°o.O อ้อมกอดจันทร์ O.o° ตอนที่ ๓


แสงสีทองหายลับไปหลังทิวเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อนอยู่เบื้องหน้า ม่านสีดำแผ่ปกคลุมท้องฟ้า จนทุกอย่างถูกซ่อนไว้ในเงาสลัวของราตรี โคมไฟตามจุดต่าง ๆจึงถูกเปิดขึ้นเพื่อให้ความสว่าง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินลัดเลาะไปตามถนนสายเล็ก ๆมุ่งตรงไปยังบ้านพัก นัยน์ตาคมเข้มมองฝ่าความมืดไปยังตัวบ้านที่ปิดสนิท จะมีก็เพียงโคมไฟดวงเล็กหน้าบ้านเท่านั้นที่เปิดให้ความสว่างอยู่ขณะนี้ ทันทีที่เจ้าของบ้านประตูเข้าไป เมื่อไฟสว่างขึ้น แจกันสีขาวสะอาดทรงสูงวางเด่นสะดุดตาอยู่บนโต๊ะกระจกพร้อมการ์ดใบเล็กเขียนด้วยลายมือหวัด ๆ

รอยแห่งความสงสัยฉายอยู่ในแววตาทั้งคู่ ก่อนค่อยคลายออก เมื่อรู้ว่าแจกันนี้คือใคร รอยยิ้มบาง ๆปรากฏบนริมปากที่หุบสนิทพร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าที่เคร่งขรึมดูนุ่มนวลขึ้น ก่อนว่างแจกันลงที่เดิม แล้วจึงเดินไปเปิดหน้าต่าง เพื่อระบายความอบอ้าว กลิ่นดอกราตรีที่ปลูกอยู่ทั่วบริเวณบ้านพักโชยมาบาง ๆ ม่านหน้าต่างสีฟ้าอ่อนขลิบด้วยลูกไม้สีเข้มปลิวไสวตามแรงลมที่พัดมาเป็นระรอก

สายตาของเจ้าของบ้านมองฝ่าความมืดไปยังเนินที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านเท่าใดนัก พลางสายตาก็พลันสะดุดอยู่ที่ร่าง ๆหนึ่ง เป็นเจตนาหรือความบังเอิญก็ไม่อาจทราบได้ เพราะร่างนั้นยืนบังแสงจากโคมไฟ จึงทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด แต่ดูจากลักษณะรูปร่างแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย ไพธนจ้องมองด้วยความสงสัย ก็ไม่เห็นเงานั้นจะเคลื่อนตัวไปไหนแต่อย่างใด นอกจากจะยื่นนิ่งอยู่กับที่ ความรู้สึกบอกให้เขารู้ว่า เจ้าของเงาปริศนานั้นกำลังมองมายังหน้าต่างบานที่ชายหนุ่มยืนอยู่เช่นเดียวกัน ในขณะที่ไพธนกำลังตัดสินใจจะเดินออกไปดูให้หายสงสัยนั้นดีหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงก๊อกแกร๊กดังที่ประตูหน้าบ้าน ขายาวก้าวตรงไปที่ประตูทันที เมื่อประตูถูกเปิดออก

“อ้าว! “เสียงร้องอย่างแปลกใจ “มาถึงนานแล้วเหรอ ชั้นนึกว่านายจะมาถึงดึก ๆเสียอีก”

“ตอนแรกก็ว่าจะมาดึก ๆนั่นแหละ แต่ขี้เกียจขับรถตอนกลางคืน”

ปากตอบคำถามเรียบ ๆ สายตาไม่ได้อยู่ที่คู่สนทนา แต่มองฝ่าความมืดไปยังเนินที่มีพุ่มไม้เยื้องกับบ้านพัก เนื่องจากเป็นคืนเดือนมืด จึงทำให้มองเห็นได้ไม่ไกลนัก แต่ก็ทำให้พอเดาได้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงนั้นแน่นอน ซึ่งบัดนี้ได้อันตรธานไปเสียแล้ว ไพธนจึงได้ปิดประตูเดินตามรวิชญ์ที่เดินเข้าไปในบ้าน

“นายมาก็ดีแล้วล่ะ ชั้นจะได้กลับบ้านเสียที” คนพูดไม่ได้มีท่าทางบ่งบอกว่าอยากกลับบ้านตามที่พูดเลยสักนิด

“ทำไม? ที่นี่ไม่มีอะไรดึงดูดใจนายบ้างรึไง?” คำถามสัพยอก ล้อเลียนเรียกรอยยิ้มอีกฝ่ายได้ ด้วยความที่รวิชญ์เป็นคนเจ้าสำราญ จึงชอบอยู่ไม่เป็นที่และเบื่ออะไรง่าย ๆ

“นายหมายถึงสถานที่หรือคนกันล่ะ” รอยยิ้มพึงใจประดับบนริมฝีปากคนพูด ย่อมทำให้เพื่อนที่คบกันมานานรู้ดีว่า เพื่อนตนเจอสิ่งถูกใจเข้าเสียแล้ว

“ชั้นก็ต้องหมายถึงสถานที่ซิ จะให้หมายถึงอะไรล่ะ?” ไพธนแสร้งว่า

รวิชญ์มองหน้าอย่างรู้ทัน จึงทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้น

“นายนี่รู้ใจชั้นไปเสียทุกอย่างเลยนะ” นัยน์ตาพราวขึ้นอย่างล้อเลียน ในขณะ ที่ไพธนทำแสร้งทำท่าขนลุกขนพอง กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง

“อย่าพูดให้ชั้นขนลุกไปหน่อยเลย อย่างนายแค่มองตาก็เห็นไปถึงลิ้นปี่แล้ว ชั้นชักอยากจะรู้ตงิด ๆเสียแล้วซิ ว่าใครกันที่โชคร้ายมาเจอนายเข้า”

“อ้าว! นายนี่ปากเสียแล้วไหมล่ะ ชั้นอุตส่าห์ตามหารักแท้อยู่นะ ยังมาพูดตัดกำลังใจกันอีก”

“รักแท้”เสียงครางอยู่ในลำคอ “อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย ชั้นไม่เคยเห็นนายคบกับผู้หญิงคนไหนเกินสามเดือนเลยนี่นา แล้วจะเจอรักแท้ได้ยังไง” ไพธนทำหน้าเบ้ ไม่เชื่อว่าเพื่อนจะพูดจริง นอกจากจะหาข้ออ้างเพื่อเลิกกับผู้หญิงเท่านั้น

“อ้าว! ดูถูกกันซะจริง ชั้นเจอแล้วโว้ย” นันย์ตาภายใต้ขนตาดำสนิทแพรวแพรวระยับ แต่มันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ที่รวิชญ์เจอผู้หญิงถูกใจ ไพธนจึงไม่ได้สนใจเท่าใดนัก

“แล้วชั้นจะคอยดู”สายตาที่มองไปยังเพื่อนแฝงไว้ด้วยความกังวลใจ ถ้าหากรวิชญ์จริงจังกับใครสักคน เขาจะเบาใจขึ้นเยอะ

“ชั้นไปอาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวจัง” เจ้าของบ้านออกตัว เพราะตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน เขาเพิ่งจะนึกได้ว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย

“อืมม์..ชั้นก็จะไปอาบเหมือนกัน” รวิชญ์บอกบ้าง

หลังจากชำระร่างกายเสร็จแล้ว รวิชญ์จึงลงมาด้านล่าง เห็นไพธนกำลังมองออกไปด้านนอก คล้ายกับค้นหาบางอย่าง

“มีอะไรน่าสนใจนักเหรอ ชั้นเห็นนายมองอยู่นานแล้ว” รวิชญ์หย่อนตัวลงนั่ง หยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวี

“เปล่าหรอก” ไพธนละจากหน้าต่าง เดินมานั่งโซฟาอีกตัว

“ว่าแต่..โครงการใหม่เป็นไงบ้าง คุณชงโคพอจะรับมือไหวไหม” ไพธนเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับยกกาแฟที่อยู่ในมือขึ้นจิบ

“อืมม์..ลูกสาวคุณพฤกษ์คนนี้ทำงานเก่งทีเดียว ถึงแม้เราไม่ได้คุณพฤกษ์มาช่วย แต่ไม่เสียหลายหรอกที่จ้างเธอมา” น้ำเสียงเอ่ยชมจริงใจ

