้าก็ยังทำได้ดีอยู่ เวลาไปเยี่ยมบ้านที่เค้าซื้อไว้ จะเห็นเลยว่าเค้าจะแต่งบ้านได้ศิลป์สุดๆ เร็วๆ นี้ : เพื่อนเริ่มมาบ่นๆ กับผมว่าเบื่องาน อยากลาออกมาทำกิจการส่วนตัว อย่างเช่นร้านอาหาร ความเห็นผม : คะแนนสอบเอ็นท์ฯ ที่ต่ำเกินไป กลายเป็นตัวตัดโอกาสในสิ่งที่เพื่อนผมอยากเป็นอย่างน่าเสียดาย และบังคับให้เค้าต้องเปลี่ยนอนาคตตัวเองไปเป็นในสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดไว้เลยว่าอยากจะเป็นเมื่อตอนเด็กๆ
กรณีศึกษาที่ 2 : ตัวผมเอง ความใฝ่ฝันเมื่อครั้งยังเด็ก : ผมเคยฝันอยากเป็นนักบินอวกาศขององค์การ NASA เพราะชอบออกไปยืนมองดวงดาวบนท้องฟ้าแล้วจินตนาการถึงดาวเนยแข็งที่อ่านมาจากการ์ตูนดีสนีย์ ผมเคยฝันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่แม้จะตายไปแล้ว แต่ชื่อของผมก็ยังปรากฏอยู่ในตำราเรียนให้เด็กรุ่นหลังได้อ่าน ผมเคยฝันอยากเป็นนักประดิษฐ์ สามารถสร้างของวิเศษได้แบบที่โดราเอมอนควักออกมาจากกระเป๋าหน้าท้อง ผมเคยฝันอยากเป็นตำรวจ ตามอย่างตัวเอกในนวนิยายเรื่องโปรดเรื่องนึงของผม
สถานะ : ตอนเรียนมัธยม ส่วนใหญ่การเรียนผมอยู่ในระดับ ท็อปโฟร์ ของห้อง (ห้องคิง) ของโรงเรียนประจำจังหวัด จุดอ่อนสำคัญของผมคือ วิชาคำนวณผมทำได้แค่ ค่อนข้างดี, ฟิสิกส์ไม่ดีเท่าไหร่, เคมีกับชีวะจัดว่าดี แต่วิชาที่ชอบเรียนมากและได้คะแนนท็อปบ่อยๆ ได้แก่ สังคมศึกษา และ ภาษาไทย และบางครั้งก็รวมถึงภาษาอังกฤษด้วย และรุ่นผมก็เป็นรุ่นความหวังของโรงเรียน, ที่ 1 รุ่นผม เป็นคนที่ได้โควตาไปแข่ง Maths โอลิมปิค รุ่นแรกๆ ของเมืองไทย (แต่มันดันสละสิทธิ์ เพราะไม่อยากได้โควตาไปเรียนในที่ๆ มันไม่ชอบ) นอกจากนั้น ยังเป็นรุ่นแรกที่ระดับท็อปทุกคน ไม่มีใครไปสอบเรียนต่อ ม.4 เข้าโรงเรียนเตรียมอุดมกันเลย (รุ่นพี่ๆ ก่อนหน้านั้น ส่วนมากระดับท็อปจะไปกันหมด) ซึ่งเป็นแบบอย่างให้น้องรุ่นหลังๆ มีความมั่นใจ ส่วนใหญ่จะอยู่เรียนกันต่อที่จังหวัด ไม่ลงมาสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังที่กรุงเทพฯ กันแล้ว
ผม (รวมทั้งเพื่อนร่วมรุ่นอีก 20 กว่าคน) สอบเทียบได้ตั้งแต่ ม.4 (แต่สิ่งที่หลงเหลือติดตัวมากับผมจากการสอบเทียบจนทุกวันนี้ คือการพิมพ์ดีดไทยแบบสัมผัส ซึ่งการสอบเทียบ จะบังคับให้ต้องเรียนวิชาชีพอะไรก็ได้ 1 ตัว ผมเลยเลือกวิชานี้) ... และแน่นอน พวกเราทุกคนไปลองสอบเอ็นท์ฯ กัน (สอบได้แต่เอ็นท์ฯใหญ่ เพราะเอ็นท์ฯเล็ก เค้าให้แต่เด็ก ม.6 สอบเท่านั้น)
ผลการลองสอบเอ็นท์ฯ : ตอนม.4 ที่ 1 รุ่น สอบติดแพทย์ฯ มช. และมีเพื่อนอีกบางคนที่สอบติดเช่นกัน ... ส่วนผมน่ะเหรอ ติดอันดับ 5 ที่เลือกไว้คือ คณะวิทยาศาสตร์ มช. ... แต่ยังไม่มีใครกล้าไปเรียน เพราะรู้สึกว่ายังเด็กเกินไป (ตอนนั้นอายุ 16) คงจะปรับตัวยาก อีกทั้งยังไม่ได้เรียนเนื้อหาวิชาของ ม.5 และ ม.6 กันเลย
... แน่นอนว่าตอน ม.5 พวกเราไปลองสอบกันอีกครั้ง และคราวนี้ทุกคนก็ทำได้ดีกว่าเดิม ที่ 1 รุ่น สอบติดแพทย์ฯ จุฬาฯ คณะที่เค้าใฝ่ฝัน และปัจจุบัน ก็เป็นอาจารย์หมอ ผู้เชี่ยวชาญโรคเลือดและโรคมะเร็ง ที่ 2 รุ่น สอบติดแพทย์ มช. ทุกวันนี้ เป็นแพทย์ประจำในโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อ ที่จังหวัดนึงแถบๆ บ้านผมนั่นแหละ เพื่อนอีกคนนึงในท็อปโฟร์ ไม่ได้สอบเทียบ และสอบติดแพทย์ มช. ตอน ม.6 ... ทุกวันนี้ เป็นหัวหน้าแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู (กายภาพบำบัด) และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการฝังเข็ม ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่บ้าน นั่นเอง
... ส่วนตัวผมเอง ตอนนั้นนึกยังไงไม่รู้ ไม่อยากเรียนจุฬาฯ (อาจเป็นเพราะนึกหมั่นไส้ และผมไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมือง) และผมได้ตัดสินใจตั้งแต่ ม.4 แล้วว่าผมจะไม่เลือกเรียนหมอ (ผมกลัวเลือด และตอนนั้นก็กลัวผีมาก) ผมจึงเลือกวิศวะไว้ 4 อันดับแรก และเลือกคณะวิทยาศาสตร์ กับเศรษฐศาสตร์ไว้กันเหนียวที่อันดับ 5 และ 6
ทำไมถึงต้องเลือกวิศวะ : สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีคณะแปลกๆ เท่ห์ๆ ให้เลือกเรียนมากนักอย่างทุกวันนี้ ยิ่งโรงเรียนต่างจังหวัดด้วยแล้ว เลยกลายเป็นความเชื่อฝังหัวกันมาว่าเด็กเก่งถ้าไม่เลือกเรียนหมอ ก็ต้องเรียนวิศวะ ... เนื่องจากคะแนนของ เทคโนฯ พระจอมเกล้าลาดกระบัง สูงเป็นอันดับ 2 รองจากจุฬาฯ (ในสมัยนั้น) ดังนั้นผมจึงเลือกที่นี่ไว้อันดับ 1 (ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลยก็ตาม รู้แค่ว่าอยู่ชานเมือง) โดยตอนนั้นยังไม่สามารถเลือกแยกสาขาได้เหมือนยุคนี้ ส่วนอันดับ 2 ถึง 4 ผมเลือกแต่วิศวะเคมี อีก 3 มหาลัย ตามลำดับคะแนนที่ลดหลั่นกันลงมา (ตอนนั้นลาดกระบัง ยังไม่เปิดสอนภาคเคมี เซ็งเจงๆ เพิ่งรู้ตอนสอบติดเข้าไปเรียนแล้ว) ... วันประกาศผลสอบเอ็นท์ฯ ม.5 ผมโทรถามเพื่อนที่ 1 กับที่ 2 และรู้แล้วว่าติดหมอทั้งคู่ ... ส่วนตัวผมเอง ลุ้นระทึกแทบตาย ตอนก่อนประกาศผล ไปดูหมอดูกับเพื่อนมา หมอบอกว่า ดวงจะเป็นนายแบงค์ ได้ทำงานสายการเงิน อ้ายเราก็คิดว่าคงติดอันดับ 6 (เศรษฐศาสตร์) แหงมๆ เพราะตอนสอบก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ ... พอรู้ผลว่าติดอันดับ 1 ที่เลือกไว้ (ฟลุคชิบเป๋ง!) นี่ตัวชาไปเลยล่ะ
