City วันที่หมาครองโลก (1)


วันที่หมาครองโลก City (1952) โดย Clifford D.Simak

สนพ.ทอแสง แปลโดย สุเมธ เชาว์ชุติ


เรื่องราวต่อไปนี้เป็นนิทานที่พวก...หมา...เล่าสู่กันฟังเมื่อยามที่เปลวไฟคุโชนด้วยสายลมเหนืออันหนาวเยือก บรรดาฝูงหมาแต่ละครอบครัวจะชุมนุมกันที่หน้ากองไฟ โดยมีเจ้าพวกลูกหมาตัวเล็กตัวน้อยนั่งฟังกันอย่างสงบเสงี่ยม กระทั่งเมื่อนิทานได้จบลง พวกเขาก็จะมีคำถามอยู่หลายประการ เป็นต้นว่า คนคืออะไรหรือ เมืองคืออะไร

อันเนื่องมาจากที่ผมเคยอ่านเรื่องสั้นอย่าง แปรพักตร์ (Desertion) ซึ่งอยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้น "พระเจ้าเก้าล้านล้านชื่อ" ที่คุณนพดล เวชสวัสดิ์แปล แล้วประทับใจ หลังจากนั้นถึงเพิ่งมารู้ว่ามันเป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่อยู่นิยายเรื่องเอกของ Clifford D.Simak อย่าง City นี่เอง

แต่การจะหาหนังสือเล่มนี้ที่ตีพิมพ์ฉบับแปลนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 เป็นเรื่องยากเกินความสามารถเป็นอันมาก จึงออกดั้นด้นค้นหาจนรู้ว่าที่หอสมุดแห่งชาติมีอยู่ ต้องเดินทางไปกลับบ่อยหน่อย แต่ไม่เป็นไรเพราะช่วงนี้ทำงานอยู่แถวๆนั้นพอดีและเพื่อหนังสือที่อยากอ่าน

มาเข้าเรื่องดีกว่า เรื่องนี้เป็นนิยายในรูปแบบที่ใช้เรื่องสั้นมาร้อยเรียงเรื่องราวเชื่อมต่อกัน ในแบบที่เค้าเรียกว่า Fix-Up Novel ดังเช่นเรื่องสถาบันสถาปนา (Foundation) หรือบันทึกชาวอังคาร (The Martian Chronicles) อยู่เหมือนกัน

Simak นำเรื่องสั้นต่างๆรวมทั้งสิ้น 8 เรื่องที่เขาเขียนมาตั้งแต่ปี 1944-1951 มารวบรวมไว้ โดยมีบทนำของแต่ละเรื่องในมุมมองของหมาที่บอกถึงสิ่งที่นิทานแต่ละเรื่องต้องการสื่อ มีตัวละครอย่างตระกูล Webster หลายต่อหลายรุ่นเป็นตัวดำเนินเรื่อง รวมถึงหุ่นยนต์รับใช้ประจำตระกูลนี้อย่าง Jenkins ที่ผ่านเรื่องราวต่างๆกว่าพันปี  


1.เมือง (City) :
John J.Webster ผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของเมืองประจำหอการค้า พยายามนำเสนอแนวความคิดเพื่อการดำรงอยู่ของเมืองไว้ แต่ดูเหมือนวิธีการของเขาดูจะอลุ่มอล่วยเกินไปในสายตาเทศมนตรีที่เข้มงวดมากในการจัดระเบียบเมืองและผู้คน ...จนในที่สุดผู้คนก็อพยพไปสู่ชนบทเกือบทั้งหมด

เรื่องสั้นเรื่องแรก ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ ฉายภาพเมืองหลังสงครามนิวเคลียร์ ที่ผู้คนไม่นิยมอยู่ในเมือง เนื่องจากที่ดินในเมืองทรุดโทรม และสามารถไปซื้อที่ดินในชนบทได้มากมายกว่า พืชผักที่ปลูกโดยใช้ดิน กลับขายไม่ออก คนนิยมกินผักที่ปลูกโดยเทคโนโลยีไฮโดรโพนิคส์ในฟาร์มแท้งก์ อีกทั้งไม่นิยมรถยนต์ที่ใช้เบนซิน กลับไปใช้เครื่องบินส่วนตัว เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวเพื่อความรวดเร็วกว่าในการเข้ามาในตัวเมือง ........ 6/10