“ก็ดีแล้วล่ะ..ค่อยโล่งอกหน่อย ชั้นเองก็นึกกังวลอยู่นะว่าเธอจะทำได้ไหม” รวิชญ์มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจนัก ก็ในเมื่อไม่รู้ฝีมือกันมาก่อน แล้วจะจ้างมาให้เปลืองงบประมาณทำไม จึงอดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้

“แล้วกัน นี่นายยังไม่ไม่รู้จักเธอหรอกหรือ”

“เปล่า..มีคนแนะนำมาอีกทีน่ะ” ไพธนบอกอย่างเพลีย ๆ สายตาตาเหม่อมองไปทางหน้าต่างเมื่อสักครู่อีกครั้ง

“แปลกคน อย่างนายนี่นะ จ้างคนที่ไม่รู้ระดับความสามารถให้มาทำงาน มันมีอะไรแปลกอยู่นะ” รวิชญ์มองเพื่อนด้วยความสนเท่ห์

“ไม่มีอะไรหรอก ชั้นทำตามคำสั่งเท่าก็นั้นแหละ” ไพธนบอกปัดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

“ว่าแต่..คุณชงโคสวยมากหรือ ชั้นรู้สึกว่านายจะสนใจเธออยู่ไม่น้อยนะ” ไพธนถามอย่างสนใจ และที่ท่าทีกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที

“บอกไม่ถูกเหมือนกัน เพิ่งจะได้คุยกันไม่กี่ครั้งคงบอกอะไรไม่ได้หรอก“ คนพูดแบ่งรับแบ่งสู้ ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่ไม่ถึงกับดูจนกลายเป็นโง่แกมหยิ่ง อย่างที่เขาเคยเห็นในผู้หญิงหลายคนที่เขาเคยเจอ

"ในคราวที่เจอกันครั้งแรก ชั้นรู้สึกแต่เพียงว่าหล่อนเป็นคนสวยที่ออกจะหยิ่ง และถือตัวไม่น้อย แต่หลังจากได้คุยกันบ้างพอสมควร ในความหยิ่งของเธอนั้น มันก็น่าอยู่หรอกที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจเช่นนั้น รูปร่างที่ดูบอบบาง ถึงแม้จะไม่ได้สวยจนบาดตา ถ้าผู้ชายคนไหนมีตาอยู่บ้าง คงไม่อาจจะมองข้ามเธอไปได้เชียวแหละ ทำงานหนักอยู่กลางแดดแทบจะตลอดเวลา ย่อมอาจจะถูกสบประมาทในความสามารถที่มีได้ง่าย ๆ"

ไพธนมองหน้าคนพูดอย่างหลากใจ น้อยครั้งที่รวิชญ์จะเอ่ยชมผู้หญิงนอกจากความสวย ที่สาว ๆเหล่านั้นมี

“อย่าบอกนะว่าผู้หญิงที่โชคร้ายคนนั้นคือ..” เสียงครางอย่างไม่เชื่อหู

ในเมื่อหนุ่มเพลย์บอยที่ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าอย่างรวิชญ์ หันมาสนใจลูกสาวเจ้าของร้านขายต้นไม้ ที่ดูยังไงก็ต่างจากผู้หญิงที่วิชญ์เคยควง ถึงแม้เขาจะเคยเห็นหน้าเพียงแวบ ๆในงานจัดสวนเมื่อครึ่งปีก่อนก็ตาม ก็ยังห่างไกลจากสาว ๆเหล่านั้นอยู่ดี

“บ้า! ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เพียงแค่สนใจเท่านั้น” รอยยิ้มที่ระบายเต็มใบหน้า กับแววตาพราวระยับ ย่อมแสดงได้ว่า รวิชญ์ไม่ได้พูดเล่นอย่างที่บอกเขาเสียแล้ว

“ชักหน้าอยากรู้จักซะแล้วซิ ผู้หญิงที่ทำให้เพลย์บอยอย่างนายสนใจได้นี่ เป็นคนยังไง เย็นนี้นายนัดคุณต่ายของนายมาทานข้าวด้วยซะหน่อยเป็นไง”

“ไม่ใช่คุณต่ายของชั้น ว้า! นายนี่ เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าแล้วเอาไปพูดกัน ชั้นจะเสียคน” เสียงบอกแทบเป็นกระซิบ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังยิ้มรับอย่างพออกพอใจ

“เอาเถอะ จะยังไงก็ช่าง อย่าลืมแล้วกัน ชั้นไปนอนล่ะ ง่วงนอนชะมัด” ว่าแล้วไพธนก็ลุกขึ้นเดินออกไป ปล่อยให้เพื่อนสมัยเรียนนั่งวาดอนาคตไปคนเดียว




รวิชญ์เดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยไปตามถนนคอนกรีต ผ่านคนงานหลายคนที่กระจายกันทำงานอยู่โดยรอบ จนกระทั่งเท้าทั้งคู่มาหยุดอยู่เยื้องด้านหลังของชงโคสาวน้อยผู้รับเหมาให้มาจัดสวนที่รีสอร์ทแห่งนี้ เพียงไม่กี่วันก็เห็นความคืบหน้าของการทำงาน ที่ค่อนข้างใส่ใจและพิถีพิถันของหญิงสาว ที่จะดูแคลนกันมิได้ ไม่ใช่เธอจะยืนสั่งงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เธอลงมือทำด้วยตนเอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คนงานจะเกรงใจ และให้ความเคารพในฐานะหัวหน้าไม่ใช่เพียงแค่ลูกสาวของนายจ้างเท่านั้น

แสงแดดที่แรงกล้าขึ้นเป็นลำดับ ดูเหมือนจะไม่ทำให้คนงานเหล่านั้นระย่อต่อความร้อนเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพราะหญิงสาวที่ยืนหันหลังให้เขาในขณะนี้

“แดดร้อนเอาการอยู่นะครับ”เสียงทักทายอย่างกันเอง ผสมกับเสียงหอบนิด ๆ ทำให้หญิงสาวหันมามอง พร้อมกับรอยยิ้มสดใสที่ประดับอยู่บนริมฝีปากสีชมพู ทำให้รวิชญ์คิดว่ามิเสียแรงที่เดินมาไกล

“นิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ คุณวิชญ์ไม่ได้เอารถมาเหรอคะ ต่ายไม่เห็นได้ยินเสียงเลย” ชงโคเหลียวมองรอบกาย แล้วค่อยหันมาเผชิญหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง

“เปล่าครับ ผมเห็นอยู่ว่าแค่นี้เอง ก็เลยเดินเล่นมาเรื่อย ๆ พอเดิมมาถึง จึงได้รู้ว่าตัวเองนั้นอายุมากขึ้น เดินแค่นี้ก็เหนื่อนเสียแล้ว”

“ถ้าคุณวิชญ์แก่ ผู้ชายหลาย ๆคนที่ต่ายเคยเจอ ต้องเรียกว่ายิ่งกว่าชรากันหมดแล้วมั้งคะ”

ผิวที่ค่อนข้างขาว ริมฝีปากแดงสดมีรอยยิ้มประดับอยู่เป็นนิตย์ จนทำให้ไม่น่าเข้าใจว่า เคยมีความทุกข์เข้ามาแผ้วพานในชีวิตบ้างหรือเปล่า นัตน์ตาที่ดำสนิทพราวระดับคล้ายมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“แหม ชมเสียขนาดนี้ ผมเขินแย่ซิครับ”

นัยน์ตาที่มองชงโคเปิดเผย ใบหน้าแดงนิด ๆไม่รู้ว่าเพราะความเขินจริง ๆ หรือว่าเกิดจากความร้อนที่แผดกล้าอยู่ในขนาดนี้ก็ไม่ทราบ ทำให้หญิงสาวถึงกับเบือนหน้าไปกลั้นหัวเราะ

“มีอะไรตลกครับครับ” รวิชญ์หน้าเด๋อ ยกมือขึ้นลูบผม ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเห็นคู่สนทนากลั้นหัวเราะจนหน้าแดง

