... Simplicity is Happiness ♥ ...
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2557
 
6 มิถุนายน 2557
 
All Blogs
 
12 สุดยอดดาบในตำนานของโลก

ดาบหรือว่าเป็นอาวุธที่มีชื่อเสียงมานานหลายศตวรรษ
ในตำนานและนิยาย หรือวรรณกรรมก็ปรากฏดาบมากมาย
ซึ่งล้วนเป็นดาบที่น่าเหลือเชื่อ และเป็นดาบวิเศษ ที่หลายคนอยากครอบครอง
ดาบเหล่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่นั้น ทุกวันนี้ยังไม่มีคำตอบแต่อย่างใด
และนี่คือ 10 เรื่องของดาบในตำนานที่หลายคนรู้จักกันดี



12. The Sword In The Stone

ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์เป็นดาบที่หลายคนรู้จักกันดี เพราะ
เป็นดาบประจำตัวของกษัตริย์อาเธอร์ ที่เล่าลือว่ามีอำนาจวิเศษ
หรือมีความเกี่ยวข้องกับสิทธิ์ในการปกครองแผ่นดินอังกฤษ
ครั้งแรกที่ดาบปรากฏมันถูกปักในศิลา ที่หากผู้ใดดึงมันออกมาได้
จะได้เป็นกษัตริย์อังกฤษ ซึ่งผลปรากฏว่าอาเธอร์สามารถทำได้คนเดียว

แน่นอนไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์มีจริงหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตามมีดาบปักหินแบบเดียวกัน (เป็นคนล่ะดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์)
ในประเทศอิตาลี สมัยศตวรรษที่ 12 โดยอยู่ในโบสถ์ซานกัลกาโน
ชานเมืองเซียน่า ตำนานเล่าว่าดาบนี้มีความคมมากสามารถตัดหินได้ราวกับเนย

กล่าวกันว่าดาบนี้เป็นดาบคู่กายของนักบุญกัลป์กาโน (Galgano Guidotti)
ในช่วงแรกของชีวิตเป็นคนไม่ดี ก่อนที่จะกลับใจอุทิศตนเพื่อศาสนา
และเพื่อการแสดงความประสงค์ว่าเขาจะเปลี่ยนชีวิตใหม่ เขาเลยปักดาบเขาลงบนหิน
บนเนินเขาลูกหนึ่งเพื่อยุติทางโลก และภายหลังก็มีการสร้างโบสถ์ครอบคลุมดาบนั้น
บางคนเชื่อกันว่าดาบนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจตำนานยุคกลางกษัตริย์อาเธอร์นี้เอง

ปัจจุบันเราสามารถพบเห็นดาบที่ว่า
ในซากปรักหักพังโบสถ์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเซียน่า อิตาลี



11. The Kusanagi

ดาบคุซานางิ (แปลเป็นไทยว่า ดาบตัดหญ้า
หรือ ดาบอาเมโนะมุราคุโม ซึ่งแปลว่าดาบเมฆสวรรค์ชุมนุม)
อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นดาบประจำตัวของซาสึเกะจากนารูโตะ
(หรือดาบประจำตัวตะลครเท่ๆ ในการ์ตูนญี่ปุ่น) หากแต่เป็นดาบศักดิ์สิทธิ
ที่มีมาอย่างน่าเหลือเชื่อ กล่าวกันว่าเมื่อครั้งเทพวายุซึซาโนโอะ
ปราบงูยักษ์แปดหัวยามาตะโนโอโรจิได้แล้ว เขาก็ได้พบดาบวิเศษ
ที่ฝังอยู่ในหางทั้งสี่ของงู และเขาก็ได้เก็บไว้ให้เทพีอามาเทราสุแห่งพระอาทิตย์
ผู้เป็นน้องสาวเก็บเอาไว้ ซึ่งต่อมาเทพีอามาเทราสุก็เป็นต้นตระกูลของจักรพรรดิญี่ปุ่น
ดาบคุซานางิจึงกลายเป็นของวิเศษที่ตกทอดสู่จักรพรรดิญี่ปุ่นเรื่อยมาจากรุ่นสู่รุ่น

ดาบคุซานางิ
ถือว่าเป็นหนึ่งในสามเครื่องราชกุธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิของจักรพรรดิญี่ปุ่น
(ร่วมกับแก้วยาซากิและกระจกยาตะ) ดาบแสดงถึงความกล้า
ซึ่งในตำนานของญี่ปุ่นมักปรากฏชื่อดาบคุซานางิไว้มากมาย

