... Simplicity is Happiness ♥ ...
Group Blog
 
<<
เมษายน 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
3 เมษายน 2558
 
All Blogs
 
[เรื่องซึ้งๆ] เลือดแม่เพื่อลูก

มีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่ง นิยมขนส่งผู้โดยสารทางทะเลด้วยการใช้เรือเดินทะเล
เพราะเป็นสมัยที่การคมนาคมไม่สะดวก เกี่ยวกับเรื่องการใช้รถใช้เครื่องบิน จึงใช้เรือเป็นส่วนใหญ่

มีเรือขนส่งผู้โดยสารทางทะเลลำหนึ่ง
ได้นำผู้โดยสารมีจำนวนเป็นร้อยมุ่งหน้าสู่ทะเล จากฟากหนึ่ไปยังอีกฟากหนึ่ง

ในการเดินทางไปกลางทะเลครั้งนี้ ปรากฏว่าเมื่อเรือเดินทางไปถึงกลางทะเลได้ไม่นานเท่าใดนัก
ก็เกิดมีพายุพัดโหมกระหน่ำ กระทั่งเรือลำนี้ได้แตก จนถึงกับจะอับปางลง

ธรรมดาของเรือเดินทะเล จะต้องมีเรือเล็กที่เรียกว่า "เรือชูชีพ"
ขณะที่เรือจะอับปางเพราะพายุโหมกระหน่ำเช่นนั้น
ก็ได้มีการถ่ายเทขนคนจากเรือลำใหญ่ลงสู่เรือลำเล็ก

ด้วยความกลัวตายของคนในเรือ จึงมิได้คำนึงถึงเรื่องเสบียงอาหารหรือข้าวของที่ติดมา
ต่างก็รีบลงไปเอาตัวรอด คว้าสิ่งของเท่าที่จะหยิบติดมือไปได้จำนวนเล็กน้อย

ปรากฏว่า คนที่ลงไปในเรือมีหลายสิบคน ต้องอดข้าวอดน้ำเป็นเวลานาน
เพราะว่าข้าวปลาอาหารที่ได้หยิบติดมือมามีจำนวนน้อยได้หมดลง
ทำให้คนเหล่านั้นหิวโหย น้ำที่มีอยู่รอบเรือจะตักขึ้นดื่มก็ดื่มไม่ได้เพราะเป็นน้ำเค็ม
ซึ่งไม่มีประโยชน์ในการที่จะกลั้วคอแก้กระหายคลายความหิวได้

น้ำเค็มนี้เปรียบได้เหมือนกับว่า คนเราที่มีลูกหลายๆ คนอยู่รอบตัว
แต่ถ้าพึ่งพาอาศัยไม่ได้เลย ก็เท่ากับว่าเป็นเหมือนน้ำเค็มอยู่รอบตัว

ลูกที่ใจดำ ใจเค็มไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชรา ก็เหมือนกับน้ำเค็มในทะเล
ถึงจะมีเต็มทั่วไปทั้งทะเลมหาสมุทร แต่ก็ไม่สามารถจะแก้กระหาย
คลายความหิวของคนในเรือให้ชุ่มชื่นขึ้นมาได้

พ่อแม่ที่มีลูกหลายๆ คนอยู่รอบตัว
แต่ลูกๆ นั้นไม่ได้ทำความชุ่มชื่นในหัวใจให้แก่พ่อแม่เลย
ก็ไม่ต่างอะไรกับมีน้ำเค็มอยู่รอบตัว ! ….

