ติดอาหารขยะอาการเหมือนคนติดยาเสพติด
การกินอาหารตามใจปากมีผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพมากกว่าแค่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เพราะจะทำให้เกิดการเสพติดอาหารไร้ประโยชน์เหมือนคนติดยาเสพติด
รายงานผลการศึกษาวิจัยจาก YaleUniversityในสหรัฐอเมริกา
เปิดเผยถึงผลกระทบด้านลบของการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างพวก Dessert drink เช่นมิลค์เชครสช็อกโกแลต ว่าส่งผลให้สมองมีการทำงานและเสพติดสิ่งเหล่านี้เทียบเท่ากับการเสพติดโคเคนเลยทีเดียว
ในการทดสอบ ได้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้หญิงที่มีสุขภาพดีจำนวน 48 คน รูปร่างตั้งแต่ผอมบางไปจนถึงอ้วน โดยให้ทั้งหมดได้รับประทานมิลค์เชครสช๊อกโกแลตและ นมรสจืด แล้วทำการสแกนสมองเพื่อวิเคราะห์ผลการทำงานของสมอง พบว่าไขมันและน้ำตาลที่อยู่ในอาหารจำพวกนี้หรือพวกอาหารขยะ ทำให้สมองเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงสมดุลทางเคมีภายในสมองส่วนที่ควบคุมสารเคมีโดพามีน ซึ่งสร้างความรู้สึกพึงพอใจในแบบเดียวกับที่เวลาคนเราเสพยาเสพติด
ความสำคัญของการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพใครหลายๆคน เพราะปัจจุบันมีถึง 1 ใน3 ของประชากรวัยผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเป็นโรคอ้วน และบางรายนั้นไม่สามารถบำบัดหรือรักษาได้ เนื่องจากในอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิดจะทำให้เกิดการติด เกิดอาการอยากจะกินอาหารเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาเหมือนคนที่ติดยาเสพติดอย่างไม่ผิดเพี้ยน ทำให้อธิบายได้ว่าทำไมบางคนถึงสามารถลดน้ำหนักหรือควบคุมอาหารได้
ที่มากไปกว่านั้นคือ มีงานวิจัยที่ได้ทำการทดลองในหนู โดยให้หนูเหล่านั้นกินอาหารหวานๆ มันๆ ที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นเวลา 2 เดือน หลังจากนั้นเปลี่ยนมาให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้
พวกมันเพิกเฉยและไม่ยอมกินอาหารเหล่านั้น แถมยังมีอาการกระวนกระวายคล้ายอาการลงแดงอีก ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า อาหารขยะ ทำให้พวกหนูทดลองเกิดการเสพติด เฉกเช่นเดียวกับคนที่ติดยาเสพติดเลยทีเดียว ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว ควรระมัดระวังตัวเองไม่ให้เผลอกินพวกอาหารขยะให้มากเกินไป ทั้งไม่มีคุณค่าทางสารอาหารตามโภชนาการแล้ว ยังจะทำให้เกิดการเสพติดการกินอาหารพวกนี้จนเป็นโรคอ้วน เกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้อีกด้วย
ที่มา...VoiceTV
ลดน้ำหนักขั้นเทพ ไม่เสียสุขภาพ
หากใครที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการลดหน้ำหนักแบบจริงจัง อาจเกิดผลเสียกับร่างกายได้ ถ้าใช้วิธีการลดความอ้วนแบบผิดๆ วิธีที่ดีที่สุดคือต้องเลือกวิธีที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพน้อยที่สุด สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง และส่งผลแบบยั่งยืน
ดื่มน้ำเปล่ามากๆ น้ำไม่มีแคลอรี ทุกวันที่ตื่นขึ้นมารับวันใหม่ ให้คุณดื่มน้ำเปล่าหนึ่งแก้วเต็มๆ ก่อนที่คุณจะดื่มกาแฟหรือรับประทานอาหารเช้า และก่อนอาหารทุกมื้อให้ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว หลังทานอาหารเสร็จให้ดื่มอีกหนึ่งแก้วเป็นเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่ม ไม่อยากทานอาหารเพิ่ม ข้อควรระวังคือ อย่าดื่มน้ำหวาน โดยเฉพาะน้ำหวานที่ผสมโซดา และควรงดเครื่องดื่มจำพวกเบียร์ และแอลกอฮอล์ต่างๆ