“ถ้าต่ายพูดอะไรออกไป คุณวิชญ์อย่าโกรธต่ายนะคะ”

“เชิญเลยครับ”

“คุณคงทำผู้หญิงอกหักมาหลายคนแล้วซินะคะ” หญิงสาวบอกอกไปตามความรู้สึก ที่กล้าพูดแบบนี้เพราะเห็นว่ารวิชญ์เป็นคนเปิดเผย และชอบพูดอะไรตรงไปตรงมา จึงทำให้หล่อนกล้าที่จะถามออกไป

“เออ! อะไรทำให้คุณต่ายเห็นผมเป็นอย่างนั้นครับ”เสียงพูดตะกุกตะกัก ไม่เข้าใจคำถาม

เสียงหัวเราะกังวานใส ที่เจ้าของไม่ยอมกลั้นอีกต่อไป ทำให้คนงานหลายคนหันมามอง รวมทั้งหัวหน้าคนงาน ที่ดูเหมือนจะไม่สนใจการมาของนายจ้างตั้งแต่แรก ก็พลอยเงยหน้าขึ้นมามองด้วย

“แหม นี่ถ้าต่ายมีกระจกติดตัวมาด้วย จะเอาให้คุณวิชญ์ส่องหน้าตัวเอง ว่าใบหน้าเป็นยังไงตอนนี้”

“คุณต่ายทำให้ผมงงเสียแล้ว”

“ก็คุณนะซิค่ะ อย่างกับหนุ่มน้อยที่ตัดสินใจสารภาพรัก” พอชงโชพูดจบริ้วสีชมพูเข้มแล่นไปตลอดใบหูของอีกฝ่าย

“คุณต่ายทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นไอ้ไก่อ่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยนะครับ” คนพูดเขินจนหน้าแดงกล่ำ

“ใครว่าล่ะค่ะ น่ารักดี ต่ายไม่เคยเห็นผู้ชายเขินสักที นี่ก็เพิ่งจะรู้ว่าไม่ต่างจาก
ผู้หญิงสักเท่าไหร่”

“จริงเหรอครับ ถ้าผมจะทำให้คุณต่ายเห็นแบบนี้บ่อย ๆ จะได้ไหม? คุณต่ายจะได้เอ็นดูผมตลอดไป”

รวิชญ์เกี้ยวเอาดื้อ ๆ แต่..เขาไม่เห็นปฏิกิริยาอะไรจากเธอเลย นอกจากนัยน์ตาที่ขยายกว้างขึ้น กับรอยยิ้มเยือกเย็นอย่างรู้ทัน จนทำให้รวิชญ์รู้สึกเย็บวาบเข้าไปถึงกระดูกไขสันหลัง เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกอึดอัดกับนัยน์ตาคมกริบที่มองอย่างกับอ่านทะลุเข้าไปถึงหัวใจเขาเช่นนั้นเลย

“คุณต่ายคงมองว่าผมเป็นคนเจ้าชู้ล่ะซิครับ ที่เห็นผู้หญิงแล้วเป็นต้องขายขนมจีบให้ร่ำไป”

“เปล่าหรอกค่ะ”รอยยิ้มเยือกเย็น แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน”มันเป็นนิสัยของคนเจ้าสำราญนี่ค่ะ แต่..ต่ายหวังว่าคุณวิชญ์คงไม่ทำอย่างนั้นกับต่ายใช่ไหมคะ”

“ครับ ผมยังไม่อยากให้คุณต่ายเหม็นขี้หน้าผมเร็วนัก”

รวิชญ์เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การถูกปฏิเสธอย่างสุขภาพเป็นอย่างไร ทำให้เขาต้องรีบขอตัวกลับ จนเกือบลืมอีกเรื่องที่อุตส่าห์เดินมาไกล นอกจากจะหาเรื่องมาชวนหญิงสาวคุยเท่านั้น

“คุณต่ายครับเย็นนี้ว่างหรือเปล่า” รวิชญ์พูดอึกอักเล็กน้อย กลัวว่าหญิงสาวจะเข้าใจเป็นอย่างอื่น เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ตอบ ได้แต่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม จึงได้พูดต่อ “พอดีว่านายไพธนคนที่จ้างคุณต่ายกลับมาจากกรุงเทพแล้วครับ ผมก็เลยจะแนะนำให้คุณต่ายรู้จักเสียเลย”

“ว่างค่ะ”

เมื่อตกลงนัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับที่รวิชญ์เดินจากไป ชงโคจึงหันมาสนใจงานของตัวเองต่อ กลับได้พบกับสายตาคู่หนึ่งที่ทอดมองอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ชงโคจะอ่านได้จากสายตาเข้มคู่นั้น นอกจากความเฉยเมยอยู่เป็นนิตย์ จนหล่อนต้องเป็นฝ่ายเมินหลบไปเสียเอง






°o.O อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ค่ะ O.o°

(¯` ตอนที่ ๒´¯)
(¯` ตอนที่ ๑´¯)



Published on : 6 กรกฎาคม 2552 22:05:55 น.
-แก้ไขคำผิด
-แก้ไขบีจี









Create Date : 06 กรกฎาคม 2552
Last Update : 5 ตุลาคม 2552 21:37:28 น.
Counter : 624 Pageviews.

22 comments
  
คุณฝน
นาห์มาอ่านแล้วค่า
โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 6 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:24:58 น.
  
หน้านี้สวยจังเลยฝน... เค้าถกใจภาพพื้นบล็อก
ของฝนมาก ๆ ..ยิ้มหวาน..

ไม่ใช่ฝนคนเดียวที่ทำงาน
ในวันนี้ เค้าเองก็ตัดสินใจ
ไม่หยุดพักนะ ..ห่วงเงิน..
555+

พอดี 4-6 ก.ค ที่เชียงใหม่
มีงาน..สู่ข้าว เอาขวัญ..ให้
แพนด้าน้อย นักท่องเที่ยว
มากันแยะ เป็นโอกาสดีน่ะ

เหนื่อยก็เหนื่อยนะ แต่เค้า
รอให้พ้นช่วงวันหยุดยาว
ของชาวประชา แล้วค่อย
พักก็ได้... เนอะ

อ้อ! ดีนะที่เค้ายังไม่ได้ส่ง
ของไปให้ฝน... เค้าเพิ่ง
ได้น้ำหอมแบบโลชั่นของ
Elizabeth Arden (ของ
แท้) จาก USA มาน่ะ...
จะได้ส่งให้ฝนรวดเดียว
เลย... ไม่รู้จะถูกใจรึเปล่า
เห็นบอกว่า เจ้าขวดโตที่
ส่งให้ปีที่แล้วยังใช้ไม่หมด
ซะที เฮ้อ... กลุ้มใจกับ
ความงกของเพื่อนเรา
อิ ๆ ๆ

เปิดบล็อกหน้าใหม่ ก็โดน
เค้าคุยซะเต็มพื้นที่ ฮูเล่...
555+
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 6 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:26:57 น.
  
แง ๆ จัดคอมเม้นต์ไม่สวย
เลย... พิมพ์ตกพิพม์หล่น
อีกต่างหาก...

"หน้านี้สวยจังเลยฝน...
เค้าถูกใจภาพพื้นบล็อก
ของฝนมาก ๆ ..ยิ้มหวาน.."
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 6 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:28:59 น.
  
คุณนาห์
มาเร็วไปเร็วจังค่ะ รู้สึกว่าเวลาฝนอัพนิยาย
คุณนาห์จะมาจองแถวแรกๆเกือบจะทุกครั้งเลยนะคะ






อัล
ถึงจะพิมพ์ตกพิมพ์หล่นบ้าง เค้าก็อ่านรู้เรื่องนะ
แต่ถ้า..อยากจะแก้ไขก็ไม่เป็นไร เม้นจะ
ได้ยาว ๆ

เค้าว่าตัวคงจะไม่ได้หยุดยาว ๆกะเค้าหร๊อก
ผู้หญิงทำงานอย่างตัว คงมาอยู่เฉย ๆได้ไม่นาน
เดี๋ยวก็ห่วงงานเท่านั้น

สำหรับของขวัญ เค้าว่าถ้าตัวส่งมาช้าอีกหน่อย
ของขวัญคงงอกได้อีกหลายชิ้น ไงก็หาค่าส่ง
เพิ่มไว้ด้วยหล่ะ..555+

เค้าว่าคงใช้ได้อีกหลายปีเลยหล่ะ ของเก่า
ก็ยังหลืออีกเยอะ รวมกับของใหม่เข้าไปด้วย
อาจจะใช้ได้อีกหลายปี ดีเหมือนกัน ประหยัด
ค่าน้ำหอมได้อีกเยอะ..เอิ๊กๆๆๆ
โดย: ไลเดเลีย วันที่: 7 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:20:56 น.
  