เมื่อทุกคนในเรือต่างอดข้าวอดน้ำกันมาเป็นเวลานาน
จึงพลัดตกลงไปตายในทะเลทีละคนสองคน

ในเรือลำเล็กๆ ซึ่งมีคนลงไปได้ 10 คน 20 คนนั้น
จะเห็นว่า มีหญิงคนหนึ่ง ซึ่งมีลูกชายน้อยคนหนึ่งติดตามมาด้วย

ลูกชายของเธอก็หิวโหย เธอพยายามคลำหาน้ำรอบตัว
หาทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ให้ลูกได้ดื่มกินแก้หิวคู่ไปกับนมเธอ
จนกระทั่งในที่สุดน้ำก็หมด อะไรก็หมด เธอจึงได้ให้ลูกดื่มแต่น้ำนมในอก

ปรากฏว่า ลูกได้ดื่มน้ำนมจากเต้า จนน้ำนมแห้งจากเต้าแล้ว แต่ลูกก็ยังไม่หายหิวโหย
ได้ร้องไห้คร่ำครวญต่อไปอีก ด้วยใจรักลูกสงสารลูกเป็นกำลัง
ทำให้แม่ต้องคลำหารอบตัวอีกด้วยความทุกข์ใจกระวนกระวายใจ
อยากได้น้ำได้อะไรให้ลูกได้ดูดดื่มกิน

ขณะนั้น ลูกก็ยังร้องอยู่ทั้งแดดก็ร้อนเปรี้ยง เมื่อแดดส่องถูกหน้าลูก
แม่เกิดเมตตาสงสารลูกจับใจ ยอมสละอวัยวะที่ปกคลุมด้วยผ้าคือแผ่นหลัง
เพื่อปกป้องไม่ให้แดดต้องส่องผ่านหน้าลูก เธอจึงถลกเอาเสื้อมาคลุมหน้าให้ลูกน้อย
เพื่อจะได้คลายร้อน

จนกระทั่งที่สุด หลังแม่ก็แสบพองไหม้เกรียมจนแตกสะเก็ด
ประกอบกับน้ำเค็มที่เป็นกระไอมากระทบบนหลัง
ทำให้แสบสันหลังอย่างมาก แต่เธอก็ไม่หวั่นไหวสะทกสะท้าน
ได้พูดขึ้นกับลูกน้อยของเธอว่า

"เอาเถิดลูก ถึงหลังแม่จะแสบร้อนสักปานใด
ขอให้ดวงใจของแม่คือลูกอย่าได้ร้อนหน้า แสบหน้าเพราะแดดส่องเผาก็แล้วกัน
แม่ร้อนขอให้ลูกนอนเย็นเถอะ แม่จะเอาแผ่นหลังเป็นหลังคา
เอาหน้าอกเป็นเพดานป้องกันความร้อนให้ลูก
ถึงแม้ว่าหลังของแม่จะแห้งเกรียมไหม้ไปหมดก็ตาม
ขอให้หน้าลูกของแม่ได้ร่มไว้ก็แล้วกัน แม่ยอมได้ทุกอย่างเพื่อลูกของแม่"

นางทนต่อไปจนแสนทน อดทนทั้งกายและใจเพื่อลูกของเธอ
นมในเต้าของเธอก็หมดเสียแล้ว เมื่อเห็นลูกมีอาการเหมือนจะสิ้นใจเพราะความกระหายน้ำ
จึงคิดว่าจะปล่อยให้ลูกตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ต้องคิดหาทางแก้ไขช่วยลูกให้ได้

เธอจึงได้พยายามคลำหาสิ่งต่างๆ รอบตัวอีกครั้ง เพื่อประทังความหิวกระหายให้ลูกให้ได้
แต่เมื่อเธอคลำไปคลำมาก็ไม่พบสิ่งอะไรอื่น เอามือคลำไปในกระเป๋า
ก็ได้พบเอาของแข็งมีคม สิ่งหนึ่งคือมีด เธอจึงได้หยิบมีดเล่มนั้นออกมา

นางหยิบขึ้นมามิใช่เพื่อจะเชือดใคร มิใช่จะเชือดลูก
นางคิดว่าคงจะเป็นวิธีสุดท้ายแล้วที่จะช่วยลูกให้มีชีวิตอยู่ได้
ไม่ให้ลูกต้องอดน้ำตายอดนมตายต่อหน้า

