ラブラブ山コンビ

laruku_poy
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




B Type, Fangirling, ติ่งไปวันๆ


5 X 10 - ARASHI
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
14 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add laruku_poy's blog to your web]
Links
 

 
[Fic] Weak Season : Part 1[Tomo/Ryo] Rate: PG (this part)

WARNING



***ผลงานทั้งหมดได้รับความคุ้มครองตาม พรบ.ลิขสิทธิ์***

Fiction เรื่องนี้เป็น Shonen Ai & YAOI's Fiction
ถ้าคุณรู้จักคำนี้และรับได้เลื่อนลงไปอ่านด้านล่างได้เลย
แต่...ถ้าคุณไม่รู้จัก...จงอ่านคำเตือนดังต่อไปนี้แล้วตัดสินใจ

Shonen Ai = เป็นศัพท์เรียกmanga ชนิดหนึ่งทีว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย เป็นไปในเชิงการแสดงออกซึ่งความสวยงามซึ่งความรัก มักไม่มีการแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์ในรูปแบบรูปธรรมอย่างชัดเจนนัก จัด Rate ไว้ที่ G - PG 13

YAOI = เป็นศัพท์เรียกmanga ชนิดหนึ่งทีว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย มักมีฉากที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความรักของคนสองคนอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน จัด Rate ไว้ตั้งแต่ R ขึ้นไป

ปัจจุบันทั้งสองคำนี้ใช้อธิบายFictionที่มีเนื้อหาประเภทเดียวกันด้วย

Fictionนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของคนเขียน ถ้าคุณรับไม่ได้ก็ปิดหน้านี้ไปซะ
ถ้าคุณยังขืนดื้อดึงอ่านมันแล้วรู้สึกแย่ ก็เรื่องของคุณเพราะถือว่าได้เตือนแล้ว
แต่ถ้าดื้อด้านแล้วยังวางตัวไม่เหมาะสมด้วยการคอมเมนต์ด้วยความคิดเห็นที่ไม่เข้าท่าของคุณ
ก็คงบอกได้แต่เพียงว่า
คุณเป็นคนที่สังคมนี้คงไม่ต้องการเท่าไหร่ล่ะนะ



















































Title: Weak Season
Author: tsuzureori (copy right 2006 larukupoy’s blog & Ryotan_Ryofic Board)
Category: AU/Slash
Pairing: Tomohisa/Ryo
Rating: PG (this part)
------------------------------------------------------------------------------------------
Part 1


เสียงของส้นรองเท้าที่กระทบพื้นคอนกรีตของถนนเป็นจังหวะช้าๆ ไม่ได้ทำให้เจ้าของฝีเท้าเร่งขึ้นมาแต่อย่างใด...
เพราะว่าเสียงกรุ๊กกริ๊กจากเหรียญที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงกระทบกันเอง เป็นสิ่งที่บอกเขาได้เป็นอย่างดีว่า ถึงจะรีบร้อนไปซักแค่ไหน...แต่ทรัพย์ที่มีมันก็ไม่เอื้ออำนวยแล้ว
จะว่าไป....การที่เขามาถึงที่นี่ได้ก็เข้าขั้นปาฏิหาริย์เหมือนกัน....ด้วยเงินติดตัวไม่ถึงสองหมื่นเยน...ไม่น่าเชื่อว่ามันจะทำให้เขามาถึงอาโอโมริในเวลาเช้าตรู่เยี่ยงนี้ได้
แสงสีทองอ่อนๆกำลังจับ ณ เส้นขอบฟ้าไกลๆ ช่วยไล่บรรยากาศขมุกขมัวของไอหมอกและความหดหู่ยามค่ำคืนไปได้เยอะ
แม้ว่าเวลานี้ลมฤดูร้อนจะพัดโชยไปทั่วทุกหนแห่ง...ใครซักกี่คนจะรู้ว่าความเย็นสบายในบรรยากาศของชนบททางเหนือของญี่ปุ่นแบบนี้ กลับทำให้เขาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของคำว่าไร้ความกังวล...

