ยอมรับ และ ปล่อยวาง เสียบ้าง

กว่าจะได้ต่อเรื่องโรคซึมเศร้าอีกก็มาปลายปีเชียว มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายอย่างคาดไม่ถึง

เริ่มจากช่วงมีนาคม 57 ที่เครียดมากๆ จนคิดจะมาเขียนบล๊อกเพื่อระบาย แต่มาเขียนได้ 2 บรรทัด.....

วันนั้นกับวันนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิงค่ะ ช่วงนั้นมีแต่ความเครียดและเครียด เครียดแบบ "ตัดใจไม่ลง และคงไม่ยอม!!" ....ไม่ยอมจะปล่อยจะวางอะไรสักอย่าง ขณะจิตที่เครียดมากมาย ก็ไม่ยอมที่จะสละเรือที่กำลังจะล่ม มันจึงเกิดเป็นทุกข์ และทุกข์มากๆ ก็เครียด เครียดมากๆ หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ก็เศร้า เศร้ามากๆ ทุกข์มากๆ ก็ "ซึมเศร้า"

เราเป็นหนักมาก ช่วงนั้นพยายามต่อสายสุขภาพจิต 24 ชม. ที่เขามีบริการ แต่โทรอยู่ทั้งคืนก็ไม่ติดเลย ประมาณ 200 กว่าสายได้ ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่นั่งคนเดียวเงียบๆ ในห้องทำงาน ไม่ได้หลับได้นอน เพราะเป็นเอามาก เหมือนคนบ้า....บ้าอะไรสักอย่าง......

เช้าวันต่อมาไปทำงานปรากฏว่าโทรติดมีคนรับ....แต่ทว่า.....ต้องรีบคุย รีบวาง เพราะมีสายเยอะมาก และหลังจากคุยก็ได้บังเกิดหดหู่หนักกว่าเดิม เพราะเอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง ใจเราเอง เราต้องดูแลควบคุมมันเองให้ได้ ดังนั้นจึงหันมากดดันตัวเองอีก กดดันให้ใช้ชีวิตปกติให้ได้ ขับรถไปทำงานทั้งน้ำตา ไม่รู้เหมือนกันมันไหลทำไม มันแค่รู้สึก "ตัน" ......

ทีแรกรักษาอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งสังกัดประกันสังคม รอนาน พบหมอแป๊ปเดียว หมอจ่ายยา เดือนหน้ามาเจอกัน เป็นอย่างนี้มา 3 ปี ต้นปีที่ผ่านมา ช่วงที่ได้รับความเครียดจากเรื่องงาน และคนรอบตัวจัดๆ เลยหาโรงพยาบาลใหม่ หลังจากไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะคุยกับใครได้ ก็ได้ไปโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน ยอมเสียเงิน แค่เจอคุณหมอก็จ่าย 1000 บาทแล้ว ไม่รวมค่ายา แต่ก็ดีกว่า ประกันสังคม หน่อย ไม่ใช่ว่าคุณหมอไม่ดีนะ เพียงแต่ คุณหมอมีเวลาให้มากกว่า สมกับเงินที่จ่ายซื่อเวลาคุณหมอ ให้นั่งคุยกับเรา วิเคราะห์และจี้จุดบอดเรา ไปโรงพยาบาลนี้อยู่ 2-3 ครั้งด้วยกัน ก็ไม่ไหวเรื่องค่าใช้จ่ายหากจะรักษาจริงจัง เพราะอนาคตจะต้องรับยาจากที่นี่ด้วย คงไม่สามารถเท่าที่ควร

จึงเปลี่ยนโรงพยาบาลใหม่อีกครั้ง หาข้อมูลใหม่ ได้คลินิกพิเศษผู้ป่วยจิตเวชของโรงพยาบาลรามาฯ ครั้งแรกที่จะไปก็มีเคืองๆ กับคนใกล้ตัวตอนนั้น ก่อนวันนัดไปจอดรถนั่งคิดอยู่คนเดียวที่เซเว่นแถวซอยใกล้บ้าน จนเผลอหลับไป เรื่องที่คิดคือ จะไปหาคุณหมอหรือไม่ไปดี รักษาที่ไหนก็คงเหมือนๆ กันมั้ง...... อย่างเราคงหายไม่ได้ ถ้าหายคงหายนานแล้วแหละ.....คิดเอง เออเอง.... แต่ท้ายสุด ตื่นขึ้นมาตี 2 ก็ขับรถกลับเข้าบ้าน แล้วนอนในรถ เช้ามาค่อยขึ้นไปอาบน้ำแล้วไปหาหมอคนเดียว ตอนนั้นบ้าใบ้ขนาด ไม่อยากคุยกับใคร บล๊อกเบอร์โทรเข้าทุกสาย............แม้กระทั่งเบอร์แม่!!!!