เธอกำมีดแน่น แล้วรำพึงกับลูกน้อยว่า

"เอาเถิดลูก ถึงแม้แม่จะไม่มีน้ำรอบตัวให้ลูกดื่ม แต่แม่ก็ได้เห็นว่า
น้ำส่วนหนึ่งในร่างกายของแม่นี่แหละ ที่จะแก้กระหายของลูกได้
เดี๋ยวแม่จะหาทางทำให้มันไหลออกมา จะต้องเอาออกมาให้ลูกแก้หิวให้ได้"

ในที่สุดเธอก็เอามีดเล่มนั้นกรีดลงไปที่ข้อมือของตน แม้จะต้องเจ็บปวดปานใดก็ตาม
ด้วยความรักของแม่ที่มีต่อลูกน้อย แม่ก็ยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อลูกได้

เมื่อมีดกระทบเข้าไปในผิวหนัง เลือดได้ทะลักไหลออกมา
เธอได้รีบประคองเอาปากแผลที่เลือดไหลออกมานั้น แตะลงไปที่ปากของลูก

ด้วยความไร้เดียงสาของลูกน้อยนั้น ไม่รู้หรอกว่าน้ำที่แตะปากตนนั้นเป็นเลือดของแม่
ด้วยความกระหาย ด้วยความไร้เดียงสาจึงทำให้หนูน้อยผู้นี้ได้ดื่มเอาๆ จากเลือดของแม่
ทำให้เลือดในร่างกายของแม่ต้องเหือดแห้งไปๆ

ลูกดื่มเลือดจนแม่ซีดเซียว เรี่ยวแรงแม่ก็หมดไป เลือดก็หมดไป
แต่น้ำใจรักลูกมิได้เหือดแห้งไปตามสายเลือดที่ลูกดูดดื่มไปเลยแม้แต่น้อย
หญิงผู้นี้ น้ำใจประเสริฐจริงๆ ที่สละเลือดเพื่อลูกได้

ปรากฏว่า เมื่อแม่นั้นเสียเลือดซูบซีด จนถึงกับหมดแรง เธอก็ได้ล้มฟุบสลบไป
ฟื้นคืนสติขึ้นมาก็เห็นลูกน้อยของเธอลืมตาปริบๆ เมื่อเห็นลูกน้อยยังไม่ตาย เธอก็ดีใจพูดว่า

"ถึงเลือดในร่างกายแม่จะเหือดแห้งไปจนหมดก็ตาม
แต่ขออย่าให้ชีวิตของลูกหลุดออกไปจากร่างที่แม่รักถนอมเลย
ถึงแม้ว่าอะไรในร่างกายของแม่จะต้องออกไปเสียไป แม้กระทั่งชีวิตและเลือดเนื้อ
แม่ก็พร้อมที่จะเสียสละได้ เพื่อให้เหลือไว้ซึ่งชีวิตของลูกก็แล้วกัน
แม่ยอมทุกอย่างที่จะหลั่งออกมาเลี้ยงชีวิตลูกเอาไว้"

ในที่สุดเรือลำนั้น ก็ได้ถูกคลื่นซัดเข้าสู่ฝั่ง ทุกคนในเรือเมื่อเรือเกยฝั่ง
ก็พยายามรีบตะเกียกตะกายขึ้นสู่ฝั่ง
แต่ไม่มีใครได้เหลียวแลหญิงแม่กับลูกสองคนนั้นเลย
เพราะตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอด ถ้าไปช่วยด้วยก็จะไม่ไหว
เพราะต่างคนต่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเต็มทีแล้ว
จึงทำให้แม่และลูก ถูกทอดทิ้งอยู่เพียงสองคนเท่านั้นเอง

หญิงผู้เป็นแม่ พยายามประคองลูกน้อยลงจากเรือ เพื่อไปแสวงหาอาหารรับประทาน
เพราะทุกคนเขาได้พยายามไปหาอาหารกันหมดแล้ว ปรากฏว่า
ด้วยความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของแม่ พยายามจะประคองลูก
แต่ก็ต้องล้มลงไปและล้มลงไปอีกถึง 2 ครั้ง 3 ครั้ง
ไม่สามารถจะพาลูกและตัวเองลงจากเรือได้