2.ที่ซุกกาย (Huddling Place) 
Jerome Webster รุ่นที่ 5 ของตระกูล Webster ผู้เป็นศัลยแพทย์ที่เคยเดินทางไปยังดาวอังคารเพื่อเป็นแพทย์อาสามากว่า 5 ปี กลับมาพักพิงยังเมืองบนโลกแล้ว กลับมีอาการกลัวการอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง (Agoraphobia) เก็บตัวอยู่แต่ในสถานที่ๆคุ้นเคยอย่างบ้านเป็นหลัก เมื่อได้รับข่าวร้ายว่าเพื่อนชาวดาวอังคารอย่าง Juwain กำลังป่วยหนักต้องได้รับการผ่าตัดสมองโดยด่วน เขาจะต้องตัดสินใจว่าจะเลือกไปช่วยเพื่อนทั้งๆที่มีอาการของโรคดังกล่าวอยู่ ซึ่งทำให้เดินทางด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง... แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไปช่วย กลับถูกขัดขวางจาก Jenkins หุ่นยนต์รับใช้...จนอนาคตของโลกต้องเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นตราบาปของตระกูล Webster

Juwain เป้นนักปรัชญา ผู้กำลังคิดค้นหลักปรัชญาสำคัญที่จะช่วยร่นการพัฒนาของมนุษย์จากแสนปีจนเหลือเพียง 2 ชั่วอายุคนเท่านั้นถ้าเขาทำสำเร็จ

ขณะที่ลูกชายอย่าง Thomas Webster เดินทางไปยังดาวอังคารเพื่อไปเป็นวิศวกรรมทางอากาศ

ตอนนี้สะท้อนถึงภาพความโดดเดี่ยวของสังคมมนุษย์มากขึ้น ถึงแม้จะมีหุ่นยนต์รับใช้ สามารถกดปุ่มต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งมนุษย์มีเทคโนโลยี่ที่สามารถออกเดินทางไปยังดาวอังคารได้แล้วก็ตาม ........ 7/10

3.สำมะโนประชากร (Census)
Richard Grant นักสำรวจประชากร เดินทางมายังเมืองที่เขาได้รับมอบหมายให้มาทำการสำมะโน ซึ่งเมืองนี้เขาได้พบกับ Nathanial หมาพูดได้เป็นตัวแรก ซึ่ง Bruce Webster เป็นผู้ทำการทดลองผ่าตัดกล่องเสียงและฝึกการพูดให้มันสำเร็จ และเขายังได้พบกับ Thomas Webster ปู่ของ Bruce ที่สามารถสร้างยานที่สามารถเดินทางออกไปไกลพ้นระบบสุริยะได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ด้วยความช่วยเหลืออย่างลึกลับของ Joe โดยที่ Ellen ลูกชายของ Thomas กำลังเดินทางไปยังดาวอัลฟา เซนทอรี่อยู่

Joe มนุษย์ผ่าเหล่า วัยกว่า 163 ปี ซึ่งมีความสามารถซ่อมแซมสิ่งต่างได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับทำตัวลึกลับ ไม่พููดจากับใคร
ปรัชญา Juwain ที่หายสาบสูปไปก็ยังอยู่ในครอบครองของเขาด้วย