คืนนี้เค้าออกจากร้านดึกก็เลยไม่ทันไปเวียนเทียน...
แต่อ่านจากกำหนดการของวัด พรุ่งนี้ คือ วันเข้าพรรษา
ก็จะมีการเวียนเทียนอีก... แต่เค้าก็ไม่แน่ใจ จะได้ไป
รึเปล่า...

ตัวเองว่าง ๆ น่าจะไปซะหน่อย ปีนึงมีไม่กี่หนเอง
ถ้าตัวเองไม่ค่อยมีศรัทธา ก็ถือว่า ไปดูชาวไทยพุทธ
สืบทอดวัฒนธรรมก็ได้นี่ ไฟเยอะ ๆ ไง ฝรั่งเองไม่
ได้นับถือพุทธ ยังหาเรื่องไปถ่ายรูปพิธีเวียนเทียน
เลย...



ส่วนโคลงน่ะ...
ปกติเค้าจะเขียนแบบเร็ว ๆ อย่างที่เคยเขียนตอน
พวกเราคุยเอ็มกัน แต่เดี๋ยวนี้เค้ายุ่งอย่างที่ฝนรู้
เลยใช้เวลาค่อนข้างนาน แค่ 4 บท (16 บรรทัด)...
เค้าเขียนแบบข้ามคืนเลย คือ ช่วง เที่ยงคืนถึง
ตีหนึ่งของเมื่อวาน แล้วมาปรับปรุงตอนเช้าวันนี้

แต่ไม่ค่อยได้เขียน ก็ฝืด ๆ เนอะ

เค้าก็ถือเอาเวลาเขียนเป็นการพักผ่อนไปในตัว
ฝนเองก็พักผ่อนด้วยนิยายนี่ จริงปะ? ..ยิ้ม..


ฝันดีนะฝน
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 7 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:57:50 น.
  
ดีใจจังค่ะที่ได้อ่านตอน 3 แล้ว
หลังจากแอบรออ่านอยู่เงียบๆ พักใหญ่

คุณฝนใช้ภาษาเขียนบรรยายได้ดีจังค่ะ
ภาพ และ อารมณ์ไหลลื่น...
จนรู้สึกว่า..."อ้าวจบตอนแล้วเหรอ..."

ถ้ามีพร็อตเรื่องในใจแล้ว
ก็เขียนต่ออีกเร็วๆ นะคะ
นางรออ่านค่ะ

................................
พอดีเจอคำที่คิดว่าน่าจะผิดไปค่ะ



ทำไหม? ที่นี่ไม่มีอะไรดึงดูดใจนายบ้างรึไง?” คำถามสัพยอก ล้อเลียนเรียกรอยยิ้มเก้อ ๆอีกฝ่ายได้ ด้วยความที่รวิชญ์เป็นคนเจ้าสำราญ จึงชอบอยู่ไม่เป็นที่และเบื่ออะไรง่าย ๆ
โดย: เพรง.พเยีย วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:08:32 น.
  
อัล..

ตัวเองอยู่ประจำร้านเลยรึเปล่า หมายถึงถ้าตัวไม่ได้ออกไปไหน
ดูจากสิ้นค้า(เห็นจากไหนไม่รู้ล่ะ) ร้านคงไม่เล็กมั้งเนาะ ดูแลเอง
ก็คงจะนักเอาการพอสมควร ไม่งั้นคงไม่กลับบ้านดึกเกือบทุกวัน


พูดกันถึงเรื่องศรัทธา เค้าก็ยังมีศรัทธาต่อศาสนาอยู่เต็มเปี่ยมนะ
ถ้าจะขาดก็ขาดปฏิบัติเท่านั้นแหละ แต่..คนที่สืบทอดศาสนานี่ซิ
ทำให้เค้าอยากไปวัดลดน้อยลงทุกที(หมายถึงพระสงฆ์บางรูป)
ยิ่งช่วงที่ผ่านมาข่าวต่างๆออกมาในเชิงลบ และเป็นพระผู้ใหญ่
ระดับเจ้าอาวาสกันทั้งนั้น ตัวคิดดูซิ ฆงส์เสื่อมพลอยทำให้สาสนา
มัวหมองลงไปด้วย หรือใจเค้ามัวหมองไปเองก็ไม่รู้นะ ..

เค้าตั้งใจว่า ถ้าเรามัวแต่ วิตกจริตกับข่าวที่ออกมา ก็จะรู้สึกใน
ทางลบต่อบุคคลเหล่านั้น เอาเถอะ ..ในเมื่อเขาสามารถอรรถ-
ธิบายธรรมได้ก็ถือซะว่า เราน้อมใจไหว้พระธรรมก็แล้วกัน จะได้
ตัดปัญหาไป ไม่งั้นมือแข็ง ไม่อยากยกมือไหว้ซะงั้น


การเขียนนิยายของเค้า คงไม่ใช่เป็นการพักผ่อนล่ะมั้ง เป็นงาน
ช้างเลยทีเดียว กว่าจะได้แต่ละตอน ลบแล้วลบอีก นี่ถ้าเขียนใส่
กระดาษคงเปลืองกระดาษแย่ แต่ก็ถือได้ว่าช่วยให้สมองไม่ว่างดี
ไม่งั้นเปลืองเงิน เทียวไปซื้อ ไม่ก็เช่าหนังสือมาอ่าน








ปลื้ม ๆค่ะคุณนาง
คุณนางชมฝนซะตัวจะลอยอยู่แล้ว ดึงๆไว้มั่งนะคะ
เดี๋ยวลอยไปไกล แล้วฝนหาทางกลับไม่เจอ ..เอิ๊กๆๆ

ฝนพยายามนึกถึงสถานที่จะเขียน ให้เป็นภาพอยู่ในหัว
ว่าจะให้เป็นประมาณไหน แต่ก็ยังยากดูดีสำหรับฝน
เพราะคำที่จะนำมาใช้ มีอยู่อย่างกำจัดเหลือเกิน บางครั้ง
ก็นึกไม่ออก เลยจำเป็นต้องใช้คำเดิม ๆ จนดูไม่หลากหลาย
น่าเบื่อไปเสียอีก บางทีก็จำคำหรืออารมณ์ต่าง ๆ มาจาก
หนังสือที่อ่าน ถ้าช่วงไหน มีคำเยอะ ๆอยู่ในหัวก็เขียนได้เร็วละค่ะ

ตอนต่อไป ฝนกำลังเขียนอยู่ค่ะ เป็นอารมณ์ต่อเนื่อง จึงทำให้
เขียนได้เร็ว คาดว่าอีกไม่นาน(เกินเดือน)ก็จะคลอดออกให้อ่านกัน

พอฝนไปอ่านอีกรอบ เจอคำผิดอีกหลายจุดเลยค่ะ ตอนแรกนึกว่า
ตรวจดีแล้วเชียว ยังพลาดอีกจนได้ ขอบคุณนะคะที่ชี้ให้เห็นความ
ผิดพลาด...ยิ้มๆๆๆ
โดย: ไลเดเลีย วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:07:57 น.
  
ว่าไปเรื่อย ดูจากสินค้าอะไร...
ตัวเองยังไม่เคยรู้เลยนะว่า เค้า
ขายอะไรบ้างเนี่ย... อย่าบอก
เน้อ..นั่งฌาณ..เอาเองน่ะ 555+

แต่กับเรื่องร้าน จริง ๆ แล้ว
เค้ากำลังเหนื่อยใจมาก ๆ...
นิสัยอย่างเค้าเนี่ย..ขี้บ่น..ใช่ปะ
เค้าก็จะ บ่น ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ ล่ะ
แต่คนรอบข้างจะมองว่า เค้าท้อ
ซะแล้ว อะไรทำนองนี้ล่ะ เหอ ๆ ๆ
ทั้งที่ความจริง เค้ายังไม่ท้อแท้
อะไรเลย ก็แปลกดีนะ...