ในที่สุดเธอก็พยายามรวบรวมกำลังเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อจะขึ้นจากเรือนั้นให้ได้
แต่แล้วด้วยความหมดแรง พอเธอจะก้าวลงจากหัวเรือก็ได้พลัดตกลงไป…

ด้วยความรักที่มีอยู่ในหัวใจของแม่อย่างเปี่ยมล้น
เธอได้พยายามเบี่ยงตัวขึ้นเอาหลังกระแทกลงไปกลับพื้น
เพื่อจะให้ร่างของลูกนั้นทับลงไปที่อกของแม่

เมื่อลูกน้อยทับลงมาที่หน้าอกแม่อยู่ มองหาไม่มีอะไรที่จะดื่มได้จากอกของแม่
เพราะเลือดในอกของแม่ที่เหือดแห้ง น้ำนมในเต้าก็หมดสิ้น
ลูกนั้นจึงคลาน หาสิ่งมาแก้หิวอยู่เสมอ พยายามจะคลานออกไปจากแม่ แม่ก็ได้พยายามดึงลูกไว้

แต่แล้วปรากฏว่า แรงของแม่ไม่มีเพราะไม่ได้รับประทานอาหารและน้ำ
กับทั้งยังถูกลูกดื่มเลือดไปจากแผลที่ตนกรีดให้ลูกได้ดื่มนั้นอีก
จึงทำให้แม่หมดแรง ไม่สามารถจะรั้งลูกไว้ได้

แล้วในที่สุด บัดนี้หูตาของผู้เป็นแม่ก็เริ่มพร่าพรางแทบจะสิ้นชีวิตอยู่แล้ว
ก่อนจะสิ้นใจแม่จึงได้ออกปากฝากฝังลูกไว้กับแม่พระธรณีว่า

"แม่พระธรณีจ๋า ฉันไม่สามารถจะเป็นมารดาที่เลี้ยงลูกคนนี้ต่อไปได้อีกแล้ว
เพราะชีวิตของฉันคงจะสิ้นลงเพียงแค่นี้ ขอฝากลูกไว้กับแม่ธรณี
ขอแม่ธรณีได้โปรดช่วยเลี้ยงดูลูกฉันทีเถิด"
แล้วเธอก็ฟุบหน้าสิ้นชีวิต

ต่อมา หลังจากนางได้ฟุบลงไปกับแม่พระธรณีและสิ้นชีวิตไป
เวลาเย็นในวันนั้นเอง ได้มีชาวประมงซึ่งนำเรือเข้าสู่ฝั่ง
มาเห็นเด็กน้อยกำลังร้องไห้ ครวญครางคลานอยู่ จึงได้เข้าไปอุ้มขึ้นมา

เมื่ออุ้มขึ้นมาก็ได้เห็นเลือดติดปากเด็ก นึกเอะใจว่า
คงจะเกิดอะไรขึ้นในแถวนี้เป็นแน่ จึงได้เดินดูบริเวณใกล้ๆ ที่เด็กคลานอยู่

เดินดูได้ครู่หนึ่งก็ได้พบศพของหญิงนอนคว่ำหน้าอยู่บนพระธรณีข้างหัวเรือ
จึงได้พลิกร่างศพของหญิงคนนั้นหงายขึ้น แต่แล้วก็ต้องทึ่งใจ
เพราะเห็นข้อมือของศพหญิงที่มีแผลอยู่ และมีเลือดเกรอะกรัง
ซึ่งเลือดที่ข้อมือนั้นก็เป็นเลือดสีเดียวกับเลือดที่ติดปากของเด็ก จึงมั่นใจ

ทำให้ชาวประมงผู้นี้ฉุกคิดขึ้นว่า ผู้หญิงนี้จะต้องเป็นแม่ของเด็กคนนี้แน่นอน
เธอคงจะรอนแรมหลงทางมาในกลางทะเล จนน้ำและอาหารหมด
ลูกเกิดหิวโหยร้องครวญคราง ด้วยหัวใจที่รักลูกสงสารเป็นกำลังใจ
แม่คนนี้คงจะต้องสละเลือดเพื่อให้ลูกได้ดื่มแก้หิว