ไม่ใช่แค่กาย...แต่ใจที่เคยร้อนรุ่มกลับคลายความเร้าร้อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ....

ชานเมืองอาโอโมริยามเช้าแบบนี้...ถ้าเป็นเมื่อสิบสองชั่วโมงก่อนคงเป็นที่สุดท้ายที่เขาคิดจะมายืนอยู่เพียงลำพังเหมือนอย่างขณะนี้แน่นอน...
ตึกรามสองข้างทางของถนนสายยาวที่ทอดตัวแยกออกมาจากไฮเวย์ยังคงปิดตัวแน่นสนิท...นี่คงเช้าไปสำหรับการมาเยือนของคนแปลกหน้าในเมืองเล็กๆแห่งนี้...

....ความสงบที่เขาไม่เคยคิดถึงมานานหลายปีกำลังจะได้พบ ณ ที่แห่งนี้อย่างงั้นหรือ...

ริมฝีปากอิ่มยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับพึงพอใจในการตัดสินใจของตัวเอง...มือใหญ่กระชับสายเป้สะพายหลังให้แน่นเพื่อให้สะดวกในการเดินมากขึ้น...
แต่มือเรียวยาวก็ไม่วายลูบคลำกระเป๋าที่สะพายอยู่ทางด้านซ้ายด้วยความลืมตัว...ถึงแม้ว่ากระเป๋าใบนี้จะไม่ใช่ใบเดิมที่เคยสะพายอยู่เป็นประจำ...ของในกระเป๋าใบนี้จะไม่ใช่ของชิ้นเดิมที่เคยอยู่ตรงนี้ประจำ...
...แต่มันก็ทำจนติดเป็นนิสัยไปเสียแล้วล่ะนะ...ชายหนุ่มอดที่จะแค่นยิ้มกับตัวเองไม่ได้...เมื่อความคิดในด้านลบมักจะทำให้เขาอ่อนไหวเสมอ....

เขากระพริบตาถี่ๆเพื่อขับไล่ความขุ่นมัวในจิตใจ...นี่เขามัวแต่คิดเรื่องที่มันผ่านไปแล้วให้ได้อะไรขึ้นมานะ...
เมื่อมองไปรอบๆตัวแสลงสลัวยามเช้าแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นบรรยากาศรอบตัวได้ อาคารพาณิชย์สองข้างทางมีเป็นระยะๆ ไม่ห่างกัน แต่ก็ไม่แน่นสนิทจนหาช่องว่างไม่ได้อย่างเช่นเมืองใหญ่ หรือเมืองท่าริมทะเลอื่นๆ มองไปไกลๆ ยังเห็นทุ่งหญ้าปศุสัตว์ที่ยังคงเป็นสีเขียวเข้มเพราะความมืด ภูเขาอิวากิสูงตระหง่านมองเห็นได้จากที่นี่...
ธรรมชาติยิ่งใหญ่เสมอ...ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติไม่เคยให้ร้ายแก่มนุษย์...ถ้าเพียงแต่มนุษย์ไม่ขวนขวายหาหนทางเพื่อเอาชนะธรรมชาติจนเกินขอบเขตแห่งความพอดี...
ที่เขาต้องมาที่นี่...อาจเป็นเพราะว่าเขาไขว่คว้าในสิ่งที่เกินกำลังของตัวเองก็เป็นได้...

...สายลมอ่อนๆกรุ่นกลิ่นหอมบางเบาโชยมาปะทะใบหน้าคมสัน...แล้วด้วยอะไรบางอย่างทำให้เขาหยุดที่จะนึกถึงสิ่งที่ผลักดันให้เขาเดินทางมาจนถึงที่นี่ไว้ชั่วคราว...จนชายหนุ่มละความสนใจในสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ไปโดยไม่รู้ตัว....