ขับรถเข้าเมืองกรุงไปคนเดียวตามจีพีเอสในโทรศัพท์ เพราะไม่คุ้นทาง ปรากฏว่าไปเจอเส้นที่เขาไม่ให้รถวิ่ง ผิดกฏจราจร ตำรวจเรียกจะปรับ 500 บาท แต่ตอนนั้นเหลือเงินในกระเป๋าพันกับ 100 บาท ก็เอาใบพันให้ตำรวจแต่ตำรวจไม่มีทอน เลยเอา 100 บาทแทน .... แต่ก็ขอบคุณคุณตำรวจ บอกทางไปโรงพยาบาลให้ด้วย จนไปทันเวลาตามนัด

นัดแรก
ไปถึงก็บอกหมอตรงๆ ว่า ทีแรกคิดว่าจะไม่มาแล้วนะ แต่อีกใจก็อยากลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง ครั้งสุดท้ายนะ ถ้าที่นี่รักษาไปแล้วก็เหมือนๆ เดิม จะไม่ไปรักษาที่ไหนต่อแล้ว จะรับสภาพ บ้าวันดีวันไปเรื่อยๆ อยู่กับมันไปเรื่อยๆ คุยกับหมอแบบเปิดอกเปิดใจทุกอย่าง เอายาไปด้วยให้หมอดู ครั้งแรกหมอยังไม่จ่ายยา ให้ทานยาเดิมก่อน เพราะคุณหมอบอกเป็นหมอก็จ่ายยาแบบนี้แหละ สำหรับอาการอย่างเรา คุณหมอยังหนุ่มอยู่เลย แต่เป็นอาจารย์หมอแล้ว พูดจาสุภาพมาก แต่แรกๆ เราไม่ค่อยชอบคุณหมอนะ คิดว่าคุณหมอพูดไม่รู้เรื่อง.....ก็เราบอกเราคิดแบบนี้ ก็บอกให้เราคิดแบบนู้น .... มันห้ามได้ไง๊ความคิด ไม่ด๊ายยย!!!!!!!!

นัดสอง
มีคนไปด้วย...อย่างเสียไม่ได้ คือคนใกล้ตัว ณ ตอนนั้น ขับรถไปเองเหมือนเดิม คราวนี้ไม่หลงทาง เพราะคนใกล้ตัว ณ ตอนนั้นคุ้นเคยทาง เป็นคนบอกเส้นทางได้ดีกว่า จีพีเอส มือถือ......ถึงตามเวลานัด คุยกับหมอเป็นเกือบชั่วโมงเช่นเคย นัดเป็นคนสุดท้าย เพราะคิดว่าบ้านอยู่ไกล โรงพยาบาล และเป็นคนตื่นสายไม่เหมาะจะนัดเช้า และนัดคนสุดท้ายไม่ต้องรีบ ......

นัดต่อๆ มา ก็นัดเป็นคนสุดท้ายเหมือนเดิม ....... ยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าจะหาย ว่าจะดีขึ้น........


ไม่นานอาการเอาแต่ใจ บ้าบอคอแตก ก็กำเริบเสิบสาน ทำงานทำการไม่ได้ ลาออกจากงานเพราะทางบริษัทก็อยากให้ออก เราก็เลยลาออกมา ในเดือนเมษายน 2557 กะว่าออกมาทำงานที่ตัวเองรัก อาทิ ขายของออนไลน์.....คิดง่ายๆ แค่นั้น และตอนนั้นยังมีคนข้างกายหนึ่งคนที่ทำงาน ยังมีคนคนหนึ่งทีเรียกได้ว่า "สามี" คอยอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกที่เป็นความหวังอันน้อยนิด เป็นเหตุผลอันริบหรี่ ที่ทำให้เราอยากใช้ชีวิตต่อไป นอกจากคุณพ่อคุณแม่แล้ว ก็คงเป็นเขาที่เราอยากดีขึ้นเพื่อจะได้ดูแลกันและกันให้ได้ดีกว่าเดิมและยาวนานตลอดไป......