ชาวประมงได้รำพึงว่า "โอ ! หญิงนี้ช่างประเสริฐ มีน้ำใจอันเลอเลิศในความเป็นแม่
เป็นหญิงที่ประเสริฐเลิศคนหนึ่ง ในบรรดาผู้ที่เป็นแม่อันประเสริฐทั้งหลาย"
แล้วชาวประมงก็ได้นำเด็กน้อยนั้นไปเลี้ยงไว้

เมื่อเด็กนั้นโตขึ้น ได้รบเร้าถามชาวประมงว่า "ลุงจ๋า ! แม่ของหนูอยู่ไหน
หนูอยากจะพบแม่ หนูอยากจะเห็นแม่ หนูอยากจะอยู่ใกล้แม่
หนูอยากจะเรียกแม่ หนูอยากจะทำอะไรๆ อยู่ใกล้ๆ แม่เหลือเกิน แต่…แม่หนูอยู่ที่ไหน?"

ชาวประมงเห็นว่า เด็กนี้ก็อายุมากพอสมควรจะได้รู้ความจริงเสียที
จึงได้บอกว่า "ลุงจะเล่าเรื่องราวให้ฟัง วันหนึ่ง ลุงได้นำเรือกลับจากการไปทำประมงที่ทะเล
เมื่อกลับมาถึงฝั่งก็ได้พบเจ้าเที่ยวคลานร้องไห้อยู่ และมีเลือดติดอยู่ที่ปากเกรอะกรัง
ลุงจึงได้ตามหาแม่ของเจ้า ไปพบแม่เจ้ามีบาดแผลที่ข้อมือ
และมีเลือดติดอยู่ที่บาดแผล นอนตายคว่ำหน้าบนแผ่นดินข้างหัวเรือ
เมื่อพลิกดูเห็นเช่นนั้นก็รู้ได้แน่ว่าต้องเป็นแม่ของเจ้า
เพราะคงต้องกรีดข้อมือเพื่อสละเลือดให้เจ้าดื่มกิน
เลือดที่ปากของเจ้าก็เป็นสีเดียวกัน ลุงจึงได้เอาแม่เจ้าไปฝังไว้ที่ใกล้โคนต้นสน"

จากนั้นชาวประมงนั้นก็ได้พาหนูน้อยคนนี้ไปที่หลุมฝังศพผู้หญิงซึ่งเป็นแม่ของเด็กคนนั้น
ที่ริมชายหาด เมื่อหนูน้อยไปที่หลุมฝังศพ ก็ได้ผวาเข้าไปกอดหลุมฝังศพ
พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญรำพันว่า "โถ ! แม่ ทำไมแม่จึงได้จากลูกเร็วเช่นนี้
ทำไมไม่มีโอกาสอยู่ให้ลูกได้ทำหน้าที่ตอบแทน แม่เป็นผู้ที่เสียสละให้ลูกถ่ายเดียว
เมื่อไรลูกจะได้มีโอกาสเป็นผู้เสียสละทดแทนคุณแม่ได้บ้าง…"

ลุงเห็นว่า หนูน้อยนี้คร่ำครวญอยู่นานแล้ว จึงได้ไปรั้งร่างของหนูน้อยขึ้นมา
ลูบหลังลูบไหล่พูดปลอบใจว่า "เอาเถอะ ! ถึงแม่เจ้าจะสิ้นไปแล้ว
ถ้าเจ้าคิดจะตอบแทนละก็ ขอให้เจ้าจงมุ่งมั่นในความดี ทำความดีทุกวิถีทางในชีวิตของเจ้า
เมื่อขณะที่เจ้าเรียนก็ขอให้เรียนให้ดีที่สุด เมื่อเจ้าโตจะทำงานทำการ
ก็ขอให้เจ้าจงทำงานในหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด
และเมื่อเจ้าจะบวชเณรบวชพระก็ขอให้เจ้าบวชให้ดีที่สุด…
เมื่อแม่ของเจ้ารับรู้อยู่ด้วยญาณวิถีอันใด ก็คงจะชื่นใจที่สุด ในการให้เกิด ในการปกป้อง
ในการประคองชีวิตของเจ้า จนกระทั่งเจ้าได้รอดตัวมาจนถึงทุกวันนี้
แม่คงจะปลื้มใจอยู่ในสุคติโลกสวรรค์ ถึงแม้แม่เจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่เจ้าก็ยังทำความดีให้แม่รับรู้ได้"