ทางเดินข้างหน้ายังคงทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด...แต่ทำไมแสงไฟสีขาวจากหลอดนีออนหลอดหนึ่งถึงทำให้เขาหยุดสายตาลงได้นะ...หรือจริงๆแล้วมันเป็นเพราะเขาเห็นใครบางคนซึ่งกำลังก้มๆเงยๆอยู่ตรงนั้นกันแน่…

ร่างเล็กบางดูคุ้นตาจนเขาหวนประหวัดไปถึงใครบางคนที่จากมาไม่ได้...ผมสีดำสนิทยาวระเรื่อยต้นคอแต่เจ้าของคงจะรำคาญจัดถึงได้จงใจผูกลวกๆไว้ตรงท้ายทอย...
แขนเรียวเล็กทั้งสองข้างกำลังยกหม้ออะลูมิเนียมใบใหญ่ขึ้นจากพื้นเพื่อวางบนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าอาคาร...ริมฝีปากบางหลุดสบถเบาๆเมื่อหม้อที่ตนยกกระแทกเข้ากับโต๊ะ
อากัปกิริยาเหล่านั้นทำให้ชายหนุ่มที่ไม่รู้ตัวเองเลยว่ายืนมองคนตรงหน้าได้อยู่พักใหญ่แล้วอดขำขึ้นมาไม่ได้...

แม้จะเป็นเพียงการหัวเราะเบาๆในลำคอ แต่ด้วยความเงียบในยามเช้ามันก็ดังพอจะเรียกความสนใจอีกฝ่ายได้อย่างดีทีเดียว...

...ใครบ้ามาเดินท่อมๆตอนเช้าอย่างนี้วะ...นั่นเป็นความคิดแรกของคนซึ่งกำลังง่วนกับงานประจำที่ทำอยู่ทุกเช้าคิดขึ้นมาได้...และเพราะความเป็นคนคิดไว ปากที่ไวตามความคิดจึงต้อง...

“นี่!!! นายน่ะ...ยืนมองตั้งนานแล้ว จะมาถ่ายรูปหรือจะซื้อน้ำเต้าหู้ ฮ๊ะ!!!”

สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงการเลิกคิ้วเล็กน้อยราวกับต้องการถามว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไร

“เอ้า!! ถามไม่ได้ยินหรือไง ยืนมองอยู่ตั้งพักนึงแล้ว ถ้าไม่ซื้อหรือไม่ถ่ายรูปก็กรุณาไปยืนที่อื่นซะ มันเกะกะรู้มั๊ย!!”

พูดจบก็สบถอย่างหัวเสีย นี่จะต้องผจญกับลูกค้าทุกเช้ายังไม่พอวันนี้ต้องมาเจอคนเป็นใบ้ด้วยหรือไงวะเนี่ย...

“ขอโทษครับ...เมื่อกี้คุณพูดกับผมใช่ไหม”
มือเล็กๆที่กำลังหยิบแก้วกระดาษขึ้นมาจากกล่องชะงักไปนิดเมื่อคนที่เขาคิดว่าคงเป็นใบ้กลับพูดออกมา

“เออ คงพูดกับหมาที่กำลังจะฉี่รดนายล่ะมั้ง”
พูดพลางบุ้ยใบ้ไปยังสุนัขจรจัดที่ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ จนทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว รีบสาวเท้าหนีสุนัขที่ยืนอยู่ใกล้จนเกินไป จนมายืนใกล้กับอีกฝ่าย...ถึงได้รู้ล่ะว่าคนที่เขาคิดว่าตัวเล็กๆคนนี้ นิสัยไม่เล็กอย่างตัวเลยจริงๆ

“เฮ่!! นายนี่ยังไง ร้านฉันมีแต่ของซื้อของขายนะ ไม่ซื้อไม่ขายก็ไปที่อื่นสิ” คนตัวเล็กกว่าทั้งผลักทั้งดันอีกฝ่ายให้ออกไปจากบริเวณที่เขาถือสิทธิครอบครอง