ทุกวันนี้กล่าวกันว่าดาบคุซานางิอยู่ในศาลเจ้าอัตสึตะ ในนาโกย่า
ซึ่งดาบถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี และไม่มีการออกมาแสดงต่อหน้าสาธารณะ
มานานหลายศตวรรษ แต่อย่างไรก็ตามดาบจะถูกนำออกมาเป็นครั้งคราว
ในพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดิ แต่ดาบจะถูกห่อหุ้มไว้มิดชิดจนไม่เห็นตัวดาบ
ทำให้ทุกวันนี้ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าดาบคุซานางิยังคงอยู่หรือไม่แต่อย่างใด



10. Durandal

เป็นเวลาหลายร้อยปี ที่ดาบลึกลับด้านหนึ่งได้เสียบไว้ที่หน้าผา
(ในสภาพเป็นชิ้นส่วนของดาบที่หัก) ด้านบนที่สามารถมองเห็นได้จากลานแห่งเซนต์ไมเคิล
ในเมืองโรคามาดูร์ ประเทศฝรั่งเศส ทุกคนเชื่อว่ามันเป็นดาบดูเรนเดลของอัศวินโรลันด์
อัศวินผู้ยิ่งใหญ่ ตามตำนานเล่าว่าโรแลนด์พลาดท่าให้กับพวกซาราเซน
โรแลนด์พยายามทำลายดาบนี้ทิ้งเพราะไม่อยากให้ตกในมือศัตรู เขาฟาดดาบใส่หน้าผา
แต่แทนที่ดาบจะหักกลับทำให้เกิดรอยแยกบนผาแทน ซึ่งดาบแห่งนี้เสียบหน้าผาเรื่อยมา
จนกระทั่งในปี 2011 ดาบก็ถูกเอาออกเพื่อนำมอบให้กับพิพิธภัณฑ์ในปารีสเพื่อจัดแสดง

มันเป็นดาบดูเรนเดลจริงหรือ? ตามตำนานเชื่อว่าดาบดูเรนเดลเป็นดาบที่ว่ากันว่า
มีพลังอำนาจแห่งลม และเป็นดาบที่ไม่สามารถทำลายได้ เชื่อว่าเป็นเป็นดาบประจำตัว
ของเฮกเตอร์ แห่งทรอย ต่อมาก็เป็นดาบของอัศวินโรแลนด์ ตามที่ปรากฏใน
"เพลงของโรลันด์" กล่าวถึงภายในด้านดาบบรรจุฟันหนึ่งซีของเซนต์ปีเตอร์,
เลือดของเซนต์บาซิล, เส้นผมของเซนต์เดนนิส และชิ้นส่วนอาภรณ์ของพระแม่มารี
อย่างไรก็ตามสิ่งที่รู้คือสมรภูมิสุดท้ายของอัศวินโรลันด์คือสงคราม
Battle of Roncevaux Pass ซึ่งเป็นคนละแห่งที่ดาบฝังอยู่



9. The Cursed Muramasas

ดาบมุรามาสะเป็นดาบญี่ปุ่นโบราณที่มีชื่อเสียง กล่าวกันว่า
มันเป็นของช่างตีดาบเซ็นโง มุรามาสะ ที่ตีดาบขึ้นด้วยการใส่ความเคียดแค้นลงไป
จนมีชื่อเสียงในฐานะของอาวุธปีศาจ เป็นสัญลักษณ์ของความบ้าคลั่งและกระหายเลือด
จนมีเรื่องเล่าว่า ถ้าคาตานะของมุรามาสะไม่ได้ดื่มเลือดจะไม่ยอมคืนฝัก
มีคำสาปที่ทางการมีราชโองการห้ามพกดาบ (เฉพาะดาบยี่ห้อมุรามาสะ)

ประกาศราชโองการนี้โชกุนโตกุงาวะ อิเอยาสุเป็นคนสั่ง
เล่ากันว่าเขาหวาดกลัวดาบมุรามาสะมาก เพราะว่าครอบครัว
(ปู่, พ่อ, ภรรยา และบุตรชายบุญธรรม) ต่างถูกฆ่าด้วยดาบของมุรามาสะ
ถึงขั้นออกกฎห้ามพกดาบมุรามาสะนับจากนั้นเป็นต้นมา

ดาบมุรามาสะมีคำสาปจริงหรือ? ไม่มีใครตอบได้
นอกจากจะบอกได้ว่าดาบมีความคมเป็นเลิศ คมชนิดเหนือธรรมชาติ
จึงไม่แปลกใจที่ดาบของ มุรามาสะจำนวนมาก
นิยมมาใช้ในช่วงสงครามกลางเมือง
ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของดาบกระหายเลือดในที่สุด



8. The Honjo Masamune

ตรงกันข้ามกับดาบมุรามาสะ ในตำนานเล่าว่าเป็นดาบมาซามุเนะนี้
เกิดมาเป็นคู่แข่งมุรามาสะโดยเฉพาะ
เพราะคนที่ตีนั้นไม่ได้กระหายเลือดแบบมุรามาสะ
แต่ตีเพราะต้องการให้ผู้ใช้ดาบปกป้องตนเองจากอันตรายทั้งปวง
กล่าวกันว่าดาบนี้คมมากตัดได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอากาศ

ดาบของช่างทำดาบมาซามุเนะ นั้นล้วนเป็นสมบัติแห่งชาติญี่ปุ่น
ทุกดาบที่เขาตีล้วนเป็นตำนานหนึ่ง และหนึ่งในนั้นคือดาบฮอนโจ มาซามุเนะ
ซึ่งเป็นดาบคู่กลายของผู้สำเร็จราชการจากรุ่นสู่รุ่นสมัยเอโดะ ว่ากันว่า
เป็นหนึ่งในดาบญี่ปุ่นที่ดีที่สุดที่ทำขึ้นมา เป็นสุดยอดของดาบของโลก
หากแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดาบเล่มนี้ถูกมอบให้ทหารอเมริกันคนหนึ่ง
ที่อ้างว่าเป็นทหารม้าที่ 7 ของสหรัฐก่อนที่มันจะหายไปอย่างลึกลับ
ไม่มีใครพบเห็นสุดยอดดาบเล่มนี้อีกเลย



7. Joyeuse

โจเยอสส์ (แปลว่า "ความสุข") เป็นดาบคู่กายของพระเจ้าชาร์ลเลอมาล
กษัตริย์ของชนชาติแฟรงค์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ดาบของชาร์ลปรากฎในหลายตำนาน
และตามหน้าเอกสารประวัติศาสตร์ ตามตำนานเล่าว่าด้านจับบรรจุหอกศักดิ์สิทธิ์
ส่วนประวัติศาสตร์เล่าว่าชาร์ลได้ใช้ดาบนี้ตัดหัวซาราเซ็นส์ผู้บัญชาการ Corsuble
และ Ogier the Dane สหายของเขา และเนื่องด้วยดาบนั้นเคยหายไปในระหว่างสงคราม
ทำให้มีการกล่าวอ้างดาบของชาร์ลลอยู่สองแหล่ง อย่างไรก็ตามดาบโจเยอสส์ก็กลายเป็น
เครื่องที่ใช้ประกอบพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์ฝรั่งเศส (ส่วนอีกดาบหนึ่งที่เชื่อว่า
เป็นดาบของชาร์ลคือดาบอัตติลาในเวียนนา) ปัจจุบันดาบถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์
ในประเทศฝรั่งเศส และมันยังคงสดใสแววดาวดุจดั่งดวงอาทิตย์แม้จะผ่านเวลาหลายร้อยปีก็ตาม



6. St. Peter’s Sword

มีหลายตำนานกล่าวถึงดาบของเซนต์ปีเตอร์ ว่าเป็นดาบที่เซนต์ปีเตอร์
หนึ่งอัครสาวกของพระเยซู ใช้ตัดหูข้างขวาของคนรับใช้ของมหาปุโรหิต
(เป็นผู้มีส่วนร่วมในการจับกุมพระเยซู ซึ่งนักบุญปีเตอร์ได้ใช้ดาบตัดหูคนรับใช้
เพื่อป้องกันไม่ให้พระเยซูถูกจับ) ในช่วงจับกุมของพระเยซูที่นำไปสู่การตรึงไม้กางเขน
ตามตำนานอังกฤษได้เล่าว่าดาบได้เข้ามายังอังกฤษโดยโจเซฟแห่งอาริมาเธีย
(ผู้เก็บศพพระเยซูและในตำนานเล่าว่าเป็นคนนำถ้วยศักดิ์สิทธิ์มายังอังกฤษ) ในปี 968
ดาบก็ปรากฏในโปแลนด์โยบาทหลวงจอร์แดน และอ้างว่าเป็นดาบของนักบุญปีเตอร์ของจริง