อาจจะเป็นด้วยว่า คนอื่นเมื่อ
เจอยอดขายซบเซา ก็ต้อง
รู้สึกแย่ หดหู่ อะไรแบบนั้น
แต่สำหรับเค้าเอง เค้ามองภาพ
รวมแบบเป็นช่วงยาว เลยยังมี
เวลาให้รออัพยอดขายอีกสักพัก
ก่อนจะประเมินสรุปถานการณ์โดย
ภาพรวม...

แต่จะเอาจุดนี้ไปอธิบายให้ใคร ๆ
ฟังก็คงไม่เข้าใจ เลยปล่อยให้
เลยตามเลย ซะงั้น...

การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง
อยู่แล้วนี่เนอะ จะไปคาดหวังให้
ทุกอย่างราบรื่น สำเร็จลุล่วงแบบ
ถนนโรยด้วยกลีบกุหลาบได้ไง...

ไม่รู้นึกยังไงเล่าให้ฝนฟัง แต่ก็
อยากเล่า เอิ๊ก ๆ ๆ

เอ้อ... ตัวเองพิมพ์คุยบนบล็อกได้
ไม่ต้องกลัวเค้ายุ่งหรอก... ยังไง
ถ้าเค้าว่าง เค้าก็ตอบฝนอยู่แล้ว

ถ้าไม่มีอะไรคุย ก็อัพเดตกิจวัตร
ประจำวันก็ได้นี่ ประมาณว่า วันนี้
ไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่
เจอใครเป็นพิเศษ หรือ ไม่เป็น
พิเศษบ้าง ฯลฯ น่ะ... เวลาเค้า
เปิดเข้ามาดูบล็อกจะได้ไม่เหงาไง

แต่ถ้าฝนยุ่ง ๆ ก็ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยว
ตวเหนื่อยเกินจะไม่สบาย...

คืนนี้ฝันดีนะ ..ยิ้มหวาน..
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:54:07 น.
  
ค่ำค่ำใจพร่ำเพ้อ
ทุกคราเจอพี่สดใส
ยามห่างพี่ห่วงใย
แม้อยู่ไกลใคร่ครวญหา...

จึ่งขอเว้าวอนดาว
ที่พร่างพราวอยู่บนฟ้า
ช่วยดูและรักษา
แทนพี่ยายามห่างไกล...

พร้อมแนบกลอนบทเก่า
ดูเศร้าเศร้าเฝ้าหวั่นไหว
เมื่อห่างเธอล้างไกล
พี่ร่ำไร"คิดถึงเธอ"....


หวาดดีคร้าบ หญิงไล
เป็นไงบ้างน๊า สบายดีป่าวจร้า

ไร้คลื่นแวะมาเยี่ยม น๊า คิคิ ฝันดีคร้าบ
โดย: เสียงเปียโนเหงาใต้เงาเทียน (ทะเลที่ไร้คลื่น ) วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:30:37 น.
  
อัล..

นั่นซิ เห็นตอนไหนไม่รู้ สงสัยคงจะเห็นในฝัน
ยิ่งเป็นคนแก่ฝันเสียด้วย..5555+

ตัวเล่าระบายให้เค้าฟังบ้างก็ได้ ถ้าเรื่องไหน
เป็นความลับก็ไม่ต้องเล่า เค้ามันพวก
คำจะสั้นอยู่แล้ว เล่าเดี๋ยวก็ลืม ไม่รู้เป็นสิ่ง
ดีหรือไม่ดี เพราะเรื่องไหนที่บอกว่าเป็น
ความลับนี่ จำดี ๆ...555+

ใช่! การลงทุ่นคือความเสี่ยง แต่ต้องขึ้นอยู่กับ
กะตังค์ในกระเป๋าด้วยนะ ถ้าหากมันไม่เข้าเนื้อ
จนเกินไปนักก็น่าเลี่ยงไม่ใช่น้อย

อย่างที่ตัวเองคิดนะแหละ เค้าเห็นด้วยนะ
การค้าขายก็ต้องหวังผลในระยะยาว อย่าง
ตัวเองว่านั่นแหละ ร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ อาจจะ
ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก คงจะต้องใช้เวลา
ในการแนะนำตัวเองให้ลูกค้าได้รู้จักบ้าง ซึ่ง
ก็ต้องเสี่ยงกับการขาดทุ่นที่ยังประเมินไม่ได้
จะให้เห็นกำไลชัด ๆเลยมันคงจะยากนิดนึง

แต่สินค้าตัวเองเป็นแบบไม่เน่าไม่เสียนี่นะ
เก็บไว้ได้นาน ถ้าขายได้ละก็ กำไลไหลมา
เทมา นับเงินกันไม่หวาดไม่ไหวกันทีเดียว

จะให้เค้าเล่าชีวิตประจำวันให้ฟัง(อ่าน)เหรอ
มันคงจะซ้ำ ๆกันทุกวันแหละ ตัวคงเบื่อแย่
เพราะมันไม่มีอะไรน่าสนใจเลย



เค้าจะยุ่งเฉพาะในเวลางานเท่านั้นแหละ
หกโมงเย็นเป็นต้นไปเป็นเวลาส่วนตัว
ทำโน้นทำนี่ไปตามเรื่อง อย่างที่ตัวรู้แหละ
โดย: ไลเดเลีย วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:49:44 น.
  
คุณไร้คลื่น..

ค่ำ ค่ำใจรอนรอน
ก่อนเข้านอนคำนึงหา
แสนห่วงเจ้าพี่ยา
ไกลสายตาเป็นอย่างไร

วอนจันทร์ฝากลมโบก
พัดพาโศกให้จางไป
ระยะทางที่ห่างไกล
ความห่วงใยจังไม่จาง

หายไปเสียนานเลยนะคะ
ดีที่ยังจำยังทางมาบ้านหญิงไลถูก
คุณไร้คลื่นสบายดีนะคะ
โดย: ไลเดเลีย วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:22:25 น.
  
หญิงไล

ไร้คลื่น สบายดีคร้าบ
แหม จำได้สิคร้าบ

ส่วนเรื่องงานพานพบประสบตา
ไร้ปัญหามาเกี่ยวให้เหี่ยวหมอง
ส่วนเรื่องรักรักนี้ที่ครอบครอง
ก็ยังพร่องมองอยู่ไม่รู้เลย...

คงต้องเป็นทะเลที่ไร้คลื่น
อยู่ทุกคืนขืนข่มระทมเผย
อยู่โดดเดี่ยวเดียวด่างเหมือนอย่างเคย
ละลิ่วเลยตามลมทับทมใจ.....

ประดุจดั่งเรือน้อยล่องลอยอยู่
ทิศทางสู่ฟากฝั่งที่คลั่งใคร้
มันช่างเลือนล่างห่างเว้งว้างไกล
ยังไร้ใครเมียงมองทั้งสองตา....

คงต้องล่องเรือน้อยลอยโดดเดี่ยว
ที่ทางเปลี่ยวเคว้งคว้างหว่างน่านฟ้า
ยามทุกตรมข่มอยู่กับน้ำตา
ฟากฝั่งฟ้าอื่นไกลยังไร้เธอ.....


โดย: เสียงเปียโนเหงาใต้เงาเทียน (ทะเลที่ไร้คลื่น ) วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:54:43 น.
  
"ใช่! การลงทุ่นคือความเสี่ยง แต่ต้องขึ้นอยู่กับ
กะตังค์ในกระเป๋าด้วยนะ ถ้าหากมันไม่เข้าเนื้อ
จนเกินไปนักก็น่าเลี่ยงไม่ใช่น้อย"

จะย้ำให้คิดมากทำไมเนี่ย เพื่อนเรา... โธ่

ตัวก็รู้ เค้ามันพวกบ้าระห่ำ ทำอะไร
เคยยั้งคิดซะที่ไหน แต่ลงตั้งใจจะทำแล้ว
ใครที่ไหนก็หยุดไม่ได้... นี่น่ะ ข้อเสีย
ของเค้าเลยล่ะ ใครพูดอะไรก็ไม่ค่อย
จะฟัง พอมีเรื่องก็ จุด จุด จุด เอิ๊ก ๆ ๆ

แต่เอาน่า ชีวิตไม่สิ้นต้องดิ้นต่อไป
ความหวังแม้น้อยนิด ก็ยังบ่งบอกว่า
อุโมงนี้ มีปลาย... จริงปะ?