“เอ่อ..ขอโทษครับ...ผมไม่เข้าใจที่คุณพูดจริงๆ”
ชายหนุ่มคิดอย่างปวดหัวว่าความสงบที่เขาคิดว่าคงได้รับเมื่อมาถึงที่นี่นั้นได้ห่างไกลจากความเป็นจริงไปทุกทีเพราะร่างเล็กบางแต่เอาเรื่องที่กำลังดันหลังเขาอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ตอนนี้แน่ๆ
แต่ไม่ทันไรแรงที่เคยดันอย่างสุดแรงด้านหลังก็ลดลงไปทันที จนเขาต้องหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ

“นายมาจากโตเกียวหรือไง” อีกฝ่ายถามเขาอย่างจริงๆจังๆ

“ครับ... จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
ท่าทีแข็งกระด้างที่เคยได้รับอ่อนลงไปบ้าง
“แล้วก็ไม่บอกนะนายนี่ ฉันก็นึกว่านายเป็นคนที่นี่ เมื่อกี้คงไม่รู้เรื่องล่ะสิ ภาษาท้องถิ่นที่นี่แรกๆก็ไม่เข้าใจหรอก นานๆไปคงชินล่ะ”

ที่นี่ของคนตัวเล็กกว่าคนนี้คงหมายถึงอาโอโมริล่ะมั้ง เขาก็พอรู้อยู่ว่าภาษาที่ใช้ทางเหนือนี้ถึงจะเป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่สำเนียงกลับต่างออกไป สำหรับคนต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเขา จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ

“เมื่อกี้ฉันถามนายว่า นายจะซื้อน้ำเต้าหู้หรือว่าจะถ่ายรูป ถึงได้ยืนมองเป็นพักแบบนั้นน่ะ แต่ว่ามันยังไม่พร้อมทั้งสองอย่างหรอกนะ”

ท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้น ราวกับพร้อมจะช่วยเหลือทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ
ชายหนุ่มมองป้ายที่แขวนเหนือขึ้นไปบนหัวเขา ก็เห็นว่าอาคารที่อีกฝ่ายกำลังง่วนจัดแจงร้านที่คิดว่าคงขายน้ำเต้าหู้อยู่ด้านหน้านั้นเป็นร้านถ่ายรูป
ประตูบานเฟี้ยมแบบโบราณเปิดแง้มพอที่จะให้เห็นว่า ตู้กระจกที่ตั้งภายในมีภาพอัดขยายของลูกค้าตั้งโชว์อยู่

ร้านถ่ายรูปงั้นเหรอ....บังเอิญเกินไปหรือเปล่านะ

“เฮ้อ~~ นายนี่ยังไงนะ!! ว่าไงล่ะ อย่าให้ฉันต้องเหนื่อยแต่เช้าได้ไหม จะซื้อน้ำเต้าหู้ก็มาช่วยกัน แต่ถ้าจะถ่ายรูปก็รอจนแปดโมงเช้าก็แล้วกัน”

ถึงขนาดจะต้องหยุดมือมาซักไซ้เขาเพื่อให้ได้คำตอบแบบนี้...ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้นี่คือว่าน้ำใจที่ได้รับจากคนแปลกหน้าซึ่งไม่ได้รู้จักกัน...ที่เขาเหินห่างไปนานใช่ไหม...

“ผม...เอ่อ...” คนตัวเล็กมองคนตัวสูงกว่าควักเศษสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วก็ตัดสินใจถามไปว่า

“ไม่มีเงินงั้นเหรอ...”
คนถูกถามยิ้มแกนๆ นี่เขาดูอยากจนขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย

“ก็...ใช่ครับ..เหลืออยู่....เอ่อ...ห้าร้อยเยน” ยิ้มแห้งๆให้กับอีกฝ่าย
เขาเพิ่งรู้ตัวการใช้มากๆพลังงานยามเช้าทำให้หิวขึ้นมาได้เหมือนกัน แค่อีกฝ่ายถามขึ้นมาเขาก็รู้สึกว่าน้ำเต้าหู้ธรรมดาๆในหม้อที่กำลังอุ่นได้ที่มันช่างน่าเอร็ดอร่อยกว่าอาหารหรูหราราคาแพงระยับตามภัตตาคารเสียอีก