ทว่า.....หารู้ไม่ 9 ปีที่เราอยู่กันมา "ชั้นก็ยังไม่รู้ว่าเธอไม่เคยรักกันเลย.....จริงๆ" ดั่งที่ใจคิดระวังอยู่ตลอดเวลาว่าสักวันเราจะเจอวันนี้ วันที่ "สามี" ของเรา เป็น "สามี" คนอื่น ......... วันที่รับรู้เรื่องราวเรารับไม่ได้ขนาดหนัก ถึงกับ ปลิดชีพตัวเอง เพราะคิดว่าเราเหลือเขาเป็นคนสุดท้ายแล้วที่เข้าใจและคอยอยู่เคียงข้างตลอด.......แต่พอเราเริ่มไว้ใจ เรื่องกลับกลายเป็น เขาเป็น "สามี" คนอื่นด้วย....... ณ ตอนนั้นไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเราตัดสินใจคิดสั้น คิดโง่ๆ ...... ใช่ โง่มากๆ รู้ตัวแต่ก็ยังทำ ในวันนั้นขอร้องพ่อกับแม่ว่าอยากกลับบ้านที่ต่างจังหวัด อยากกลับไปหา แต่พ่อกับแม่ไม่รู้ว่า เราอยู่ในอาการเครียดขนาดหนักอะไรยังไงแค่ไหน เพราะเราเคยอยู่ได้ด้วยตัวเองมาตลอดชีวิต เขาเป็นห่วงไม่อยากให้ขับรถกลางคืน ไม่อยากให้เปลืองเงินค่าน้ำมัน แต่ลืมคิดไปว่านั้นคือเราเจอเหตุการณ์ที่เราต้องการที่พักใจ เราไม่สามารถเผชิญหน้ามันด้วยตัวเองอีกครั้ง เป็นครั้งที่สองกับคนคนเดิม.........

โทรหาพี่ชายให้มาอยู่เป็นเพื่อน ให้มาหาหน่อย เขาก็ไม่สะดวก และทุกคนไม่รู้ว่าเรา ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆ คนใกล้ตัวหนีไปอยู่ที่อื่น เราอยู่บ้านเพียงลำพัง กับหมาและแมว 20 กว่าชีวิต เราจำต้องกลับมาอยู่ในสภาพเดิมๆ เพียงลำพัง .... นั่งไปนั่งมา อารมย์หดหู่มันมากขึ้นๆ จนทนไม่ได้ ..... จุดจบคือทุกอย่าง "ดับวูบ" เราไร้ซึ่งความรู้สึก ไร้ความทุกข์ ไร้ความกังวล ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ด้วยยานอนหลับ 100 กว่าเม็ดที่กินลงไป ทำให้เราหลับลงไปอย่างง่ายดายและสงบ ไม่ทรมาณอีกแล้ว ในใจคิด.....ก่อนสติจะหมด ไลน์ไปขอโทษพ่อและแม่ว่าชาตินี้ลูกขอไปก่อนแล้วเพราะทนไม่ไหวกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ขอลา เพียงเท่านี้......

รู้สึกตัวอีกทีบ่ายวันต่อมา ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่าอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าอยู่โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง ยังคงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด โมโห เคืองแค้น ใดๆ ทั้งสิ้น ในใจมีแต่ความว่างเปล่า เงียบ ........... แต่จำได้ลางๆ ว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่ยังไม่รู้สึกผิด ไม่สำนึกอีก ยังคงเยือกเย็นในใจอยู่อย่างนิ่ง........จนเย็นเห็นหน้าพ่อและแม่อยู่ข้างเตียง พ่อและแม่เดินทางจากต่างจังหวัดขึ้นมารับที่โรงพยาบาลรามาฯ นั่นเอง.......ใช่แล้ว นี่....พ่อและแม่ .... และอีกคนที่คอยอยู่เฝ้าที่โรงพยาบาลด้วยความจำเป็น ...... กลับบ้านด้วยแท๊กซี่พร้อมพ่อกับแม่ หลังจากที่คุณหมอ เข้ามาสอบถามอาการแล้ว ว่าสติยังคงอยู่ ยังจำตัวเองได้ จำคนรอบข้างได้ หมอก็ให้กลับหลังชำระค่าหมอค่ายาเสร็จ.........

ถึงบ้านอะไรยังไง ไม่รู้ตัวเท่าไหร่มันลางๆ แม้แต่เข้าไปกระทึบใครก็จำไม่ได้ว่าได้ทำร้ายร่างกายใครลงไปด้วย.....มันเบลอๆ ไม่รู้วันนั้นวันอะไร วันที่เท่าไหร่ ผ่านอะไรไปกี่วัน มันเบลอไปหมด จำไม่ได้ว่าโกรธแค้นเคืองใคร แต่คนหนึ่งในบ้านที่คุ้นเคยหายไป...... เขาหายไปไหน นึกขึ้นได้ .... ก็ขับรถออกจากบ้าน ด้วยความเป็นห่วงแม่กระโดดขึ้นรถตามมาด้วย ปรากฏว่าไปโผล่อีกที อยู่ท่ามกลางวงล้อมสังสรรค์(คล้ายงานสังสรรค์) รายล้อมด้วยญาติๆ ของเขาคนนั้นที่หายไป พร้อมกับเธอคนนึงที่เราไม่คุ้นหน้า แต่รู้ว่าเป็นใคร ก็เข้าใจและยอมรับแต่โดยดี.....จึงเดินเข้าไปถาม เขาคนนั้นด้วยใจที่เย็นสุดๆ ว่าจะเคลียร์กันเมื่อไหร่ดี แต่.....เขาตอบแต่ "ไม่รู้"..... ไม่รู้อะไรบันดาลโทสะกระทึบเท้าออกไป แม่รั้งกลับมา อิรุงตุงนัง โดนน้องสาวเขาและหลานชายเขาเข้ามาทำร้ายด้วยการล๊อกคอ บีบคอ เราตัวคนเดียวก็สู้สุดฤทธิ์........ เรื่องราวจบลงที่โรงพัก เราถูกฟ้องข้อหา บุกรุกและทำร้ายร่างกายคนอื่น ................... และตอนนี้เราถูกดำเนินคดีข้อหานี้ จะต้องไปประกันตัววันที่ 9 ธันวา 57 นี้...........


