ครื่องดื่ม..ลดหน้าท้อง
ในเมื่อมีอาหารหลากหลายชนิดที่ลดความอ้วน มันก็ต้องมีเครื่องดื่มคู่กัน จะไปดื่มน้ำอะไรที่มันหวานๆ มันๆ ก็คงไม่ใช่ มาดูเครื่องดื่มที่ลดพุงกันดีกว่า
1. ชามินต์ ใส่น้ำแข็ง รสเย็นของมิ้นต์จะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า มินต์มีส่วนช่วยย่อยสลายไขมัน แถมลดอาการท้องอืดได้ด้วย
2. ชาเขียว นอกจากลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งและโรคหัวใจ ชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสุดยอดตัวหนึ่ง ซึ่งช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้อง ถ้าคุณจิบชาเขียวก่อนออกกำลัง มันจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญในระหว่างออกกำลังกายด้วย
3. น้ำเปล่าเสริมรส เคยได้ยินไหมคะว่าจะลดน้ำหนักต้องดื่มน้ำมากๆ เพราะจะช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยให้รู้สึกอิ่มทำให้กินน้อยลง
4. เฟลปเป้สับปะรด ในสับปะรดมีสารซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน ทำให้การย่อยอาหารง่ายขึ้น ช่วยลดอาการท้องอืด นอกจากนี้ การใส่น้ำมันเมล็ดเฟล็กซ์ ซึ่งมีไขมันโมเลกุลเดี่ยวไม่อิ่มตัวก็จะช่วยให้หน้าท้องแบนราบได้แบบไม่ต้องเหนื่อยซิทอัพ
5. สมูธตี้แตงโม แก้วนี้ช่วยให้เราสดชื่นซาบซ่าได้เป็นอย่างดี แก้วหนึ่งมีแคลอรี่ต่ำเพียง 65 แคลอรี่ แถมยังมีสารอาหารที่ช่วยต้านมะเร็งรวมถึงกรดอะมิโน ที่ชี้ว่ามันช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อจึงช่วยให้หน้าท้องของคุณแฟบลงนั่นเอง
6. ดาร์กช็อกโกแลตเชค ฟังดูขัดๆ ไช่ไหมคะ แต่ดาร์กช็อกโกแลตช่วยให้คุณผอมได้ด้วยการลดอาการอยากอาหารชนิดอื่น แต่จำไว้นะว่าแก้วหนึ่งมีถึง 400 แคลอรี่ จึงเหมาะจะเป็นอาหารเช้ามากกว่าของว่าง ดื่มเล่นๆ แต่พุงจะมาด้วยแบบไม่ขำนะคะ
จะดื่มเครื่องดื่มลดหน้าท้องอย่างเดียว คงไม่เพอร์เฟ็คเท่ากับต้องออกกำลังควบคู่ไปด้วย
ที่มา...Spicy
หลัก 7 ประการ กินให้ผอม
สาว ๆ ที่อยากหุ่นดีมักจะมีความเชื่ออย่างฝังหัวฝังใจว่า ถ้าจะลดน้ำหนักต้องลดการกินลงหรือว่าต้องอดอาหารได้ยิ่งดี เป็นความเชื่อหรือทฤษฏีที่ผิด จะได้ผลในระยะแรก แต่คนนั้นจะกลับมาอ้วนอีก อย่างหนีไม่พ้น
การควบคุมอาหารไม่เหมือนกับการอดอาหาร การเลือกอาหารที่กินอย่างสม่ำเสมอเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในระยะยาวโดยเฉพาะการควบคุมน้ำหนัก
มีข้อควรกระทำอยู่ 7 ประการในการกินอาหารให้ร่างกายดูหุ่นดี
1. ลดคาร์โบไฮเดรต
ให้ลดไม่ได้ให้อด อย่าสับสนกัน การลดแป้งลงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก แป้งที่เรากินเข้าไปเกินหรือมากเกินความจำเป็น ร่างกายเราจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลทำให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินออกมามาเพื่อเอาน้ำตาลในเลือดเก็บเข้าไปสู่เซลล์ซึ่งจะกลายเป็นไขมันสะสมเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น แต่ก็ไม่ได้ใช้มีแต่เกินไปเรื่อยๆ ไปเป็นห่วงยางรอบเอว
อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตก็ได้แก่พวกข้าว ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว พิซซ่า ขนมหวานต่าง ๆ การกินแป้งพวกนี้ต้องลดลงปริมาณครึ่งหนึ่งจากที่เคยรับประทานปกติ เคยกินก๋วยเตี๋ยวทีละสองชามก็เหลือแค่หนึ่ง หรือกินเกาเหลา กินข้าวทีละชามพูนก็กินให้น้อยลง