ส่วนเรื่องที่ให้ฝนเขียนเล่า... แหม ๆ
จะอะไรกันล่ะ เล่าซ้ำ ก็เล่าได้เรื่อย ๆ
แต่เค้าค่อนข้างแน่ใจว่าจะมีข้อแตกต่าง
ในแต่ละวันแน่นอน... ยิ่งตั้งใจเขียนนิยาย
ยิ่งต้องเป็นคนช่างสังเกตใช่ป่าว? เค้าเชื่อ
ว่า ตัวเห็น ความแตกต่างในแต่ละวัน...
ยกตัวอย่างง่าย ๆ นะ หนังสือที่ตัวอ่านน่ะ
คงไม่ใช่เรื่องเดิมทุกวัน และถ้าเป็นเรื่อง
เดิม ก็จะต้องเป็นหน้าใหม่ชัวร์... ตัวคงไม่
อ่านหน้าเดิมซ้ำหันทุกวัน จริงไหม? แล้ว
ที่เค้าให้ตัวเล่า ก็แบบนี้แหละ เรื่องนี้
เรื่องนั้น แถมความเห็นส่วนตัวเข้าไปอีกหน่อย... โฮ้ย... รับรอง
มีเรื่องให้เล่า 10 หน้า A4 ก็ไม่จบ 555+

ลองดูหน่อยดิ ..ยิ้มหวาน..
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:06:26 น.
  
คุณไร้คลื่น..

มาเป็นกลอน แล้วหญิงไลจะไป
ไงล่ะเนี่ยเอาเป็นว่าคุยเป็นร้อยแก้ว
ดีว่า ไม่งั้นหญิงไลคงไม่ได้คุยล่ะ
วันนี้ คุณไร้คลื่นยังตามหานุชนารถ
ไม่เจออีกหรือคะ นานจริงเชียว
นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้วนะเนี่ย




อัล..

“จะย้ำให้คิดมากทำไมเนี่ย เพื่อนเรา... โธ่”

เฮอะๆๆ ไม่ได้ตั้งใจจะตอกย้ำ เห็นเงินลงทุน
ค่อนข้างสูง ก็เป็นห่วงอะนะ ระวังไว้หน่อยก็ดี

ก่อนถึงอุโมงค์จะต้องฝ่าความมืดไปไกลแค่
ไหนก็ไม่รู้ ปลายทางที่รออยู่ข้างหน้า ก็ไม่รู้
ว่ามีอะไรรออยู่บ้าง แต่..เพียงแค่มีแสงรอดผ่าน
เพียงเล็กน้อย ใยเราจะไม่ลองเสี่ยงดูเนาะ

เห็นเค้าเป็นคนขี้โม้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
ใครจะเขียนเข้าไปได้ตั้ง10หน้ากระดาษA4
นิยายเขียนเป็นเดือนยังไม่ถึง10หน้าเลย..555+
วันนี้เค้าไปตัดแว่นใหม่มา ค่าสายตา
เพิ่มขึ้นอีกเกือบร้อย มิน่าล่ะมองอะไร
ไม่ค่อยชัด กลายเป็นยัยแว่นเต็มตัวเลย
ถ้าวันไหนไม่มีแว่น สงสัยจะอยู่ลำบาก
โดย: ไลเดเลีย วันที่: 11 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:40:28 น.
  
สายตาสั้นเท่าไหร่แล้วอะฝน... เดาว่า
สั้นน้อยกว่าเค้าอยู่ดีแหละ เอิ๊ก ๆ ๆ

อ๋อ... ไข้หวัดใหญ่ 2009 น่ะ เค้าก็เสียว ๆ
อยู่นะ ยิ่งเพิ่งหายเจ็บไข้ด้วย... คราวนี้
บอก ฝนหลังจากหายป่วยแล้ว... ขี้เกียจ
ให้ฝนบอกว่า หยุดพักก่อนเหอะ หรือ
อย่าเพิ่งหักโหมงานเลย 555+

คนไม่อยากพักน่ะนะ ห่วงเงิน เอ๊ย!
ห่วงงาน ..ยิ้มกว้าง..



ฝน... รู้ได้ไงว่าเค้าลงทุนสูงแค่ไหนน่ะ
เค้าไม่เคยบอกตัวเลขฝนเลยนะ... ชัก
จะเสียวสันหลังแล้วสิ เป็นคนกันเองมา
แอบเล่นเน็ตรึเปล่ายะ ..ขนลุก..แล้ว

แต่ฝนก็เดาไม่ผิด เงินลงทุนค่อนข้าง
สูงสำหรับเค้าจริง ๆ แถมต้องเทเพิ่ม
ด้วยนี่สิ มึนตึ๊บเลย...

บางทีก่อนถึงปลายอุโมงค์อาจมีทาง
เล็ก ๆ ให้เลี้ยวไปเจออีกปลายที่มี
ความสว่างมากกว่าก็ได้...

เค้าได้ปรึกษากับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
(จริง ๆ ก็ปรึกษาตั้งแต่ก่อนลงทุน
ในกิจการที่กำลังทำอยู่แล้วล่ะ)
ได้รับคำแนะนำให้ดูตัวอย่างเพื่อน
ของท่านที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกัน
กับของเค้า แล้วลงทุนด้านอื่นเป็น
งานอดิเรก ปรากฏว่า งานอดิเรก
ให้ผลดีเกินคาด พาเอารวยในบัดดล
อ้อ! ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายหรือผิดศีล
ธรรมใด ๆ นะจ๊ะ อย่าเข้าใจผิด...
เค้าเลยให้ความสนใจเรื่องนี้อยู่ด้วย

อย่าถามล่ะว่า ทำไมเค้าถึงไม่ลงทุนใน
ส่วนงานอดิเรกนั่นก็พอ เพราะเค้ามี
คำตอบให้เลย... คือ ไม่มั่นคง ไงล่ะ
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 11 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:50:18 น.
  

อ้าว! แล้วกันซิ ป่วยมาหลายวันรึยังนี่
บ่นสักกระบุงโกยไม่ไหวซะดีไหม? เรา
รึก็เห็นมาบ้างไม่มาบ้าง ก็นึกว่างานยุ่ง ที่
ไหนได้ แม่นางป่วยไม่ยอมบอก..เฮ้อ

สั้นเกือบ400แล้วล่ะ และคงจะลดลง
เรื่อยๆมันไม่หยุดอยู่กับที่ซะที เปลือง
ค่าตัดแว่นจริงๆ


ดีที่ปลายอุโมงค์ยังมีทางออกหลายทาง
จะได้เลี้ยวไปอีกทางได้ หากทางที่มุ่งไป
เกิดไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด


โห้! แม่นางกะจะเป็นเศรษฐีนีจริง ๆรึนี่
งานหลัก ยังเข้าด้ายเข็มอยู่เลย มองหางาน
รองอีกแล้ว ก็น่าอยู่หรอกนะ ที่งานแบบนั้น
(รู้อีกแหละ ว่าเป็นงานอะไร) จะหวังผล
ในระยะยาวไม่ได้ ความเสี่ยงก็สูงด้วย
(เดาถูกรึเปล่านะ...555+)


เค้าอยู่ข้างหลังตัวแหละ เห็นปะ..หุหุ

เค้านี่แก่ฝันแล้ว ยังแก่เดาด้วย แต่ไม่เคย
เดาถูกเลยอะไรที่เกี่ยวกับอัลนะ ผิดตลอด
โดย: ไลเดเลีย วันที่: 11 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:20:45 น.
  
เข้ามาที่นี่ เลยได้รู้ว่าคุณอัลเพิ่งหายจากไม่สบาย
แล้วยังดักคอไม่ให้บ่นอีก

นางเลยได้แต่บ่นงึมงำในใจ
โดย: เพรง.พเยีย วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:24:56 น.
  