"ไม่แน่หรอกลูกเอ๋ย ! หลานเอ๋ย ! บางคนถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับแม่
แม่ก็อยู่ตัวเองก็อยู่ แต่ได้สร้างความอดสูบอบช้ำใจให้แก่แม่มากมาย
เพราะเผลอไผลไปตามความรื่นเริง ตามเพื่อนที่ชักชวนไปในทางผิดๆ ตามสิ่งที่ยั่วยวน
จนกระทั่งถูกแมลงของคุณธรรมข้อนี้กัดกินจนจิตใจไม่ได้เหลือความรักแม่กตัญญูต่อพ่อแม่
เมื่อเจ้าเกิดจิตสำนึกรู้สึกหวนระลึกนึกจะทดแทนคุณพ่อแม่ของเจ้าแล้วก็ บัดนี้
นับว่าหัวใจของเจ้ามีปุ๋ยมนุษย์คือคุณธรรมข้อนี้หว่านโปรยลงมาแล้ว
และก็ขอให้เจ้ารักษาความรู้สึกนึกคิดจะทดแทนคุณของแม่นี้ไว้ให้ดี
ด้วยการทำแต่สิ่งที่ดีงามไว้ทุกๆ วัน แม่เจ้านั้นรับทราบได้ด้วยวิถีทางใด
คงจะอิ่มใจปลื้มใจอยู่ในที่นั้นทุกวันไม่รู้ลืม

"ใครที่คิดว่าแม่ของเจ้าตาย หรือใครที่คิดว่าแม่ของเขาตายจากเขาไปแล้ว
ก็นับว่าเขาเข้าใจผิดนะลูก แม่ของเจ้าน่ะ ! ยังไม่ตาย เพราะว่าแม่ก็คือ
เลือดเนื้อในกายของเจ้าอยู่เหมือนกัน เพราะแม่เป็นผู้ให้ชีวิตให้ก้อนเลือดก้อนเนื้อของเจ้ามา
ฉะนั้น ก้อนเลือดก้อนเนื้อยังมีอยู่ในชีวิตของเจ้า ก็เท่ากับว่าแม่ของเจ้ายังอยู่
เจ้าจงถนอมก้อนเลือดก้อนเนื้อและชีวิตอันนี้ไว้เพื่อทำแต่ความดีเท่านั้น ไม่ทำความชั่ว"



เรื่องจาก //www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=20995 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต




Create Date : 03 เมษายน 2558
Last Update : 17 เมษายน 2558 11:59:37 น. 0 comments
Counter : 1426 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอกไม้บานริมรั้ว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]






▼ ห้อง SHOP 1 ▼

เสื้อ
แขนกุด สายเดี่ยว
แขนสั้น
แขน 3-5 ส่วน
แขนยาว กันหนาว
-------------------------
กางเกง
กระโปรง
เดรส
รองเท้า
ชุดผ้าไหม ชุดไทยๆ
ผ้าคลุมไหล่ / ผ้าพันคอ / หมวก
ตุ๊กตา

[ วิธีสั่งซื้อ ]
[ อัตราค่าส่ง & ข้อชี้แจง ]

▼ ห้อง SHOP 2 ▼

!! Clearance SALE !!
ล็อต : (A) - (O)


ล็อต : (P)
ล็อต : (Q)
ล็อต : (R)

Friends' blogs
[Add ดอกไม้บานริมรั้ว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.