เจ้าของร้านน้ำเต้าหู้กัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ...
“นายสนใจจะทำงานพิเศษไหม”

“ฮ๊ะ!! อะไรนะครับ”
เสียงสูงขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันต้องตกใจอยู่แล้วล่ะ อยู่ๆก็มีคนให้งานทำง่ายๆแบบนี้

“งานพิเศษน่ะ สนใจมั๊ย เงินไม่เยอะหรอกนะ แต่คงพอจะให้นายมีค่าอาหารได้บ้างล่ะ”
ว่าที่นายจ้างเสนองานให้พร้อมกับค่าตอบแทน ยุ่งๆแบบนี้ทำคนเดียวมันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ มันน่าเขกกะโหลกเจ้าหน้าเหลี่ยมนั้นจริงๆเลย มาลากลับบ้านทั้งๆที่รู้ว่ายุ่งอย่างนี้เนี่ยนะ

“งานอะไรครับ”
เขารู้ว่าเขาไม่อยู่ในฐานะที่เลือกได้มากนัก แต่อย่างน้อยเขาคิดว่ามันก็เป็นสิ่งที่เขาควรจะได้รู้บ้างว่างานที่เขาคิดตอบตกลงทำมันเป็นยังไงและอีกอย่างเรื่องเล็กน้อยแบบนี้แต่มันสามารถวัดความจริงใจของคนได้เหมือนกัน

“ไม่มีอะไรมาก...ช่วยงานที่ร้าน เช้าถึงเย็น รับเงินหลังเลิกงานทุกวันตอนเย็น วันละสามพันเยน ทำได้ไหมล่ะ”
เป็นรายได้ที่ดีหรือไม่เขาไม่รู้หรอก แต่ชนบทห่างไกลแบบนี้เงินสามพันเยนต่อวันมันก็มากเอาการอยู่ ถ้าเพียงเขามีที่พักแล้วนะ แต่ตอนนี้เขาจะหาที่พักจากไหนยังนึกไม่ออกเลย

สีหน้ายุ่งยากใจของชายแปลกหน้าที่พบในยามเช้าทำให้ผู้ยื่นข้อเสนอเข้าใจไปอีกทาง

“มากกว่านี้ฉันก็ลำบากเหมือนกันนะ งานมันไม่หนักเกินเงินที่จะได้รับหรอกหน่า”

“ไม่ใช่ครับ...คือผมขอเปลี่ยนเป็นที่พักกับอาหารสามมื้อแทนได้ไหม...ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นการขอมากเกินไป..” ชายหนุ่มออกตัวเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะคัดค้าน
“แต่ผมเพิ่งมาถึง...ยังไม่มีที่พัก แถมเงินก็ยังมาหมดอีก...แค่คุณเสนองานให้ก็ซาบซึ้งแล้วครับ...แต่เพราะว่าผมเดือดร้อนจริงๆ เพราะฉะนั้นขอความกรุณาด้วยนะครับ”

ข้อเสนอที่คาดไม่ถึงจากคนแปลกหน้าที่โค้งจนตัวขนานกับพื้นคนนี้ ทำให้คนได้ยินถึงกับอึ้งไปถนัดใจ...นี่เขาไว้ใจคนง่ายไปหน่อยหรือเปล่าเนี่ย...โธ่โว้ย!!...นิสัยแบบนี้แก้ไม่หายจริงๆ

“นี่นายคิดว่าฉันจะยอมให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาอาศัยอยู่ด้วยง่ายๆหรือไง”

ชายหนุ่มรู้ว่ามันไม่ง่ายแม้ซักนิด หากเป็นตัวเขาเองเจอสถานการณ์แบบนี้ยิ่งไม่มีทางยอมแน่นอน แต่เพราะด้วยอะไรบางอย่างที่เขาสัมผัสได้แต่ไม่สามารถอธิบายได้จากคนๆนี้ ทำให้เขามั่นใจว่า...มิตรภาพแรกที่เขาจะได้รับจากเมืองนี้ต้องมาจากชายหนุ่มร่างเล็กเจ้าของดวงตาสุกใสเป็นประกายราวกับแก้วที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้แน่นอน