... และผมก็กลายเป็นนักศึกษาปี 1 ของที่นี่ พร้อมกับเพื่อนร่วมห้องที่สอบติดมาด้วยกันอีก 2 คน ... พอได้ไปเรียนจริงๆ เห็นครั้งแรกผมก็อุทานในใจ โห! โคตรบ้านนอกเลยว่ะ ต้องนั่งรถไฟออกไปจากกรุงเทพฯ ตั้งไกล ผ่านทุ่งนา มีฝูงนกบินเต็มไปหมด ... ผิดกันแบบหน้ามือเป็นหลังน่องกับยุคนี้ ที่ความเจริญแทบทุกอย่างทั้ง รถเมล์ ปอ., ตู้ ATM (สมัยผมเรียนต้องปั่นจักรยานไปกดเงินที่นิคมฯ ลาดกระบังโน่นแน่ะ!), ร้านเซเว่น, ห้างเล็กๆ, ถนนมอเตอร์เวย์ หรือแม้แต่สนามบินนานาชาติ! ก็แห่ขยับขยายเข้าไปจนแทบจะเต็มพื้นที่แล้ว
ตอนปี 1 : เทอม 1 ผมลงวิชาคณะไป 4 ตัว เกรดสูงสุดที่ได้คือ C+ ... แต่กับวิชานอกคณะ ผมได้เกรด A 2 ตัว สำหรับวิชาภาษาญี่ปุ่น และจิตวิทยา! ... ตอนกำลังจะขึ้นปี 2 มีความคิดแว่บนึงเหมือนกันที่คิดจะสอบเอ็นท์ฯ ใหม่ (ไม่ถือว่าเสียหายอะไร เพราะเรียนเร็วมา 1 ปีอยู่แล้ว) โดยเลือกคณะที่ชอบมากกว่านี้ ... แต่ด้วยความขี้เกียจอ่านหนังสือและไม่กล้าพอที่จะ ตั้งตัว ใหม่อีกหน ก็เลยเลิกล้มความตั้งใจนั้น และทนทู่ซี้เรียนจนจบปี 4 ด้วย GPA ที่เกิน 2.5 มาไม่เท่าไหร่
ถ้าให้เลือกคณะใหม่ในตอนนั้น : คงเลือกคณะที่ชอบ (และน่าจะทำได้ดี) จริงๆ อย่างเช่น อักษรศาสตร์, โบราณคดี หรือวิทยาศาสตร์ (ที่ตอนม.4 ดันติดแล้วไม่เอา) ถ้าให้เลือกคณะที่มีในปัจจุบัน : มีหลายสาขาเลยที่น่าสนใจ อย่างเช่น พลังงาน, Biotechnology, Bioinformatics, การจัดการการบิน (สาขานี้ยังเล็งๆ อยู่ว่าอาจเป็นโทใบที่ 2 ของตัวเอง ถ้าเบื่องานปัจจุบันจัดๆ), การจัดการการท่องเที่ยว (ผมชอบด้านนี้และไปสอบได้บัตรมัคคุเทศก์จาก ททท. มาเรียบร้อยแล้ว), การจัดการการศึกษา, การพัฒนาสังคม เป็นต้น ความเห็นผม : ถึงแม้ผมดูเหมือนจะ มีสิทธิ์เลือก แต่ด้วยทางเลือกที่ไม่มากนักในขณะนั้น ประกอบกับตัวผมเองที่ใจไม่กล้าพอ ดังนั้นผมจึงยังคงต้องทำงานที่ตัวผมเองไม่ได้รัก และไม่ถนัดเท่าไหร่อยู่ในปัจจุบัน ... และผมคงต้อง เตรียมพร้อม เพื่อจะก้าวต่อไปในอนาคตอย่างมีความสุขกับงานที่ตัวเองคิดจะทำ
กรณีศึกษาที่ 3 : เพื่อนรุ่นน้อง (คนที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนต้น ว่าอยู่ในระหว่างบินกลับมาขอต่อทุนที่เมืองไทย และเค้าคือคนที่ผมไปพักด้วย ตอนที่ผมไปเที่ยวอเมริกาเมื่อตอนเดือนเมษายนที่ผ่านมานั่นเอง) สถานะ : เพื่อนคนนี้ เป็นน้องโรงเรียนห่างกันรุ่นเดียว ... เพิ่งรู้จักกันตอนที่เค้าสอบติดคณะวิทยาศาสตร์ลาดกระบัง