ดาบที่ว่าไม่ได้สวยงามอย่างที่หลายคนคิดไว้เป็นดาบที่ปลายกว้างคล้ายกับมีดตัดอ้อย
(ในวิกีพีเดียจะบอกว่าเหมือนดาบ dussack ของยุโรป) แน่นอนว่าก็เหมือนดาบเล่มอื่นๆ
เพราะไม่มีใครมั่นใจว่าเป็นดาบที่แท้จริง เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่ยืนยันแน่ชัด
จากการตรวจสอบโลหะก็ไม่สามารถระบุวันที่แน่นอน ปัจจุบันดาบถูกจัดแสดง
ในพิพิธภัณฑ์อาร์คดิโอเซซาน ประเทศโปแลนด์



5. The Wallace Sword

เซอร์ วิลเลียม วอลเลซ อัศวินและผู้รักชาติชาวสก็อต
ผู้นำการต่อต้านการครอบครองสกอตแลนด์โดยอังกฤษระหว่างสงครามอิสรภาพ
ของสกอตแลนด์ จนได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ของสก็อตแลนด์
ในตำนานเล่าว่าส่วนประกอบของดาบทำมาจากผิวหนังของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นผักดาบ ด้านดาบ
และเข็มขัด โดยเชื่อว่าหนังมนุษย์เป็นของ Hugh de Cressingham เหรัญญิกของสกอตแลนด์
ที่วอลเลซ ถลกหนังเขาหลังจากชนะเขาในการต่อสู้สะพานสเตอร์ลิง
หลังวิลเลซเสียชีวิตดาบของวอลเลซถูกยึดไส้ที่ปราสาทลูดอนเป็นเวลานาน
ปัจจุบันถูกนำไปจัดแสดงไว้ในพิพิฑภัณฑ์สถานแห่งชาติวอลเลซ ใกล้เมืองสเตอร์ลิง
(แต่อย่างไรก็ตาม ก็เชื่ออีกว่าดาบในตอนนี้ไม่ใช่ดาบของวอลเลซ)



4. The Sword Of Goujian

ในปี 1965 มีดาบเล่มหนึ่งถูกพบหลุมศพหนึ่งในท่อระบายน้ำแห่งหนึ่งในหูเปย์ ประเทศจีน
แต่ที่น่าแปลกคือแม้เวลาจะผ่านไปนาน 2,000 ปีแล้วก็ตาม (ซ้ำยังแช่น้ำอีกต่างหาก)
ดาบก็ยังคงความคมไม่เกดนสนิทแม้แต่น้อย จากจากรึกบนตัวดาบระบุว่าเป็นของกษัตริย์
Goujian แห่งYue และยิ่งตรวจสอบยิ่งพบเรื่องน่าประหลาดใจ
ไม่ว่างานแกะสลักที่มีความละเอียดไม่น่าเชื่อ ความยืดหยุ่นที่ประหลาด
จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นดาบที่ทำเมื่อนานมาแล้ว

ดาบดังกล่าวสามารถคงสภาพดีเยี่ยมได้อย่างไร ในเมื่อมันมีอายุ 2,000ปี
จากการทดสอบพบว่าพวกเขาใช้สารเคมีบางอย่างที่ทำให้ไม่เกิดสนิม
ตัวดาบทำจากทองแดงทำให้เกิดความเสื่อมลงง่ายๆ ขอบทำมาจากดีบุก
ซึ่งล้วนรักษาความคมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งฝักดาบเองยังมีสภาพเป็นสุญญากาศ
สามารถป้องกันออกซิเดชันของตัวดาบได้

ปัจจุบันดาบอยู่ในการครอบครองของพิพิธภัณฑ์จังหวัดหูเป่ย



3. The Seven-Branched Sword

ในปี 1945 มีการค้นพบดาบลึกลับเล่มหนึ่งที่ศาลเจ้าศาลเจ้าอิสึกุชิมะ
ที่แปลกคือดาบมีลักษณะไม่เหมือนดาบเล่มอื่นที่เรารู้จัก คือมีแฉกหกแฉกแตกแขนงออกมา
จากด้านข้างของดาบ (มีแฉกตรงปลายก็ถือว่าเจ็ด ทำให้ถูกเรียกกว่า "ดาบเจ็ดแฉก"  เจ็ดแขนง
หรือดาบเจ็ดดาว) น่าเสียดายจากจารึกบนตัวดาบจางทำให้มองไม่ชัด แต่เชื่อว่า
เป็นดาบที่ราชวงศ์เกาหลีมอบให้ราชวงศ์ญี่ปุ่น (ยามาโตะ) แทนมิตรไมตรีต่อกัน
ตั้งแต่สมัย อดีตกาล ซึ่งเป็นอาวุธเก่าแก่ที่สำคัญ ที่ถูกเก็บไว้ในศาลเจ้าเรื่อยมา

