ฉบับที่ 09 - โอที
ฉบับที่ 9
แด่ ผู้ใฝ่รู้ในวิชากฎหมายแรงงาน... การทำงานล่วงเวลา และการจ่ายค่าล่วงเวลา
1. การทำงานล่วงเวลา
ความหมาย โดยทั่วไปมักเรียก การทำงานล่วงเวลา นี้ว่า OT (Overtime) หรือทำโอทีนั่นเอง ในส่วนของกฎหมายคุ้มครองแรงงานนั้น ได้บัญญัติให้ความหมายของคำว่า การทำงานล่วงเวลา เอาไว้ ใน มาตรา 5 ดังนี้... การทำงานล่วงเวลา หมายความว่า การทำงานนอก หรือเกินเวลาทำงานปกติ หรือเกินชั่วโมงทำงานในแต่ละวัน ที่นายจ้างลูกจ้างตกลงกันตามมาตรา 23 ในวันทำงานหรือวันหยุด แล้วแต่กรณี ส่วนหลักเกณฑ์ของการทำงานล่วงเวลา มีบัญญัติไว้ใน มาตรา 24 ความว่า.. มาตรา 24 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานเว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน หรือเป็นงานฉุกเฉิน หรือเป็นงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่จำเป็น หลักเกณฑ์สำคัญ ในการทำงานล่วงเวลาจึงมีดังนี้... ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง ดังนั้น หากไม่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง นายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะก่อให้ความเสียหายแก่งาน หรือเป็นงานฉุกเฉิน หรือเป็นงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง นายจ้างอาจ บังคับ ให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่จำเป็น ขอบเขตของการทำงานล่วงเวลา ขอบเขตของระยะเวลาการทำงานล่วงเวลา กฎหมายได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 26 ดังนี้... มาตรา 26 ชั่วโมงทำงานล่วงเวลาตามมาตรา 24 วรรคหนึ่งและชั่วโมงทำงานในวันหยุดตามมาตรา 25 วรรคสองและวรรคสาม เมื่อรวมแล้วจะต้องไม่เกินอัตราตามที่กำหนดในกฎกระทรวง คำว่า กฎกระทรวง ในมาตรา 26 นี้ หมายถึง กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2541 ซึ่งมีใจความว่า... ชั่วโมงทำงานล่วงเวลาตามมาตรา 24 วรรคหนึ่ง และชั่วโมงทำงานล่วงเวลาในวันหยุดตามมาตรา 25 วรรคสอง และวรรคสาม เมื่อรวมกันแล้ว สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสามสิบหกชั่วโมง สรุปคือ นายจ้างจะให้ลูกจ้าง ทำงานล่วงเวลา และทำงานล่วงเวลาในวันหยุด รวมกันแล้ว ต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ จะทำเกินกว่านี้ไม่ได้ แม้จะได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก็ตาม ( ข้อสังเกต การทำงานในวันหยุด ตามมาตรา 25 ก็ให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันนี้ ) ข้อห้ามการทำงานล่วงเวลา เนื่องจากมีงานบางประเภทที่ไม่เหมาะที่จะทำมากไปกว่ากำหนดเวลาทำงานปกติ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและร่างกายของลูกจ้างเองได้ กฎหมายคุ้มครองแรงงานจึงได้บัญญัติประเภทของงานที่ห้ามทำงานล่วงเวลาเอาไว้ ใน มาตรา 31 ดังนี้... มาตรา 31 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุดในงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามมาตรา 23 วรรคหนึ่ง งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ตามมาตรา 23 วรรคหนึ่ง คืองานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2541 ข้อ2 ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นั่นเอง (ย้อนกลับไปอ่านได้ ในหัวข้อ การทำงานปกติ) ผลของการที่นายจ้างฝ่าฝืนบทบัญญัติใน มาตรา 31 นี้ ถือเป็นความผิด และมีโทษทางอาญาคือ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม มาตรา 148 2. ค่าล่วงเวลา ความหมาย กฎหมายให้นิยามของคำว่า ค่าล่วงเวลา เอาไว้ใน มาตรา 5 ดังนี้... ค่าล่วงเวลา หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน พิจารณาจากนิยามความหมายดังกล่าวแล้ว จะเห็นว่า ค่าล่วงเวลานี้ มีลักษณะเป็น เงินค่าตอบแทนการทำงานเกินกว่ากำหนดเวลาปกติ ดังนั้นลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา ก็ต่อเมื่อได้ทำงานเกินกว่ากำหนดเวลาทำงานปกติ โดยทั้งนี้ต้องได้รับอนุญาตหรือคำสั่งจากนายจ้าง ซึ่งจะสั่งเป็นหนังสือหรือวาจาก็ได้ แต่หากลูกจ้างทำงานล่วงเวลาไปเองโดยที่นายจ้างไม่ได้สั่งหรือมอบหมายให้ทำ ก็จะไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา ข้อสังเกต - 1. สัญญาจ้างงานที่ตกลงกันว่าให้มีการทำงานล่วงเวลา แต่ไม่มีการจ่ายค่าทำงานล่วงเวลา สัญญาดังกล่าวไม่มีผลบังคับ (คำพิพากษาฎีกาที่ 2537/2525) 2. การที่ลูกจ้างมีหน้าที่ต้องทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุดกับการมีงานให้ทำจริงๆ ในช่วงเวลานั้นๆ เป็นคนละกรณีกัน เมื่อลูกจ้างต้องทำงานในช่วงเวลาที่นายจ้างเป็นผู้กำหนด แต่ไม่มีงานให้ลูกจ้างทำ ไม่ทำให้ช่วงเวลาเวลาดังกล่าว ไม่เป็นการทำงานล่วงเวลาหรือการทำงานในวันหยุด ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุด (คำพิพากษาฎีกาที่ 2686/2527 และที่ 2279/2280/2528 วินิจฉัยทำนองเดียวกัน) อัตราค่าล่วงเวลา กฎหมายได้กำหนดอัตราการจ่ายค่าล่วงเวลา เอาไว้ใน มาตรา 61 ดังนี้... มาตรา 61 ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน ให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้าง ในอัตราไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วย ในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย พิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นว่า กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กำหนดอัตราค่าล่วงเวลาเอาไว้คือ ไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่ง(1.5เท่า)ของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามปกติ และไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน ตัวอย่าง (1) กะทิ ได้รับค่าจ้างรายวัน วันละ 320บาท โดยเริ่มงานตั้งแต่เวลา 09.00 น. 18.00 น. (พัก 1ชั่วโมง) รวมระยะเวลาทำงานปกติทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง ต่อมาเมื่อนายจ้างมีคำสั่งให้กะทิ ทำงานจนเลิกเวลา 21.00 น. (รวมระยะเวลาทำงานล่วงเวลา 3ชั่วโมง) ดังนั้น กะทิ จะได้ค่าล่วงเวลา คือ... อัตราค่าจ้างรายวัน................320 บ. หารจำนวนชั่วโมงที่ทำงานตามปกติ 8ชั่วโมง = 320/8 = 40 บ. อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง.............40 บ. คูณหนึ่งเท่าครึ่ง(1.5) = 40 x 1.5 = 60 บ. อัตราค่าล่วงเวลาต่อชั่วโมง......60 บ. คูณจำนวนเวลาที่ทำงานล่วงเวลา 3ชั่วโมง = 60 x 3 = 180 บ. ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า วันนี้ กะทิ จะได้รับค่าล่วงเวลา เท่ากับ 180 บาท และเมื่อรวมกับค่าจ้างตามปกติแล้ว กะทิจะได้ค่าแรงทั้งหมดในวันนี้ คือ 320 +180 = 500 บาท นั่นเอง (2) หมูแดงได้รับค่าจ้างโดยคำนวณจากผลงานที่ทำชิ้นละ 10บาท โดยเริ่มงานตั้งแต่เวลา 09.00 น. 18.00 น. (พัก 1ชั่วโมง) ต่อมา เมื่อนายจ้างได้มีคำสั่งให้หมูแดง ทำงานจนเลิกเวลา 20.00 น. และในช่วงเวลาดังกล่าวนี้หมูแดงทำผลงานได้จำนวน 20ชิ้น ดังนั้นหมูแดงจะได้ค่าล่วงเวลา คือ... อัตราค่าจ้างต่อหน่วยผลงานที่ทำ.......10 บ./ชิ้น คูณหนึ่งเท่าครึ่ง(1.5) เท่ากับ 10 x 1.5 = 15 บ. อัตราค่าล่วงเวลาจึงเท่ากับ 15 บ. คูณจำนวนผลงานที่ทำได้ในช่วงเวลาที่ทำงานล่วงเวลานั้น (20 ชิ้น) ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าหมูแดง จะได้รับค่าล่วงเวลาของวันนี้คือ 15 x 20 = 300 บ. นั่นเอง สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนนั้น ให้นำเงินเดือนมาหารด้วย 30 เสียก่อน แล้วนำผลที่ได้ มาหารจำนวนระยะเวลาที่ทำงานตามปกติเฉลี่ยต่อวัน ก็จะได้ อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 68 ดังนี้... มาตรา 68 เพื่อประโยชน์แก่การคำนวณค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด ในกรณีที่ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานหมายถึง ค่าจ้างรายเดือนหารด้วยผลคูณของสามสิบ และจำนวนชั่วโมงทำงานในวันทำงานต่อวันโดยเฉลี่ย (ข้อสังเกต ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด ก็ให้ใช้วิธีการเดียวกันนี้ ) ตัวอย่าง น้ำซุป ได้รับค่าจ้างรายเดือน เดือนละ 12,000 บาท โดยเริ่มงานตั้งแต่เวลา 08.00 น.