Joe ยังทำการทดลองมด ให้มันสร้างสังคม เศรษฐกิจคล้ายมนุษย์
ให้มันเรียนรู้การทำการเกษตร เก็บเกี่ยว รู้จักใช้โลหะ และตัดปัจจัยที่ไม่ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมันอย่างการหาอาหารและการจำศีล ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นตัวบั่นทอนการเรียนรู้ เพราะความหิวทำให้มันไม่ทำอะไรนอกจากหาอาหาร การจำศีลทำให้การเรียนรู้ถูกตัดเป็นทอดๆ ไม่สามารถพัฒนาต่อเนื่องนั่นเอง  และสุดท้ายเขาได้ทำลายโดมทดลองมดไปด้วยอารมณ์ ทำให้พวกมันเรียนรู้ในการปกป้อง ต่อสู้โดยที่เขาไม่รู้ตัว

ตอนนี้สะท้อนถึงการเริ่มล่มสลายของสังคมมนุษย์ เมื่อมีสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นเริ่มพัฒนาขึ้นด้วยความช่วยเหลือของมนษย์เอง เพื่อจะได้เกื้อกูลกันพัฒนาโลกใบนี้ แต่มนุษย์ดูจะพึ่งพาคำตอบที่ไม่รู้และไม่มีวันเสร็จได้ของปรัชญา Juwain ดังลิขิตจากสวรรค์มากเกินไป ซึ่ง Joe ผู้ครอบครองก็ศึกษามันและไม่ยินยอมเปิดเผยสารแก่มนุษย์ด้วย เพราะเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อันใดเลย ........ 8/10

4.การละทิ้ง (Desertion) ***เรื่องนี้อยู่ในรวมเรื่องสั้นพระเจ้าเก้าล้านล้านชื่อด้วย***
ณ โดมสถานีอวกาศแห่งดาวพฤหัสบดี Kent Fowler นายสถานีได้ส่งคนออกไปคนแล้วคนเล่า ด้วยการแปลงสภาพคนให้กลายเป็น Loper สิ่งมีชีวิตชั้นสูงสุดบนดาวนี้ มีรูปร้างคล้ายตัวหนอน ซึ่งสามารถทนทานต่อสภาพบรรยากาศของดาวได้ แต่เมื่อส่งออกไปแล้วไม่มีผู้ใดกลับมายังสถานีเลย รวมถึง Ellen ด้วย

Fowler จึงตัดสินใจส่งตัวเองออกไปพร้อมกับ Towser หมาคู่ใจของเขา แล้วเขากับเพื่อนร่วมเดินทางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมไม่มีผู้ใดกลับมา...ทัศนียภาพบนดาวดวงนี้ สวยงามแปลกตามีสีสันยิ่งกว่าตอนที่เขาใช้ตามนุษย์มองเมื่อครั้งยังอยู่ในสถานี ทั้งม่านน้ำตกสีขาวด้วยออกซิเจนทีมีเสียงไพเราะเพราะพริ้งเสนาะหูมาก รวมถึงเพื่อนคู่ใจสี่เท้าของเขาที่ตอนนี้ กลับสามารถสื่อสารกันได้อย่างกับมีโทรจิต ทั้งที่ตอนมันเป็นหมาเขาแค่เอ็นดูมัน ไม่ได้รู้สึกเข้าใจมันได้ขนาดนี้

ตอนนี้ชอบที่สุดของเรื่องนี้แล้ว อ่านแล้วอยู่ดีๆเรื่องเจ้าชายน้อยวิ่งมาพลัน "สิ่งสวยงามไม่ได้มองเห็นได้ด้วยตา แต่มองเห็นได้ด้วยใจ" ถือว่าเป็นจุดเปลียนที่สำคัญของมนุษยชาติบนโลกนี้เลยก็ได้ เพราะมันมีผลกระทบที่ใหญ่หลวงมาก ต้องตามตอนต่อไป ........ 9/10

5.สุขาวดี (Paradise)
หลังจากนั้น 5 ปีที่ Kent Fowler เป็น Loper เขาจึงตัดสินใจด้วยความยากลำบากแปลงสภาพกลับเข้าสถานีเพื่อนำสิ่งที่ได้รับรู้มาถ่ายทอดให้โลกรู้ว่ามันเป็นดังสวรรค์สำหรับมนุษย์ โดยทิ้ง Towser ไว้เป็นตัว Loper ดังเดิม