ตอน ม. 5 (ผมอยู่ปี 1 ขึ้นปี 2) แล้วเค้าไปเรียน เลยไปเจอกันที่นั่น เค้าบอกว่าตอนเรียนในรุ่น เค้าก็คะแนนกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่เค้าจะเชี่ยววิชาเคมีเป็นพิเศษ ... ผ่านไป 1 ปี เค้าสอบเอ็นท์ฯ ใหม่ คราวนี้ติดคณะผมนั่นเอง (วิศวะ ซึ่งภาคเคมีก็ยังไม่เปิดอยู่ดีในตอนนั้น) แล้วบ้านเค้าก็มีญาติทำงานอยู่ กฟผ. เหมืองลิกไนต์ แม่เมาะ ดังนั้นก็เลยถูกที่บ้านบังคับให้เรียนภาค power (ไฟฟ้ากำลัง) ซึ่งเค้าไม่มีตัวเลือกอื่นที่อยากเรียน ก็เลยต้องจำใจเรียน ... เค้ากล้ำกลืนฝืนเรียนอยู่จนถึงปี 2 ได้เกรดติดโปร และเกือบไทร์! การตัดสินใจ : คงเพราะไม่ได้รักด้านนั้นจริงๆ และเรื่องเกรดด้วย เค้าเลยตัดสินใจสอบเอ็นท์ฯ ใหม่อีกครั้ง คราวนี้ติดวิศวะเคมี ที่ ม.มหิดล (เค้าเข้าเรียนปี 1 เป็นครั้งที่ 3 ตอนผมจบปี 4 กำลังเริ่มทำงานปีแรก) ... และตอนปี 4 เค้าจบด้วยเกรดเป็นที่ 1 ของภาควิชา! และได้ทุนเรียนต่อที่วิทยาลัยปิโตรเคมีที่จุฬาฯ พอเรียนจบ ก็ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกจาก MTEC (ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ) ที่มหาวิทยาลัยแห่งนึงในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา! ความเห็นผม : เลือกในสิ่งที่รัก เพราะคุณจะทำสิ่งนั้นได้ดีที่สุด และคุณจะต้องทำงานกับมันไปอีกทั้งชีวิต ... เช่นเดียวกับเพื่อนผมคนนี้
คำถามทิ้งท้ายให้ตอบกันเล่นๆ สำหรับผู้อ่านบล็อกที่อยากร่วมสนุก + ถ้าคุณเรียนจบ และทำงานแล้ว ... 1. ตอนเด็กๆ คุณฝันอยากเป็นอะไรกันบ้างเหรอ? อยากรู้อ่ะ 2. งานที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นงานที่คุณรักและถนัดที่จะทำใช่หรือไม่? 3. อนาคต คุณคิดจะทำงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันไปจนเกษียณเลยหรือเปล่า? หรือมีแผนการอย่างอื่นเตรียมไว้แล้ว
+ ถ้าคุณกำลังเรียน ป.ตรีอยู่ ... 1. ตอนเด็กๆ น้องๆ ฝันอยากเป็นอะไรกันบ้าง? 2. คณะที่กำลังเรียนอยู่ เป็นคณะที่ชอบ และคิดว่าเรียนได้ดีใช่หรือไม่? 3. วางแผนการในอนาคตไว้คร่าวๆ หลังเรียนจบว่ายังไงบ้าง?
+ ถ้าคุณกำลังจะสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ... 1. ตอนเด็กๆ นู๋ๆ ฝันอยากเป็นอะไรกันบ้างเอ่ย? 2. คิดจะสอบเข้าเรียนคณะอะไร? และเป็นคณะที่ตัวเองชอบและถนัดใช่หรือไม่? 3. ได้วางแผนการในอนาคตไว้หลังเรียนจบบ้างหรือยัง?
และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่าน สำหรับการติดตามอ่านหน้าบล็อก (อันยาวยืด-เช่นเคย) นี้ด้วยครับผม ...