- 17.00 น. (พัก 1ชั่วโมง) รวมระยะเวลาทำงานปกติทั้งสิ้น 8ชั่วโมง ต่อมาเมื่อนายจ้างมีคำสั่งให้น้ำซุปทำงานต่อ จนเลิกเวลา 20.00 น. (รวมระยะเวลาทำงานล่วงเวลา 3ชั่วโมง) ดังนั้น น้ำซุป จะได้ค่าล่วงเวลา คือ... อัตราค่าจ้างต่อเดือน...12,000 บ. หารด้วยผลคูณของ 30 = 12,000/30 = 400 บ. อัตราค่าจ้างต่อวัน.............400 บ. หารด้วยจำนวนชั่วโมงทำงานตามปกติ 8ชั่วโมง = 400/8 = 50 บ. อัตราคาล่วงเวลาต่อชั่วโมงจึงเท่ากับ อัตราค่าจ้างรายชั่วโมง 50 บ. x 1.5 (หรือ 3/2) = 75 บ. อัตราค่าจ้างรายชั่วโมง.........75 บ. คูณจำนวนเวลาที่ทำงานล่วงเวลา 3ชั่วโมง = 75 x 3 = 225 บ. ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า น้ำซุปจะได้ค่าล่วงเวลาของวันนี้ เท่ากับ 225 บาท นั่นเอง ข้อยกเว้นการจ่ายค่าล่วงเวลา มีลูกจ้างบางประเภทที่กฎหมายไม่ประสงค์จะให้ได้รับค่าล่วงเวลา ซ้ำยังไม่ประสงค์ให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ(ตามมาตรา 65)ด้วย เนื่องจากมีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในระดับสูงกว่าลูกจ้างคนอื่นๆ เช่น ผู้บริหาร หรือผู้จัดการ ในระดับต่างๆ ซึ่งบุคคลเหล่านี้มักได้รับประโยชน์ตอบแทนสูงกว่าลูกจ้างทั่วไปอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีงานบางประเภทที่มีลักษณะงานคือไม่สามารถกำหนดเวลาทำงานที่แน่นอนได้ ทำให้ไม่สามารถกำหนดเวลาในการทำงานเพื่อให้ค่าล่วงเวลาหรือค่าล่วงเวลาในวันหยุดได้ กฎหมายจึงกำหนดให้ลูกจ้างประเภทนี้ มีสิทธิได้รับค่าตอบเป็นเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในส่วนที่ทำงานล่วงเวลามานั้นแทน ทั้งนี้กฎหมายไม่ตัดสิทธิของนายจ้างในการจ่ายค่าล่วงเวลาและค่าล่วงเวลาในวันหยุด กล่าวคือ หากนายจ้างยินดี ประสงค์จะจ่ายเงินค่าล่วงเวลาหรือค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้ ก็สามารถทำได้ รายละเอียดของเรื่องนี้ กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้บัญญัติเอาไว้ใน มาตรา 65 อย่างชัดเจนดีแล้ว ดังนี้... มาตรา 65 ลูกจ้างซึ่งมีอำนาจหน้าที่หรือซึ่งนายจ้างให้ทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามมาตรา 61 และค่าล่วงเวลาในวันหยุดตามมาตรา 63 แต่ลูกจ้างซึ่งนายจ้างให้ทำงานตาม (2) (3) (4) (5) (6) (7) หรือ (8) มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ (1) ลูกจ้างซึ่งมีอำนาจหน้าที่ทำการแทนนายจ้างสำหรับกรณีการจ้างการให้บำเหน็จ การลดค่าจ้าง หรือการเลิกจ้าง (2) งานขบวนการจัดงานรถไฟ ซึ่งได้แก่งานที่ทำบนขบวนรถและงานอำนวยความสะดวกแก่การเดินรถ (3) งานเปิดปิดประตูน้ำหรือประตูระบายน้ำ (4) งานอ่านระดับน้ำและวัดปริมาณน้ำ (5) งานดับเพลิงหรืองานป้องกันอันตรายสาธารณะ (6) งานที่มีลักษณะหรือสภาพที่ต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ และโดยลักษณะหรือสภาพของงานไม่อาจกำหนดเวลาทำงานที่แน่นอนได้ (7) งานอยู่เวรเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินอันมิใช่หน้าที่การทำงานตามปกติของลูกจ้าง (8) งานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เว้นแต่นายจ้างตกลงจ่ายค่าล่วงเวลาหรือค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้าง
พลบค่ำ ของวันที่ยี่สิบห้า เดือนเจ็ด ปีห้าสาม สู้ทนนอนหนาวปวดร้าวแค่ไหน ไม่เคยหวั่นไหว หัวใจมั่นคง ซื่อตรง ไม่สร่าง บน พื้นดินที่อ้างว้าง... เสียงร้องเพลงหยุดลงเมื่อหันมามองกองหนังสือแรงงาน หมดอารมณ์...!!! -*-
Free TextEditor
Create Date : 28 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 29 กรกฎาคม 2553 0:00:33 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2004 Pageviews. |
|
|