เมื่อเขาพบกับ Tyler Webster ประธานกรรมาธิการของโลก กลับถูก Tyler บ่ายเบี่ยง พยายามปกปิดเป็นความลับไม่ให้คนทั้งโลกรู้ เพราะ Tyler กังวลว่าถ้าอย่างนั้นคนไม่อพยพไปอยู่ดาวพฤหัสกันหมดหรอ ไหนจะอายุของตัว Loper ที่ยืนยาวกว่าพันปี แล้วไฉนมนุษย์จะยังคงสภาพเป็นมนุษย์อยู่เล่า

ขณะที่ Joe มนุษย์ผ่าเหล่าก็ส่งคืนปรัชญา Juwain คืนให้ เพราะคิดว่าถึงเวลาเหมาะสมแล้ว ซึ่งก็เหมาะกับสถานการณ์พอดี เพราะหลักปรัชญา Juwain มุ่งเน้นให้คนเห็นใจซึ่งกันและกัน รับรู้และเข้าใจทัศนคติของผู้อื่นอย่างแท้จริง หลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง การโต้เถียง การทำร้ายผู้อื่น

ด้วยเหตุนี้ แม้ Tyler จะขัดขวางหรือแม้แต่คิดฆ่าคนทั้งสองอย่าง Fowler หรือ Joe ก็ไม่ได้ เพราะยุคนี้ไม่มีใครฆ่ากันแล้วและจะเป็นตราบาปให้กับตระกูล Webster ชั่วกาลนาน...จนในที่สุดคนก็อพยพไปยังดาวพฤหัสจนเกือบหมด


มีคำพูดดีๆที่ Tyler พยายามโน้มน้าว Fowler ให้เห็นว่ามนุษย์ผ่านอะไรมาอย่างยาวนานบนโลกใบนี้แล้วอยู่ดีๆจะทิ้งโลกไปยังดาวพฤหัสหรือ

“แต่ผมอยากให้คุณคิดเรื่องนี้ดู: เมื่อล้านปีมาแล้ว คนได้ก้าวมาสู่ความเป็นตัวตนเป็นครั้งแรก– ยังเป็นสัตว์อยู่ นับจากเวลานั้นเป็นต้นมาเขาก็ได้คืบคลานไต่เต้าขึ้นไปบนขั้นบันไดแห่งวัฒนธรรมทีละเล็กทีละน้อย เขาได้ค่อยๆสร้างวิถีทางแห่งชีวิต ปรัชญา วิธีการทำสิ่งต่างๆความก้าวหน้าของเขานั้นนับว่าเป็นทวีคูณ วันนี้เขาทำอะไรมากไปกว่าที่เขาได้ทำไว้เมื่อวานพรุ่งนี้เขาจะยิ่งทำมากไปกว่าที่เขาได้ทำลงไปวันนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ ที่คนเริ่มจะทำอะไรถูกต้อง เป็นชิ้นเป็นอันเขาเพิ่งจะได้มีการเริ่มต้นที่ดี คุณอาจเรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกเขากำลังจะก้าวไปข้างหน้าอีกไกลในเวลาที่น้อยกว่าที่เขาได้ก้าวมาแล้วมากนัก

มันอาจไม่น่ารื่นรมย์เหมือนดาวพฤหัสฯอาจไม่เหมือนกันเลย ชีวิตของมนุษยชาติอาจขาดประกายไร้สีสันหรือรสชาติ เมื่อเทียบกับชีวิตของดาวพฤหัสฯแต่มันก็เป็นชีวิตของคน สิ่งที่เขาได้ต่อสู้มา สิ่งที่เขาได้ทำมาด้วยตัวเขาเองชะตากรรมที่เขาได้ลิขิตขึ้น”