Create Date : 27 กันยายน 2550 |
Last Update : 27 กันยายน 2550 11:05:02 น. |
|
48 comments
|
Counter : 701 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: P_Poy วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:13:05:59 น. |
|
โดย: CM_Guy IP: 61.7.146.73 วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:14:00:13 น. |
|
โดย: pangz วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:14:55:13 น. |
|
โดย: nanoguy วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:15:56:01 น. |
|
โดย: สเนโก้ วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:16:46:54 น. |
|
โดย: Unravel วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:20:06:38 น. |
|
โดย: Unravel วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:20:09:43 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:20:14:54 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:20:24:22 น. |
|
โดย: ลิงจ๊ากจ๊าก วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:21:31:23 น. |
|
โดย: ซซ วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:21:48:13 น. |
|
โดย: pangz วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:21:53:06 น. |
|
โดย: verdancy วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:22:14:44 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:15:05:25 น. |
|
โดย: Unravel วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:22:33:56 น. |
|
โดย: nanoguy วันที่: 29 กันยายน 2550 เวลา:17:37:50 น. |
|
โดย: Unravel วันที่: 30 กันยายน 2550 เวลา:15:22:16 น. |
|
โดย: fzero วันที่: 30 กันยายน 2550 เวลา:20:21:33 น. |
|
โดย: pangz วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:10:47:50 น. |
|
โดย: Unravel วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:11:43:39 น. |
|
โดย: R on (S)T IP: 220.157.181.242 วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:19:12:02 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:19:23:39 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:19:42:44 น. |
|
โดย: ซซ วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:20:03:49 น. |
|
โดย: ดาวทะเล วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:15:26:44 น. |
|
โดย: nanoguy วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:17:15:04 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:19:17:24 น. |
|
โดย: เด็กผู้ชายที่ไม่เตะบอลตอนกลางวัน (kanapo ) วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:19:52:38 น. |
|
โดย: เด็กผู้ชายที่ไม่เตะบอลตอนกลางวัน (kanapo ) วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:21:57:42 น. |
|
โดย: fzero วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:22:09:07 น. |
|
โดย: fzero วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:22:20:57 น. |
|
โดย: verdancy วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:22:33:36 น. |
|
โดย: Chini วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:5:07:33 น. |
|
โดย: verdancy วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:18:17:49 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:19:32:22 น. |
|
โดย: Chini วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:23:18:56 น. |
|
โดย: Chini วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:23:51:28 น. |
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:12:01:26 น. |
|
โดย: vanilla IP: 76.102.197.185 วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:14:42:54 น. |
|
โดย: สี่ทิศ IP: 58.8.65.225 วันที่: 9 กันยายน 2551 เวลา:16:36:35 น. |
|
| |
|
บลูยอชท์ |
|
|
|
|
1. ตอนเด็กๆ น้องๆ ฝันอยากเป็นอะไรกันบ้าง?
ตอนเด็กอยากเป็นหมอ โตมาซัก ม.ปลายอยากทำอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือ
2. คณะที่กำลังเรียนอยู่ เป็นคณะที่ชอบ และคิดว่าเรียนได้ดีใช่หรือไม่?
คณะที่เรียนอยู่เป็นคณะทึ่เฉย แบบว่าเรียนได้อ่าค่ะ ^^"
แต่ไม่ได้ชอบมากมาย
ถ้าเลือกใหม่ก็อยากเข้าวารสารฯ ไม่ก็จิตวิทยาค่ะ แต่ตอนนั้นมีเหตุให้เข้าไม่ได้
ก็เลยผกผันมาเป็นเด็กไอที ลาดกระบัง
อ่านแล้วเห็นภาพนะคะ แต่ที่นี่ดีอย่าง ไม่ค่อยแออัดเหมือนในเมืองดีค่ะ
บ้าน ๆ ดีตัวแสบชอบนะ ชอบบรรยากาศอ่ะ ไม่ชอบอึดอัด รถติดเหมือนในเมือง
อ้อ อีกอย่างพอดีรู้สึกว่าโชคดีที่ได้เรียนคณะที่ดีอ่ะ บรรยากาศนะคะ อบอุ่นอ่ะ อาจารย์ใจดี ^^
3. วางแผนการในอนาคตไว้คร่าวๆ หลังเรียนจบว่ายังไงบ้าง?
ก็หางานดี ๆ ทำค่ะ
คงคล้าย ๆ แนวคนที่น่าจะเรียนถาปัตย์นะ ก็ทำงานด้านที่เรียนไปค่ะ
แต่งานที่ชอบ หรือสิ่งที่ชอบคงทำไปด้วย เอาแบบมีความสุขก็พอ
ถ้ามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ชอบตัวแสบก็คงเลือกทำงานด้านนั้นเลยค่ะ
แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร พอดีรู้สึกว่าสิ่งที่ชอบมันทำเสริม ๆ งานหลักได้อ่าค่ะ
จบแระ ตอบยาวนะเนี่ยยย อ่านแล้วมันโดนจริง ๆ