ฝนจ๋า...

มาหาฝนด้วยความคิดถึงนะคะ
อาทิตย์ที่แล้วไปทำบุญมาค่ะ
เลยหายไปอาทิตย์นึง ไม่ว่ากันนะคะ
เข้ามาบล็อก ก็มาหาอัล ฝน คุณนาง เสมอๆ น๊า
ช่วงนี้นกยุ่งอยู่กับงานและปลูกบ้านค่ะ
แต่ก็ยังคิดถึงเพื่อนๆ นะคะ
..ยิ้มหวานกว่าอัล อิอิ ใช่ป่าวคะ ฝน...

โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:10:10 น.
  
ง่ะ...
ทั้งแม่ฝน ทั้งคุณนาง เลยรวมกันบ่นในใจ


เค้าไม่สบายก็จริง แต่พักแค่พอประมาณ
แค่นั้นเอง ส่วนที่เห็นว่า มาบ้างไม่มาบ้าง
เป็นเพราะธุรกิจรัดตัวหรอกจ้ะ... ไม่ได้
เกี่ยวอะไรกับการป่วยของเค้าเลยสักน้อย
(เขียนไว้นี่เผื่อคุณนางอ่านด้วย 555+)


สายตาสั้นเกือบ 400 เอง... เด็ก ๆ น่า
เค้าสั้นกว่าฝนแยะ ตัวเองสบายใจได้เลย
อ้อ! แล้วไม่ต้องมาแข่งกันสั้นเพิ่มกะเค้า
ล่ะจ๊ะ เดี๋ยวตัวจะคลำหาแว่นไม่เจอซะ...


"ก็น่าอยู่หรอกนะ ที่งานแบบนั้น
(รู้อีกแหละ ว่าเป็นงานอะไร) จะหวังผล
ในระยะยาวไม่ได้ ความเสี่ยงก็สูงด้วย
(เดาถูกรึเปล่านะ...555+)"

เฮ้! ทำยังกะรู้ ว่าเป็นงานอะไร เอิ๊ก ๆ ๆ
สงสัยนั่ง..ฝันกลางวัน..เป็นงานหลัก...
แล้วก็รับจ๊อบ..หมอเดา..เป็นงานรองรึ
ไงยะ แม่ฝน...


ส่วนที่ว่า
" แต่ไม่เคย
เดาถูกเลยอะไรที่เกี่ยวกับอัลนะ ผิดตลอด"

เอ้า! ผิดตอนไหน? เมื่อไหร่? ช่วยเตือน
ความจำเค้าหน่อยสิ... ถ้าไม่ใช่ว่า เค้ามี
ปัญหาเรื่องความจำ ก็ น่าจะเป็นที่ฝนเอง
ไม่เคยบอกเค้าเลยว่า ตัวเองเดาอะไรเกี่ยว
กับเค้า... แล้วผิดแค่ไหน...


..ยิ้มเปรี้ยวหวาน..ย่ะ
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:45:27 น.
  
คนเหงา..คนเศร้า
อยากรู้จักเธอเหลือเกิน
อยากมีเธอไว้เป็นเพื่อน
อยากมีเธอไว้เมื่อยามเหงา
โดย: คนขี้เหงา IP: 124.120.85.170 วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:20:33 น.
  
คุณนาง..
เราก็ได้แต่บ่นในใจเนอะ ก็เจ้าตัวเล่นพูดดักคอไว้
เรายังจะพูดอะไรได้อีก สงสัยขึ้เกียจอ่านที่เราบ่น







นกจ๋า..
ฝนลืมไปค่ะ ว่าช่วงวันพระใหญ่ นกไปทำบุญ
และยุ่งอยู่กับการสร้างบ้านใหม่ด้วย







อัล..

แล้วไป นึกว่าไม่สบายจนมาเล่นไม่ไหว

ก็ไม่ได้กะจะแข่งเรื่องสายตานะ มันสั้นเอง
เดี๋ยวก็คงทันตัวแล้วล่ะ สงสัยอยู่นะ เป็นเพราะ
เค้าชอบนอนอ่านหนังสือรึเปล่า หรือว่าแสง
สว่างไม่พอ ถ้าเป็นเพราะสาเหตุนี้ล่ะก็ มันคง
จะสั้นลงเรื่อย ๆเป็นแน่

อ่ะ.. ก็งานที่รวยเร็ว แต่ไม่มั่นคง ความเสี่ยงสูงด้วย
เค้าก็เดาว่าตัวเล่นหวยดิ 555+ (เขียนเองขำเอง)
เห็นปะล่ะ เค้าเดาไม่เห็นถูกเลย

โห้…ตัวเดาเกือบถูกแน่ะ ไม่ใช่นั่งฝัน นอนฝันต่างหาก
ก็คนมันชอบนอนนี่เนอะ ก็ฝันไปเรื่อย แต่ตัวสงสัยปะ
ว่าทำไมเค้าถึงฝันเกี่ยวตัวบ่อยจัง…อิอิ


นั้นซิเนอะ ๆ เค้าเดาอะไรเกี่ยวกับตัว แล้วเดาผิดหว่า
เท่าที่จำได้ ก็มีแต่นิสัยในช่วงแรกเท่านั้น ที่เคยเดาผิด
นอกจากนั้นมีอะไรที่เค้าเดาเกี่ยวกับตัวผิดปะ สงสัย
ความจำจะมีปัญหา ต้องกินปลาเยอะ ๆซะแล้ว


555+ ยิ้มเปรี้ยวหวานนี่มันยิ้มไงเหรอตัว
นึกไม่ออก ยิ้มให้ดูหน่อยสิ







คนขี้เหงา
ถ้าเหงาก็เข้ามาคุยกันนะคะ เจ้าของบล็อกยินดี
เป็นเพื่อนกับทุกคนที่เข้ามาคุยค่ะ…ยิ้มหวาน
โดย: ไลเดเลีย วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:31:21 น.
  
แหม เค้าก็แซวเล่นแค่นั้นแหละ
ใครจะไปกำหนดสายตาได้ล่ะ...
ร่างกายไม่เคยเป็นสิ่งถาวรเลยนี่
เซลล์ยัง ตาย ๆ เกิด ๆ ทุกวินาที
ประสาอะไรกะตาทั้งดวงเนอะ...

เออแฮะ... เล่นหวยท่าจะดี แต่ตัว
ต้องหาโปรแกรมคำนวณเลขหวย
ที่ให้โอกาสถูกเกิน 99% เน้อ ถ้า
โอกาสถูกต่ำกว่านี้ไม่เอา 555+

ว่าแต่... จริงเหรอที่ฝันเกี่ยวกะเค้า
บ่อย ๆ เห็นเป็น ผู้หญิงผิวสีงาช้าง
นุ่งผ้าจีบลายทอง ห่มสไบปัก... ใส่
ทับทรวงด้วย รึเปล่า? อืม ๆ ๆ ถ้า
ใช่ละก็ ยุ่งตายชัก เอิ๊ก ๆ ๆ

ยิ้มเปรี้ยวหวาน... ก็ลองเอามะนาว
บีบเข้าปากแล้วยิ้มดูดิ 555+
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:05:03 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไลเดเลีย
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



ร้อยรส...กลอนกานท์




O ฤดูลม...O

O ฉับพลันฝนก็เร้นเก็บเส้นสาย
ดวงวันฉายแสงช่วงโลมห้วงหน
ขับความชื้นลบเลือนรอยเปื้อนปน
ลบหมองหม่นแผ่นฟ้าจนพร่าเลือน

O คล้ายเมฆสีเทาทึมเมื่อครึ้มฝน
ถูกแสงสรวงเบื้องบนเข้าปนเปื้อน
ย้อมสีเทาเป็นขาว..เมื่อหนาวเยือน
มาตามเตือนเลื่อนยามให้งามตา

O ลมต้นหนาวเกรียวกรูเสียงวู่ไหว
โลมกิ่งใบไม้ตื่นทั้งผืนป่า
เขยื้อนขยับยวบไหวอยู่ไปมา
เหมือนบอกลาล่วงพ้น..คาบฝนปลาย

O ความเปลี่ยนแปลงผ่านสู่..ให้รู้เห็น
จากเมื่อสีเลื่อนเส้น..แล่นเป็นสาย
เสียงครืนครั่นก้องอยู่ไม่รู้วาย
แปลบปลาบว่ายเวียนย้ำโลมค่ำคืน

O จนฟ้าเปลี่ยนไม้ใบสั่นไหวระริก
น้ำก็พลิกแผ่นผิว..เป็นริ้วตื่น
จึงบัดนั้น..ภูมิทัศน์ก็หยัดยืน
ด้วยสายลมเย็นชื่น..เพื่อฟื้นตัว

O ถึงคราลมเย็นรื่น..วกคืนย้อน-
พรมสายอ่อนโอนระลอกเข้าหยอกยั่ว
ยอดหญ้าเรียวโค้งนั้น..ย่อมสั่นรัว
รอเกลือกกลั้วรับรู้..ฤดูลม

O จากยึดโยงรากแทงลงแหล่งดิน
ตราบฝนรินหยาดหลั่งลงสั่งสม
คลายความชุ่มความชื้นเหนือพื้น, พรม-
ภาวะอันอุดม..ห้อมห่มไพร

O เหยียดยอดเสียดขึ้นแทงรับแรงฝน
ที่คอยหล่นร่วงหยาด..ก่อนลาดไหล
ยืนต้นตั้งเป็นแถว..เป็นแนวไป
รอลมไหววาดวี..จักมีมา

O ไม่นานเลย..จากฝนฟ้าหม่นหลัว
จนยอดไม้ส่ายรัวอยู่ทั่วหน้า
โลกต่ำ-ใบขาบเขียวทุกเรียวคา-
จะออดอ้อนลมถา..อยู่คาพื้น

O ระบำแถวยอดหญ้าตรงหน้านั้น
จะค่อยสั่นใบพลิ้วเป็นริ้วตื่น
เขียวจากฝนฝากตอนจะย้อนคืน-
เป็นแพรผืนโยนระลอกยั่วหยอกลม

O ร้อนจะรุมสุมมาจากฟ้าไหน
เรียวจะไหววาดรับช่วยขับข่ม
รอค่ำคืนน้ำค้างมาพร่างพรม
เพื่อรับฉมชื่นมาลย์..กลิ่นซ่านซ้อน

O กาลย่อมผ่านโดยช่วงของดวงวัน
จากเม็ดพันธุ์แตกหน่อเป็นช่ออ่อน
จนกลีบใบเรียวแรกเริ่มแตก..ชอน-
ไชขึ้นอ้อนออดรู้ฤดูกาล

O ฝน..หนาว..ร้อนรุ่มถึงขุมขน
แล้วเวียนรอบให้ฝน..อีกฝนผ่าน
เพื่อหยัดกลีบเรียวช่อ..ขึ้นรอบาน
พร้อมเรณูหอมซ่านขึ้นหว่านรส

O ช้าเร็ว..มวลผึ้งภู่ย่อมรู้กลิ่น
เมื่อลมรินรวยเท..หันเหบท
คอยดูเถิดอีกประเดี๋ยว..การเลี้ยวลด-
เข้าจ่อจดหวานหอม..จะพร้อมแล้ว

O ฤดูลมพรมพรำ..อยู่ค่ำเช้า
อาจรุมเร้า, อ่อนโรย..จนโชยแผ่ว
รอกวัดใบหญ้าเต้นจนเป็นแนว
ซ้ำบทแล้วบทเล่า..แต่เช้าวัน

O เมื่อสายลมผ่านสู่..ฤดูล่อง
และฟ้าผ่องแผ้วงามสีครามนั่น
ก็เมื่อผิวต้องหนาวจนหนาวครัน
จึงบัดนั้นโลกกว้างย่อมวางรอ

O ให้ฟังเสียงลมเท..มาเห่กล่อม
สูดกลิ่นหอมเรณูที่ชูช่อ
ทั้งเสียงไม้เสียดยอด..แสงทอดทอ-
ลอดพุ่มกอก้านใบ..ที่ไหวรับ

O พอลมล่องลาดเทมาเห่กล่อม
โลกที่ล้อมรอบล้วนคล้ายครวญขับ-
ผ่านบทเพลงร่ายรำ..เพื่อสำทับ-
การเขยื้อนการขยับลำดับนั้น

O ก็ใช่- เป็นเพียงฤดูลม
หมุนรอบมาห้อมห่มให้ซมสั่น
เปลี่ยนผ่านสภาพธรรมเข้าค้ำยัน
ให้จิตใจทั้งนั้นรู้ผันแปร

O เมื่อเม็ดน้ำขาดช่วงจากห้วงหน
เมฆขาวบนฟ้าพลอย..เลื่อนลอยแผ่
เมื่อขาวครามกลมเกลียวให้เหลียวแล
ก็เห็นแต่ภาพงามของยามนี้

O โอบโลกให้งดงามอยู่ท่ามกลาง-
ดวงวันพร่างแสงพร้อยเรียงสร้อยสี
ลมหนาวร่ำสายผ่านลงคว้านตี
เมื่อปีกผีเสื้อลายบินบ่ายย้อน

O ช่องโสตก็จะแว่วเสียงแจ้วเจื้อย-
ของนก, ลมโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน
ผืนแผ่นน้ำครวญครางในต่างตอน
จักซ้ำซ้อนภาพลวงอีกดวงวัน

O ให้มองเห็นลอยดวงบนสรวงฟ้า
ทั้งแจ่มจ้ายิ่งล้ำกลางน้ำนั่น
เท็จ-จริง..ที่มองผ่านก็ปานกัน
ย่อมแปรผันโดยจิต..การคิดตรอง

O ก็ใช่ – ที่เป็นเพียงธรรมชาติ
ทั้งดวงวันโอภาสคอยสาดส่อง
หรือคลื่นน้ำไหลลาดลงฟาดฟอง
และปีกผีเสื้อล่องบนท้องฟ้า

O เห็นไหมเล่ากลีบผการะย้าย้อย
ทุกช่อที่เคยช้อยอยู่คอยท่า
รอฝน..ต้องฝน..หมดฝนพา-
กันอ่อนโรยอ่อนล้า..ซบคาพื้น

O ฤๅ - อาจรู้ลูบโลมด้วยลมหนาว
หรือแสงงามวับวาวจากดาวดื่น
ครั้นสิ้นรอบลมร่ำกลางค่ำคืน
ฤๅ – อาจรู้ฉ่ำชื้นของพื้นดิน

O เพียงกาลผ่านเวียนแล้วเปลี่ยนช่วง
งามทั้งปวงถ้วนบทก็หมดสิ้น
ปีกลวดลายลมโชยเคยโบยบิน
อาจลาถิ่นไพรเถื่อนลับเลือนแล้ว

O ที่ไหนเล่าโลกกว้างและทางแคบ
เพียงหนีบแนบกลีบใบที่ไหวแผ่ว
ที่ไหนเล่าดีร้ายที่ปลายแนว-
ของเทือกแถวดอกมาลย์หอมหวานนั้น

O ก็นั่นแหละรูปธรรมในธรรมชาติ
ลมไหววาดแสงฉายน้ำพรายสั่น
ปีกลวดลายบินหยุด..ดอมบุษบัน
เกสรกลั่นหวานรส..อาจหมดฤๅ

O หากอีกสภาพธรรมในธรรมชาติ
เมื่อลมลาดล่องอยู่อาจรู้หรือ-
ว่าร้อน..ฝน..จนหนาว..อีกหนาวคือ-
การยึดถือตีความเอาตามใจ

O ฤดูลม-ยอดไม้ส่ายไหวอยู่
ปีกลวดลายหรุบชูก่อนลู่ไหล-
ลอดกลีบดอกนุ่มบางแทรกร่างไป
หวานเยี่ยงไรเล่าหนอ..จึ่งพอเพียง ?

O ฤดูลม..หวนระลอก, ดวงดอกไม้-
ก็หอมให้แถวถิ่นรู้กลิ่น, เสียง-
นกไพรเถื่อนก้องกรู..คล้ายอยู่เคียง-
ศัพท์สำเนียงก้องรัว..บางหัวใจ !



จากบล็อกพี่ สดายุ ค่ะ

Group Blog
  •  
  •   
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
กรกฏาคม 2552

 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31