หากอยากทานผลไม้ ควรเลือกทานมะเขือเทศ หรือแตงโม ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 90-95% เลือกทานผลไม้สดแทนน้ำผลไม้หรือผลไม้กระป๋อง ซึ่งมีเส้นใยอาหารน้อย และมีน้ำตาลมาก
บรรดาลูกอมทั้งหลาย ที่ดูเหมือนไร้พิษสง เป็นหลุมพรางที่คนส่วนใหญ่นึกไม่ถึง เม็ดเล็กนิดเดียวไม่น่าจะทำให้อ้วนได้ แต่หารู้ไม่ว่าน้ำตาลที่ได้รับจากบรรดาลูกอมเหล่านั้นมากมาย ยกตัวอย่างทอฟฟี่คาราเมล 3 เม็ดให้แคลอรีถึง 115 แคลอรี ทอฟฟี่ช็อกโกแลตไส้ครีม 2-3 เม็ด (ปริมาณ 2 ออนซ์) ให้ 125 แคลอรี ทอฟฟี่นมหรือช็อกโกแลต 1 แท่ง ขนาด 1 ออนซ์ ให้ 145 แคลอรี เวลาเราทานมักจะไม่ทานแค่เม็ดสองเม็ด เราจะอมไปเรื่อยๆ ลูกอมบางชนิดยิ่งเคี้ยวยิ่งมัน เผลอแผล็บเดียวทานหมดห่อไม่รู้ตัว ทำให้ร่างกายสะสมน้ำตาลไว้ในตับและกล้ามเนื้อในรูปของ glycogen โดยสะสมได้ 2,000 กิโลแคลอรี
ทานอาหารเช้า หลังจากตื่นนอนภายในเวลา 1 ชั่วโมง คุณจะลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น หากร่างกายของคุณเริ่มกระบวนการเผาผลาญอาหารได้เร็ว การทานอาหารเช้าเป็นเสมือนการชาร์จแบตเตอรี่ให้กับร่างกายที่ทำหน้าที่เผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน มื้อเช้าจึงเป็นมื้อสำคัญ อย่ารอจนรู้สึกหิว
ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบอาหารโปรตีน ให้เลือกทานเนื้อขาวดีกว่าเนื้อแดง เนื้อขาวคือ พวกปลา ส่วนเนื้อแดงคือ เนื้อ และหมู ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีไขมันที่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ในที่นี้รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่มาจากเนื้อหมูด้วย เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม เคล็ดลับอีกอย่างคือ ลดเกลือให้น้อยลง เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคอ้วนได้
เดินออกกำลังกาย ถ้าคุณอยากลดน้ำหนักครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ คุณต้องเดินต่อเนื่องกันอย่างน้อยวันละ 45-60 นาที หรือเคลื่อนไหวโดยใช้เครื่องนับก้าวให้ได้วันละ 12,000-15,000 ก้าว และถ้าคุณเดินเร็วๆ วันละ 1 ชั่วโมงโดยไม่ทานอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิม จะทำให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้ 7 กิโลกรัมภายในเวลา 3 เดือน และลดโอกาสเป็นโรคอ้วนได้ร้อยละ 24
ออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้าม ถ้าคุณจะกำจัดไขมันออกจากร่างกายสัก 1 ปอนด์ คุณต้องออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานให้ได้ 3,500 แคลอรี การออกกำลังกายประเภทเล่นเวต ยกน้ำหนัก ขึ้นลงบันได (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ขึ้นบันได 1 นาทีเผาผลาญพลังงาน 1.5 แคลอรี) จะทำให้เกิดมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากกว่า และดึงไขมันสะสมออกมาใช้เป็นพลังงานได้มากกว่า การออกกำลังกายอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง จะทำให้ไขมันแตกตัวแม้ในช่วงพักผ่อน (ที่จริงในแต่ละวัน ร่างกายของคนเราก็เผาผลาญพลังงานกว่า 200-300 แคลอรีในช่วงที่เราไม่ได้ทำอะไรเลยอยู่แล้ว)
ที่มา... Slimming Magazine