นอกจากนี้ดาบที่ว่านั้นปรากฏอีกหลายตำนานของญี่ปุ่น
อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นดาบของจักรพรรดินีจิงจู หนึ่งในจักรพรรดิในตำนานของญี่ปุ่น
นักประวัติศาสตร์ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีตัวตนอยู่จริง เนื่องด้วยความยากเย็น
ในการค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลหลักฐาน แต่การมีตัวตนของดาบทำให้เชื่อว่า
ตำนานน่าจะมีเป็นเรื่องจริง และปัจจุบันดาบเจ็ดแฉกได้กลายเป็น
สมบัติสามชิ้นของราชวงศ์ญี่ปุ่น ซึ่งใช้ในพิธีสืบทอดราชสมบัติ



2. La Tizona

ลา ติโซน่า เป็นดาบของเอลซิด หรือ ดอน โรดริโก หรือ เอลซิด
วีรบุรุษผู้กล้าหาญของเสปน ที่ต่อสู้ทั้งกองทัพคริสเตียนและมุสลิน ซึ่งตำนานดาบเล่าว่า
แค่ชักออกจากฝักเท่านั้นศัตรูก็จะยอมแพ้ด้วยความกลัว หรือกลัวเอลซิดก็ไม่ทราบ
ตามตำนานบอกว่าแม้เอลซิดจะเสียชีวิตในสนามรบ แต่ภรรยาของเขานำร่างของเขา
ขึ้นไปกับร่างม้าคู่ใจเพื่อไม่ให้ทหารรู้ว่าเอลซิดเสียชีวิตแล้ว เพราะอาจเสียขวัญ
ผลคือทหารสามารถเอาชนะในสงครามครั้งนั้นในทีสุด

ส่วนดาบนั้นได้บันทึกว่าอยู่ในการครอบครองของมาร์ควิสแห่ง Falces
ได้รับจากกษัตร์เฟอร์ดินานด์ในปี 1516 ซึ่งตกทอดมามาหลายรุ่น และต่อมา
ก็ส่งมอบให้พิพิธภัณฑ์มาดริด และปัจจุบันดาบอยู่ในพิพิธภัณฑ์ในฮัมบูร์ก ประเทศสเปน



1. Ulfberht

Ulfberht เป็นดาบทรงพลังของพวกไวกิ้ง ปกติแล้วไวกิ้งจะต่อสู้ด้วยขวานและหอก
ส่วนดาบนั้นใช้เฉพาะคนชั้นสูง โดยหนึ่งในนั้นดาบ Ulfberht เป็นดาบพิเศษกว่าดาบอื่นๆ
นอกจากคำจารึก "Ulfberh"” บนตัวดาบที่โดดเด่นแล้ว มันยังทนทานยิ่งกว่า
ทะลุเกราะได้ง่าย (ทำลายโล่หรืออาวุธเกราะง่ายเช่นกัน) อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่น
คล่องต่อการใช้งาน ถือว่าเป็นดาบที่คมที่สุดในยุโรปช่วงยุคมืด

ไม่มีใครทราบว่าคำจารึกบนตัวดาบคำว่า "Ulfberht" คือชื่ออะไร
รู้แต่ว่าเป็นดาบไวกิ้งที่มีอายุประมาณ 800-1000 ก่อนคริสตกาล
เคยหายไประยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งปรากฏในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม
ถูกพบไปทั่วยุโรป แต่ไม่กี่ดาบที่ค้นพบว่าเป็นของจริง
กรรมวิธีการผลิตไม่ทราบ รู้แต่ว่าใช้เหล็กชั้นดี
ใช้แหล่งแร่เหล็กแถวอัฟกานีสถาน



ที่มา: //writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=589




Create Date : 06 มิถุนายน 2557
Last Update : 12 ตุลาคม 2558 23:33:52 น. 0 comments
Counter : 6618 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอกไม้บานริมรั้ว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]






▼ ห้อง SHOP 1 ▼

เสื้อ
แขนกุด สายเดี่ยว
แขนสั้น
แขน 3-5 ส่วน
แขนยาว กันหนาว
-------------------------
กางเกง
กระโปรง
เดรส
รองเท้า
ชุดผ้าไหม ชุดไทยๆ
ผ้าคลุมไหล่ / ผ้าพันคอ / หมวก
ตุ๊กตา

[ วิธีสั่งซื้อ ]
[ อัตราค่าส่ง & ข้อชี้แจง ]

▼ ห้อง SHOP 2 ▼

!! Clearance SALE !!
ล็อต : (A) - (O)


ล็อต : (P)
ล็อต : (Q)
ล็อต : (R)

Friends' blogs
[Add ดอกไม้บานริมรั้ว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.