ตอนนี้ต่อเนื่องกับ Desertion ได้รู้เรื่องราวเพิ่มเติมจากตอนเดียวที่ผมเคยอ่านมาก่อน ค่อนข้างลงตัวดี ได้เห็นแง่มุมว่าสุดท้ายมนุษย์โดยส่วนมากก็ยังแสวงหาความสุขที่ดีกว่าและค่อนข้างจะเป็นนิรันดร์อยู่ดี ........ 7/10

6.งานอดิเรก (Hobbies)
ณ กรุงเจนีวา Jon Webster 1 ในมนุษย์ 5,000 คนที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกนี้ กับชีวิตที่ไม่มีอะไรมากนอกจากนั่งไปวันๆ หางานอดิเรกไร้สาระทำไป ชีวิตไม่มีจุดมุ่งหมายอะไร ไม่มีอะไรต้องแก่งแย่ง แม้กระทั่งขโมย เนื่องจากทรัพยากรบนโลกนี้เหลือล้นเกินพอ ไม่มีความอยากได้ ครอบครองอะไร แม้กระทั่งคู่ชีวิต ขณะที่ลูกชายของเขาออกไปล่าสัตว์ ผจญภัย กับกลุ่มนิยมคันธนูลูกศร

ขณะที่หมาอย่าง Ebenezer เริ่มเรียนรู้มากยิ่งขึ้น มีการฟัง เรียน รวมถึงเริ่มเข้าใจในสิ่งที่สัญชาตญาณของมันเก่งอยู่แล้วอย่างเรื่องโทรจิต ด้วยการช่วยเหลือของ Jenkins ที่ตกยุค ล้าสมัยและทรุดโทรมไปมาก ส่วนมนุษย์ผ่าเหล่าเริ่มเก็บตัวเงียบ หุ่นยนต์สามารถผลิตหุ่นได้เอง แต่ทั้งสองกลุ่มก็ถูกจับตามองด้วยเผ่าพันธุ์หมา

แล้วเมื่อ Jon บินออกจากกรุงเจนีวาเพื่อมาเยี่ยม Jenkins ก็ถูกขอร้องให้เป็นผู้นำของมัน คอยชี้นำทางให้พวกมัน เพื่อที่จะได้พัฒนาได้ดียิ่งขึ้น... แต่ Jon กลับเห็นว่ามนุษย์อย่างพวกเขาไม่เหมาะกับการนี้ ไม่เช่นนั้นประวัติศาสตร์ก็จะย้อนกลับไปสมัยดั่งเช่นมนุษย์ครอบครองโลกนี้อยู่

Jon จึงตัดสินใจกลับเจนีวา แล้วกดสวิตช์ปิดหลังคาโดมป้องกันเมืองทั้งเจนีวาไม่ให้มนุษย์ออกไปสู่โลกภายนอกได้


ตอนนี้คล้ายๆตอนแรก ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แค่ฉายภาพให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือกำกับกลไกการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตอื่น ด้วยความคิดที่เห็นว่าเราเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว ........ 6/10

.....ต่อ..... City วันที่หมาครองโลก (2)




Create Date : 15 ตุลาคม 2557
Last Update : 18 ตุลาคม 2557 10:56:33 น.
Counter : 2105 Pageviews.

2 comments
  
คำคมเพิ่มเติมโดนๆ ไม่พอเขียนบล็อกน่ะ

“ความกดดันในด้านสังคมเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ด้วยกันมา ตลอดเวลานับพันๆปี – ยึดเหนี่ยวเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไว้ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนดุจเดียวกับความกดดันในด้านความหิวโหย ได้ยึดเหนี่ยวพวกมดให้เป็นทาสของรูปแบบสังคมอีกแบบหนึ่ง

ความต้องการของมนุษย์ผู้หนึ่งที่จะได้รับการยอมรับจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความจำเป็นที่จะต้องมีลัทธิความเชื่อถือในภราดรภาพ มันเป็นความต้องการด้านจิตใจที่เกือบจะกลายเป็นความต้องการทางกาย เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับในความคิดหรือการกระทำของเขาผู้นั้น มันเป็นพลังที่ปกป้องมนุษย์ มิให้เฉไฉไปออกนอกลู่นอกทางของสังคม พลังที่ยึดเหนี่ยวสังคมและความเป็นปึกแผ่นของมนุษยชาติ เพื่อการอยู่ร่วมกันของมวลหมู่มนุษย์