แต่ละมื้อมีหลักในการกินคาร์โบที่ไม่เท่ากัน ในมื้อเช้าให้กินในปริมาณมากที่สุด มื้อกลางวันในปริมาณปานกลาง ส่วนเย็นให้กินแป้งให้น้อยที่สุด(ไม่ใช่ไม่กินอาหารอะไรเลยตอนเย็นซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง)
2. กินโปรตีนให้เพียงพอ
การควบคุมน้ำหนัก ย้ำให้ขึ้นใจไม่ใช่การอดแต่เป็นการกินอย่างฉลาด ข้อแรกลดแป้งไปให้มากที่สุดแล้ว ข้อสองนี้ต้องอย่าได้ละเลยคือการกินโปรตีนให้เพียงพอและมากพอ หลายคนเคยเรียนมาตั้งแต่เด็กวิชาสุขศึกษาว่าโปรตีนเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่จำเป็นต้องกินให้เติบโต
การกินโปรตีนสำคัญในวัยผู้ใหญ่คือการนำไปสร้างกล้ามเนื้อ ถ้ากล้ามเนื้อมีมากร่างกายก็เผาผลาญได้มาก เปรียบเทียบผู้ชายกับผู้หญิงที่กินเท่ากันหรือชายกินมากกว่าแต่ทำไมไม่อ้วนหรือน้ำหนักขึ้นมาก เป็นเพราะว่าผู้ชายมีกล้ามเนื้อมากกว่า ร่างกายจะเผาผลาญได้ดีกว่าเพราะกล้ามเนื้อที่มากก็ต้องการพลังงานที่มาก
3. กินโปรตีนก่อนเสมอ
การที่เรากินสัดส่วนโปรตีนให้มากและที่สำคัญคือให้เป็นสิ่งแรก ๆ ที่เข้าปากในมื้ออาหารนั้น ๆ หรือบางคนกินอาหารเสริมกลุ่มโปรตีนก่อนมื้ออาหารก็เป็นการส่งให้ร่างกายดึงเอาโปรตีนไปเก็บไว้สร้างเป็นกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
คุณผู้หญิงการมีกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน ไม่ทำให้เราน้ำหนักลดลงแต่จะรู้สึกกล้ามเนื้อกระชับไม่เผละ แหล่งโปรตีนที่ดีมากคือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน โดยเฉพาะเนื้อไก่ ส่วนที่ดีที่สุดคือเนื้อปลาทะเล(เน้นการนึ่งไม่ใช่การทอด)
โปรตีนที่เข้าไปก่อนในร่างกายจะไปเป็นตัวกั้นไม่ให้น้ำย่อยในร่างกายย่อยแป้งและน้ำตาลได้เร็ว การย่อยแป้งจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ไม่ทำให้เกิดน้ำตาลในกระแสเลือดเร็วไม่ทำให้ร่างกายเผาผลาญเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราหิวเร็ว กินบ่อย และอ้วนในท้ายสุด
ปริมาณการกินโปรตีนในแต่ละมื้อให้ถือเป็นว่าตอนเช้า ครึ่งฝ่ามือ กลางวัน สามในสี่ ตอนเย็นกินมากสุด 1 ฝ่ามือ
การอดอาหารไม่กินตามมื้อปกติ ทำให้การเผาผลาญในร่างกายลดลงไปถึง 50% คนที่ลดด้วยการอด ช่วงแรกจะดีใจกับน้ำหนักที่หายไป แต่ร่างกายถูกลดกล้ามเนื้อลงไป ที่จะช่วยการเผาผลาญในร่างกาย หากกลับมากินปกติร่างกายจะอ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายเผาผลาญน้อยลงไปแล้ว
การกินโปรตีนเข้าไปก่อนทำให้ร่างกายได้ย่อยอย่างช้า ๆ ดูดซึมอย่างช้า ๆ และไม่เหลือเป็นไขมันสะสม
อย่าได้ใช้ทฤษฏีการกินผลไม้เป็นอาหารเย็น เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีรสหวานมีน้ำตาลพร้อมที่จะแปรเป็นไขมันสะสมเมื่อเรานอนหลับ ร่างกายเราต้องมีการซ่อมแซมทั่วร่างกายเมื่อเราได้หลับสนิท การมีโปรตีนเข้าไปเล็กน้อยก่อนนอนจะเป็นพลังงานที่สำคัญร่างกายได้ดึงไปเป็นพลังงานในการซ่อมร่างกาย
การซ่อมนอกจากได้ดึงเอาโปรตีนมาเป็นพลังงานแล้วยังไปดึงเอาไขมันเก่า ๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายออกมาเผาผลาญด้วย น้ำหนักได้ลดลงอย่างสมใจ หุ่นบางดีอีกด้วย
4. ลดความเค็มลง
ไม่ได้หมายถึงความเค็มในนิสัยที่ไม่เคยให้ใครกินอะไร แต่เป็นเรื่องความเค็มในอาหารที่เราจะกินเข้าไป บางท่านกินอาหารรสเค็มเสียน่ากังวล กินข้าวก็ต้องมีน้ำปลาพริก แล้วราดน้ำปลาเข้าไปหนัก ๆ หรือกินก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำปลาของแม่ค้าแทบหมดขวด
การกินเค็มมากเกินไปอย่างต่อเนื่องไม่ได้มีปัญหาเฉพาะเรื่องน้ำหนักเท่านั้น แต่ปัญหาสุขภาพโดยรวมจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตที่จะเรื้อรังไปมากและก่อปัญหาต่อเนื่องไม่รู้จบ ทั้งความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหลอดเลือด
การกินเค็มหมายความร่างกายจะได้รับสารโซเดี่ยมที่มากเกินไป ในร่างกายเราเป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย การได้รับเกลือแร่ที่ไม่สมดุลทำให้กระบวนการต่าง ๆ ทำงานได้ไม่ดีเสียสมดุล
โซเดียมที่มากเกินไป จากการที่กินอาหารเค็มกว่าปกติทำให้เซลล์ในร่างกายบวมน้ำ เพราะโซเดียมไปดึงน้ำเข้าเซลล์มากเกินไป คนที่กินเค็มก็จะดูร่างกายอวบ ๆ บวม ๆ ไม่เพรียวเพราะเซลล์อุ้มน้ำมากเกินไป
การป้องกันด้วยการสมดุลเกลือแร่สารโปตัสเซี่ยมในอาหารพวกผลไม้ต่าง ๆ แอปเปิ้ลแตงโม ส้ม กล้วยหอม นม จะทำให้ร่างกายลดโซเดี่ยมลง เซลล์ไม่บวมน้ำ ไตก็มิต้องทำงานหนักเกินไป ไม่เสียหายจนเป็นปัญหาเมื่อแก่ตัวลง
อาหารที่ผ่านการดัดแปลงเช่น ลูกชิ้น แฮม ไส้กรอก กุนเชียง ปลาเค็ม ของดอง อาหารเหล่านี้มีโซเดี่ยมที่สูงพึงหลีกเลี่ยงอย่าได้กินเป็นประจำ ถ้างดได้ยิ่งดีต่อสุขภาพ
สาว ๆ ที่ชอบใช้สูตรกินส้มตำลดความอ้วนขอให้คิดทบทวนเสียใหม่ เพราะว่าส้มตำนั้นมีความเค็มจากเครื่องปรุงมาก การกินส้มตำทำให้ร่างกายบวมน้ำ และน้ำชอบไหลลงสู่ที่ต่ำ ทำให้คนที่ชอบกินส้มตำรสจัด ๆ จะมีสัดส่วนด้านล่างจากเอวดูใหญ่กว่าด้านบน สาว ๆ ควรระวังอย่างยิ่ง
5. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
เราได้ยินแล้วมาท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองว่าดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วหรือให้ได้วันละ 2 ลิตร แต่แท้จริงแล้วเราได้น้ำเข้าสู่ร่างกายจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะจากน้ำดื่มโดยตรง เครื่องดื่มต่าง ๆ อาหารที่มีน้ำมากเช่นน้ำแกง น้ำซุป รวมถึงผลไม้อุดมน้ำที่บ้านเรามีมากและราคาถูก
แต่เชื่อไหมว่าคนส่วนมากจะมีนิสัยที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอ หรือบางทีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเครื่องดื่มบางอย่างคือการเติมน้ำเข้าร่างกายแต่แท้จริงเป็นการเอาน้ำออกจากร่างกาย เช่นการดื่มชา กาแฟ ที่จะขับน้ำออกจากร่างกาย
น้ำในร่างกายเป็นตัวที่ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพการดื่มน้ำน้อยเกินไปทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญต่ำกว่าปกติ แต่ละคนต้องการน้ำที่ไม่เท่ากันตามร่างน้ำหนักและรูปร่างของแต่ละคน เฉลี่ย 2-3 ลิตรต่อคนต่อวัน
เครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับร่างกายคือน้ำเปล่า ไม่ใช่เครื่องดื่มใด ๆ ที่มีราคาแพงหรือดื่มแล้วดูดีตามแรงโฆษณา สิ่งน่าหลีกเลี่ยงมากที่สุดสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก ได้แก่กลุ่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน บรรดากาแฟเย็น ชาเย็น หรือน้ำผลไม้ที่แต่งกลิ่นแต่งรสหวานเกินธรรมชาติ
6. ควรมีผักผลไม้ ทุกมื้ออาหาร
การกินให้ครบห้าหมู่เป็นทฤษฏีหลังสงครามโลกที่ผู้คนอดอยากขาดอาหาร จึงต้องกำหนดให้กินให้ครบทั้งแป้ง ไขมัน โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ แต่มาถึงปี 2000 คนที่อยู่ในเมืองใหญ่ไม่ได้กินไม่ครบ หากแต่กินเกินไปมากในบางส่วน เช่น พวกแป้ง ไขมัน และโปรตีน แต่กลับขาดวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในร่างกาย
การกินผักผลไม้ทำให้ร่างกายได้วิตามินและเกลือแร่อย่างพอเพียง สิ่งสำคัญสำหรับคนกินแล้วผอมคือ ผักผลไม้มีกากใยที่ทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำคอยช่วยดูดซับไขมันที่กินเข้าไป กากใยของผลไม้หรือผักสดช่วยปิดกั้นห่อหุ้มแป้งและน้ำตาลเอาไว้ ไม่ทำให้น้ำย่อยเข้าไปย่อยแป้งที่กินเข้าไปได้เร็ว เมื่อย่อยช้า ก็ดูดซึมช้า ไม่ทำให้อ้วน
แต่ต้องหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวาน หรือผักผลไม้ที่มีกากใยน้อย เพราะถ้ากากใยน้อยก็เหมือนไม่มีฉนวนคอยหุ้มแป้งหรือไขมันป้องกันน้ำย่อย ร่างกายก็ย่อยได้เร็ว ดูดซึมเร็ว เมื่อเอาไปใช้ไม่ทันก็เก็บสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน พอกหนาตามหน้าท้อง หน้าขา
7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เป็นเรื่องที่น่าจะทรมานใจคุณ ๆ ที่อยากมีน้ำหนักลดลง ยอมที่จะทำอะไรหลายอย่าง ทั้งอดทั้งหยุด แต่ขอไม่ออกกำลังกายได้ไหม คำตอบคือว่า ไม่ได้
การได้ออกกำลังกายทำให้ร่างกายเร่งการเผาผลาญได้ดีมากขึ้น อย่าลืมว่าวัยที่เราเพิ่มสูงขึ้น หน้าที่การงานที่เปลี่ยนไป ทำให้การเผาผลาญในร่างกายลดน้อยถอยลง หากเรายังอร่อยเท่าเดิม บอกได้เลยว่า ทั้ง 6 ประการที่ผ่านมาไม่สามารถทำให้คุณพอใจกับรูปร่างของคุณได้อย่างแน่นอน
การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการที่ไปวิ่งครั้งละ 30-40 นาที หรือไปฟิตเนสครั้งละ 2-3 ชั่วโมง ถ้าคุณมีเวลาดูละครได้ คุณก็มีเวลาออกกำลังกายได้ ไม่ต้องมาก ให้ได้ต่อเนื่อง 15 นาทีต่อวัน ทุกวัน ทำเป็นนิสัยเหมือนอาบน้ำแปรงฟัน
ก่อนออกกำลังกาย ถ้าจัดการได้ให้กินโปรตีนเบา ๆ จะเป็นเนื้อปลา หรือปลาทูน่ากระป๋อง หรือว่าพวกโปรตีนในรูปอาหารเสริมที่ควรปราศจากน้ำตาล เพราะร่างกายสามารถดึงไปใช้ได้ทันที และไปสร้างเป็นกล้ามเนื้อในการเผาผลาญได้ดีมากขึ้น
การออกกำลังกายช่วงไหนก็ดีทั้งนั้น ถ้าคุณสามารถจัดเวลาได้ แต่ถ้าเลือกได้ ให้เลือกเป็นช่วงเช้า เพราะจะทำให้การเผาผลาญในร่างกายถูกกระตุ้นและทำงานต่อเนื่องไปตลอดทั้งวัน ไม่เชื่อลองสังเกตดูว่าถ้าคุณได้เสียเหงื่อในตอนเช้า แม้จะกินมื้อเช้ามาเพียงพอ แต่คุณจะหิวเร็วกว่าปกติ ซึ่งก็ดีที่คุณจะมีมื้อเช้าและกลางวันที่หนัก ก่อนที่จะไปลดระดับลงในมื้อเย็น
บทบัญญัติทั้ง 7 ประการถือว่าเป็นแนวทางเบื้องต้นให้คุณได้ไปลองปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวคุณเอง ถ้าทำได้อย่างสม่ำเสมอ มีวินัย เพิ่มความเข้มข้นขึ้นตามแรงปรารถนาของคุณ รับรองได้ว่า คุณต้องมีสุขภาพดีแน่นอน แม้ไม่ผอมอย่างที่อยากได้ แต่หุ่นสวยแตกต่างจากคนรอบข้างที่ไม่เอาจริงเอาจัง หรือยังใช้ทฤษฏีเดิม ๆ ในการลดน้ำหนักที่มา...Never - Age
วิธีเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
ก่อนที่จะไปบริจาคโลหิตที่สภากาชาดไทย เราควรจะต้องทราบก่อนว่า จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ขั้นตอนและวิธีปฎิบัติขณะบริจาคโลหิตต้องทำอย่างไร
คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต
1. มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป
2. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์ ( ถ้าเป็นผู้บริจาคครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน 55 ปี)
3. มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างไม่สบายหรือรับประทานยาใดๆ
4. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือติดยาเสพติด
5. สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์หรือ ให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
- นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อเนื่อง ในเวลาปกติคืนก่อนวันบริจาค
- รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม
- รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้
- ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
- งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี
ขณะบริจาคโลหิต
- สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
- เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะ ไม่มีผื่นคัน หรือรอยเขียวช้ำ ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า
- ทำตัวตามสบาย อย่ากลัว หรือวิตกกังวล
- ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต
- ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที
- หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อย ห้ามลุกทันที ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำ และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง
หลังบริจาคโลหิต
- ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน
- หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต
- ถ้ามีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศีรษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูงจนกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้น และเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม
- ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อส กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิตเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล
- ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก 1 วัน
- รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
ขั้นตอนบริจาคโลหิต ขั้นตอนที่ 1 กรอกแบบฟอร์มผู้บริจาคโลหิต
*ควรให้ข้อมูลตรงตามความเป็นจริงของผู้บริจาค จะทำให้ได้โลหิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อตัวผู้บริจาคเอง และตัวผู้ป่วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการรับบริจาคโลหิต
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต และความเข้มโลหิต
*บุคลากรทางการแพทย์ จะสอบถามประวัติผู้บริจาคเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยเบื้องต้นว่าท่าน มีสุขภาพพร้อมที่จะบริจาคโลหิตหรือไม่ โปรดอย่าปิดบังข้อมูลเรื่องสุขภาพ หรือเขินอายที่ จะตอบคำถาม
ขั้นตอนที่ 3 ลงทะเบียนรับหมายเลขถุงบรรจุโลหิต ที่เคาน์เตอร์ทะเบียน
ขั้นตอนที่ 4 บริจาคโลหิต
ขั้นตอนที่ 5 พักรับประทานอาหารว่าง/เครื่องดื่ม
*หลังบริจาคโลหิตจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มที่เจ้าหน้าที่จัดไว้บริการให้ และนั่งพักสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพน้ำในร่างกาย เมื่อปกติดีแล้วจึงเดินทางกลับ
ที่มา...สภากาชาดไทย