“ขอความกรุณาด้วยครับ”
ประโยคเดียวที่สามรถพูดได้ตอนนี้ เขาไม่หวังอะไรมากไปกว่าคำว่า’ตกลง’จากคนๆนี้แล้ว...
ความเงียบชั่วอึดใจทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังถูกตัดสินโทษ

“เสร็จงานวันนี้...นายจะได้คำตอบ ตกลงหรือป่าว”
อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่คำปฏิเสธ ซึ่งถ้าเขาไม่ตีความเข้าข้างตัวเองก็แปลว่าเขาได้รับโอกาสให้พิสูจน์ตัวเองใช่ไหม

“ครับ!!! ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มรับคำด้วยความดีใจ

“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณ เก็บคำขอบคุณไว้ใช้ตอนเย็นดีกว่า”
ร่างสูงอดยิ้มไม่ได้ คนตัวเล็กปากร้ายคนนี้ ใจดีจนเหลือเชื่อจริงๆ

“ฉัน นิชิกิโด้ เรียว นายชื่ออะไร”
นายจ้างใจดีแนะนำตัวเองหลังจากที่เพิ่งรู้ตัวว่า รับคนเข้าทำงานทั้งๆที่ยังไม่รู้จักชื่อแซ่แม้ซักนิด…ให้มันได้อย่างนี้สิเรียวเอ๊ย!!!~

“ยามะชิตะครับ.... ยามะชิตะ โทโมฮิสะ”

“โอเค...ยามะชิตะ ช่วงเวลาทดลองงานของนายเริ่มแล้ว พยายามเข้าก็แล้วกัน”

รอยยิ้มบางเบาประดับบนใบหน้าเรียวเล็ก แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกอย่างจริงๆจังๆว่า...การนั่งรถทัวร์มาเก้าชั่วโมงจากโตเกียวมันคุ้มค่าจนไม่ต้องคิดถึงราคาที่ต้องเสียไปแม้ซักนิด

ลมอ่อนๆพัดหอบขึ้นเล็กน้อยไปทางทิศตะวันออก แสงสีทองกระจายทั่วขอบฟ้าจนเห็นทิวทัศน์ของเมืองเล็กที่อยู่ในอาโอโมริแห่งนี้ได้ชัดขึ้น บรรยากาศอ่อนโยนทำให้ยามะต้องสูดลมหายใจเข้าในปอดให้ลึกที่สุดราวกับซึมซับความประทับใจแรกของเช้าวันแรกและคนๆแรกที่ได้พบ ณ สถานที่แห่งโชคชะตานี้

To b next part>>>

----------------------------------------------------------
Author notes: พีเรียวเรื่องที่สอง มัวแต่หานู่นหานี่กว่าจะได้ลงมือเขียน ไอ้ที่หาๆมา ยังไม่รู้ว่าจะได้ใช้หรือป่าว...
น้ำเต้าหู้ แปลกไปไหมอ่ะ เหอๆ อย่าเพิ่งตกใจนะ อ่านไปเรื่อยๆก่อนนะจ๊ะ




Create Date : 14 กรกฎาคม 2549
Last Update : 10 กรกฎาคม 2551 15:58:50 น. 2 comments
Counter : 684 Pageviews.

 
เหอเหอเหอ

มาเม้นท์แร๊วจ้ะ

ว่าแต่ขายน้ำเต้าหู้ หุหุหุ

งี้เด๋วปลานทองก็ได้กินกิน(คนขาย)น้ำเต้าหู้อ่ะจิ

เอิ้กๆๆๆ



โดย: ผมเองที่รร๊ากกกกกกกกก~~~ IP: 202.28.62.245 วันที่: 16 กรกฎาคม 2549 เวลา:18:42:34 น.  

 
เขียนบรรยายได้ดีมากเลยนิ เอาไจช่วยเขียนต่อไป 55


โดย: ชอบๆ IP: 58.147.125.202 วันที่: 27 สิงหาคม 2549 เวลา:0:21:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.