คนถึงกับยอมตายเพียงเพื่อให้ได้รับการยอมรับอันนั้น ยอมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อการยอมรับอันนั้น ดำเนินวิถีชีวิตที่ตนแสนจะเกลียดชังก็เพื่อการการยอมรับอันนั้น เพราะถ้าปราศาจากมันคนก็จะถูกโดดเดี่ยว เป็นพวกนอกสังคม เป็นสัตว์ที่ถูกขับออกจากฝูง

แน่ละ มันได้ชักนำไปสู่สิ่งที่ร้ายกาจ... สู่จิตวิทยาฝูงชน สู่การแบ่งแยกสีผิว สู่ความโหดร้ายน่าสะพรึงกลัวในนามของความรักชาติหรือศาสนา แต่ในทำนองเดียวกัน มันก็เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเผ่าพันธุ์ไว้ด้วยกัน เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมมนุษย์มีขึ้นมาได้”
โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 18 ตุลาคม 2557 เวลา:9:50:46 น.
  
อีกอันนึง เก็บไว้อ่าน

“มันไม่มีที่สำหรับอดีต”….. “หากเราเดินทางย้อนเวลากลับไป เราจะไม่พบอดีต แต่จะพบโลกอีกโลกหนึ่ง สำนึกที่ผิดแผกไปอีกอันหนึ่ง โลกยังคงเป็นโลกอยู่หรือเกือบจะเป็นโลกอันเดิม ต้นไม้ต้นเดิม แม่น้ำสายเดิม เนินลูกเดิม แต่มันจะไม่ใช่โลกที่เรารู้จัก เพราะว่ามันเป็นโลกที่ใช้ชีวิตมาคนละอย่างกันและพัฒนามาคนละแบบกัน กับวินาทีที่คล้อยหลังเราไปหาใช่วินาทีเบื้องหลังเราไม่ หากแต่เป็นอีกวินาทีหนึ่งต่างหาก เป็นช่วงเวลาที่แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง ตัวเราอาศัยอยู่ในวินาทีเดียวกันตลอดเวลา เราเคลื่อนไหวอยู่ในวังวนของชั่ววินาทีนั้น...เศษเสี้ยวกระจิริดแห่งกาลเวลาที่เป็นส่วนของโลกเรา”

“ต้องโทษวิธีการที่เรานับเวลากัน”….. “นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เราไม่คิดถึงมันในลักษณะที่มันเป็นจริง เพราะเรามัวนึกอยู่ตลอดเวลา ว่าเรากำลังผ่านไปในเวลา ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่ เราเพียงแต่ผ่านไปพร้อมๆกับกาลเวลา เราพูดกันว่า ผ่านไปแล้ววินาทีหนึ่ง ผ่านไปแล้วนาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง วันหนึ่ง ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ววินาทีนั้นหรือนาทีนั้นหรือชั่วโมงนั้นไม่เคยผ่านไปเลย มันยังคงเป็นอันเดิมอยู่ตลอดเวลา มันเพียงแต่เคลื่อนไปโดยมีเราติดไปด้วยพร้อมๆกัน”

“ฉันเข้าใจ เหมือนท่อนไม้ลอยน้ำ เศษไม้ที่ลอยไหลไปตามลำแม่น้ำ ทิวทัศน์สองชายฝั่งเปลี่ยนไปตามลำน้ำ แต่น้ำนั่นก็ยังเป็นน้ำเดิมอยู่ดี”

โดย: leehua (สมาชิกหมายเลข 755059 ) วันที่: 18 ตุลาคม 2557 เวลา:9:52:19 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 755059
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]



New Comments
ตุลาคม 2557

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog