โถงสีเทา ... เข็มพลอย
คำโปรยจากปกหลัง ในโถงสีเทาที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเครียดเคร่งเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ยังมีมุมเล็กๆ ที่ผ่อนคลายและเนิบช้าอยู่บ้าง เป็นมุมเล็กๆ ที่มากไปด้วยน้ำใจและความรัก ทั้งมุมนี้ยังอบอุ่นและจริงใจกับเขายิ่งนักจนเขารู้สึกว่าความเป็นไปในมุมนี้สามารถเติมเต็มความโดดเดี่ยวของตัวเองได้ ชาญเวชชักรู้สึกว่าชีวิตเขากำลังโหยหาความรัก! ใช่แล้ว คำนี้หลุดเข้ามาในสมองอย่างอึกทึกและไม่ทันตั้งตัว ความรัก มันคือความรักจริงๆ หรือ ถ้าความคิดถึงคือส่วนหนึ่งของความรักละก็ใช่แน่เลย เขากำลังรักปานหทัย แล้วอย่างไรล่ะ ความรักของเขาจะเริ่มต้นกันอย่างไร จะดำเนินไปอย่างไรและมันจะจบลงอย่างไร... อ่านแล้วคิดอย่างนี้ค่ะ ได้อ่านผลงานของเข็มพลอยมาหลายเรื่องแล้ว โดยรวมแล้วรู้สึกว่าเนื้อเรื่องจะเรียบๆไม่มีอะไรหวือหวา แต่จขบ.สรุปได้ว่าชอบทุกเรื่องเลยค่ะ เรื่องโถงสีเทานี่มีปกเป็นรูปไวโอลินแต่มีคำโปรยหน้าปกว่า วันนี้คือวันดีที่สุด เพราะพรุ่งนี้อาจสายไปเสียแล้ว อ่านแล้วก็งงๆว่าตกลงเรื่องมันจะเกี่ยวกับอะไร แต่พออ่านคำนำก็รู้เลยค่ะ ว่าเตรียมร้องไห้ได้แน่นอนเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ป่วยระยะสุดท้าย คุณพ่อของปานหทัยเพิ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งไม่กี่ปีต่อมา คุณแม่ของเธอก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเช่นกัน ปานหทัยจึงลาออกจากงานเดิม มาเป็นครูสอนดนตรีเพื่อจะได้มีเวลาดูแลแม่มากขึ้น เพราะการพาแม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลรัฐเป็นปัญหาใหญ่พอสมควรถ้าไม่มีเวลา คุณหมอเจ้าของไข้ คือคุณหมอชาญเวช เป็นหนุ่มใหญ่อายุเยอะพอสมควรค่ะ พอมาชอบปานหทัยที่ค่อนข้างอายุน้อยเลยทำให้ต้องคิดมากพอควร จะแสดงออกมากไปก็ไม่เหมาะสม ประกอบกับการที่มีคนในครอบครัวเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมาก่อนทำให้เขาค่อนข้างไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเอง เพราะมีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งด้วยเหมือนกัน เนื้อเรื่องดำเนินไปค่อนข้างเรื่อยๆแต่มีข้อคิดเยอะมาก เนื่องจากการที่คุณแม่ของปานหทัยเป็นมะเร็ง ทำให้เกิดความเครียดในครอบครัวมากพอสมควรเพราะความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้ป่วยและผู้ดูแล ฝ่ายหนึ่งก็รำคาญตัวเองด้วยอาการป่วยอยู่แล้ว แต่ยังสามารถทำอะไรๆ ได้อยู่แต่กลับถูกกีดกันจากลูกเนื่องจากความเป็นห่วง กลัวว่าคุณแม่จะหกล้มหรือเป็นอะไรไปทำให้มีข้อขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่แม่ลูกคู่นี้คุยกันสื่อสารกันได้อย่างดี ทำให้สามารถลดความขัดแย้งลงไปได้ค่ะ (ตรงนี้แอบคิดถึงตัวเองเพราะบ้านเรามีคุณยายที่อายุเยอะแล้ว แต่ยังคิดว่าตัวเองทำนู่นทำนี่ไหวอยู่ แต่เรากลัวยายเดินไปเดินมาแล้วจะหกล้ม เลยได้เถียงกันบ่อยๆ) อีกประเด็นของเรื่องนี้คือความไม่เข้าใจกันระหว่างหมอกับคนไข้ซึ่งหลังๆ เราเห็นกันได้บ่อยว่ามีการฟ้องร้องหมอหรือมาโพสต์ในเวบบอร์ดว่าหมอหรือบุคคลากรทางการแพทย์ให้บริการไม่ดี ในเรื่องนี้ก็มีการพูดถึงประเด็นนี้บ้างเช่นกันค่ะว่าทำให้หมอๆ หลายคนไม่อยากทำงานรักษาคนไข้แล้วเพราะทำไปก็มีความเสี่ยงที่จะโดนฟ้องค่อนข้างสูง จขบ.เคยคุยกับเพื่อนที่เป็นหมอ สรุปกันว่าส่วนใหญ่ปัญหามักจะเกิดจากความไม่เข้าใจกันระหว่างหมอกับคนไข้ บางครั้งหมออธิบายไม่หมดเพราะคิดว่าคนไข้ไม่เข้าใจหรอก พอเกิดความผิดพลาดทางคนไข้ก็บอกว่าทำไมหมอไม่บอกแต่แรก อะไรทำนองนี้แหละค่ะ อีกประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องการใช้ทุน ในเรื่องนี้มีอีกคู่หนึ่ง ฝ่ายชาย (ศราวุธ) เป็นเด็กต่างจังหวัดรับทุนมาเรียน มีความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะกลับไปใช้ทุนที่บ้านเกิด แต่เมื่อมาพบรักกับฝ่ายหญิง (หมอแป๋ม) ซึ่งเป็นเด็กกรุงเทพฯมีเงินค่อนข้างเยอะ พ่อแม่ไม่อยากให้ไปอยู่ต่างจังหวัดกับฝ่ายชาย ทำให้ความตั้งใจของฝ่ายชายคลอนแคลนไปบ้าง แต่สุดท้ายปัญหานี้ก็จบลงด้วยดีค่ะ จุดที่ชอบงานของเข็มพลอยอีกอย่างนึงคือตัวละครค่อนข้างเป็นคนดีกันค่ะไม่มีใครร้ายจนเกินเหตุ ส่วนใหญ่จะมีแต่ความปรารถนาดีให้กัน อย่างในกรณีหมอศราวุธกับหมอแป๋ม ตอนแรก จขบ. นึกว่าพ่อแม่ของหมอแป๋มจะกีดกันสุดตัวกลับกลายเป็นให้ความช่วยเหลือว่าที่ลูกเขยเป็นอย่างดี หรือในคู่ของหมอชาญเวชกับปานหทัยทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งลูกศิษย์ของหมอชาญเวชต่างช่วยกันลุ้นช่วยกันผลักดันคู่นี้อย่างน่ารักเลยค่ะ ปล. มีตอนนึงที่คุณแม่ของปานหทัยต้องทำ MRI แล้วจินตนาการว่าเหมือนโลงศพ ตรงนี้ จขบ. ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคิดกันไปได้ขนาดนั้น เราเองก็เคยทำ MRIแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร มีแต่ตื่นเต้นว่าได้ทำอะไรที่คนอื่นไม่ค่อยได้ทำกัน หรือ จขบ. จะเป็นคนแปลกเอง เพราะพอมีคนรู้ว่าไปทำ MRI มาก็ถามกันว่าน่ากลัวมั้ย เหมือนโลงศพรึเปล่า หรือเพราะเราไม่ได้กลัวที่แคบก็ไม่รู้ค่ะ
Create Date : 01 เมษายน 2555 |
|
8 comments |
Last Update : 1 เมษายน 2555 21:43:01 น. |
Counter : 3322 Pageviews. |
|
|
|