วันต่อมา รถเราเกิดอุบัติเหตุยางรถยนต์ข้างเดียวกัน ระเบิดพร้อมกัน 2 ล้อ เสียหลัก ชนต้นไม้ หัวแตกเย็บ 8 เข็ม..... ไม่ได้ขับเร็ว ไม่ได้ประมาท ขับไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่โทษใคร เพราะไม่มีหลักฐานอะไร ถือว่าฟาดเคราะห์ไป ซ่อมรถหมดไปแสนกว่าเพราะประกันชั้นสอง ประกันไม่แนะไม่นำอะไรเลย โดนปรับ 500 บาท ค่าชนต้นไม้ ทำลายทรัพย์สินราชการ ...... ซ่อมเองนะ เพิ่งได้รถคืนมาเมื่ออาทิตย์ก่อนเอง...........


......
......


กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ง่ายเลย หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น คุณพ่อและคุณแม่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น แทบจะเข้ามาดูแลทั้งชีวิตเพราะลูกที่ไม่เอาไหนคนนี้ แต่ตอนนี้....เราลุกขึ้นมา เข้มแข็งขึ้น กำลังใจดีขึ้น ยอมรับสิ่งที่เกิดได้ดี ปล่อยวางทุกอย่าง อโหสิกรรมให้ทุกคน ขออโหสิกรรมแก่ทุกคน ถึงแม้คดียังไม่จบ ปัญหายังตามมารุมเร้าทุกเสี้ยววินาที แต่ตราบที่กำลังใจเราดีพอ จะไม่มีอะไรมาทำร้าย ทำลาย เราลงได้ ยอมรับได้ และปล่อยวางเป็น.......ความสุขก็อยู่ไม่ไกล เราสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างปกติ.......




Create Date : 25 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2557 0:25:05 น. 2 comments
Counter : 1338 Pageviews.

 


โดย: deco_mom วันที่: 31 ธันวาคม 2557 เวลา:11:30:40 น.  

 
สวัสดีครับน้องกะติบ มาอ่านเรื่องราวจนจบครับ ^^

บางทีชีวิตเราก็ยิ่งกว่าละครนะครับ เพราะละครมีวันจบ

แต่ชีวิตจริงก็ต้องดำเนินต่อไป และต้องอยู๋กับทุกสิ่งให้ได้

เรื่องของความรัก มีคนเคยบอกว่าไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด

แค่เป็นเรื่องของคนสองคนที่จะให้มันเป็นไปอย่างไร

ถ้าเลิกกันทั้งสองคนนั่นแหละคือคนผิด ผิดกันคนละนิด คนละหน่อย

ไม่ยอมคุยพูดคุยกัน สังคมส่วนใหญ่รอบๆตัวผม มีคนเลิกรากัน

เยอะมาก แล้วก็มีคนใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว

นี่คือข้อดีของสังคมปัจจุบัน ที่เปิดโอกาสให้กับทุกๆคนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

โรคซึมเศร้ารักษาหายได้ครับ แต่ว่าต้องร่วมกับกำลังใจและทานยาตามแพทย์สั่ง

ดาราดังๆเป็นกันเยอะ ที่ไม่ดีขึ้นเพราะว่าอาจรักษาไม่ถึงสาเหตุคือใจของเรา

ยาที่ดีที่สุดคือธรรมะโอสถของพระพุทธเจ้า ได้กินแล้วหายขาดทุกคนแน่นอน

ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ เริ่มต้นและจบลงด้วยใจเราทั้งนั้น

เป็นกำลังใจให้น้องกระติ๊บสู้ๆ เข้มแข็งเพื่อพ่อแม่ที่รักเราอยู่นะครับ ^^

ปีใหม่แล้วลืมเรื่องร้ายๆแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างเข้มแข็งนะครับ

เป็นกำลังใจให้เต็มร้อยครับผม ^^


โดย: วนารักษ์ วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:16:03:16 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

SK_KS
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
25 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add SK_KS's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.