ตอนที่ ๕ - ห้างหุ้นส่วนสามัญ
สรุปคำอธิบาย กฎหมายลักษณะห้างหุ้นส่วน ฉบับ 18-12-6 (สูตรเร่งโต) , ตอนที่ ๕ - ห้างหุ้นส่วนสามัญ
ห้างหุ้นส่วนสามัญ
มาตรา 1025 ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือ ห้างหุ้นส่วนที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งปวงของห้าง โดยไม่มีจำกัด สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ หนี้สิน ไม่ว่าจะเป็นหนี้อันเกิดจากนิติกรรม หรือเกิดจากมูลละเมิดนั้น ได้เกิดจากการกระทำไปโดยทางธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนหรือไม่? - ถ้าใช่ ,ก็จะต้องรับผิดร่วมกัน โดยรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม - ถ้าไม่ใช่ ,แต่หากเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นส่วนตัว หรือนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วน ก็ไม่ต้องรับผิดร่วมกัน การกระทำทางธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วน หมายถึง 1. การกระทำภายในวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วน กล่าวคือเป็นการกระทำที่อยู่ในความมุ่งหมายโดยตรงของห้างหุ้นส่วน เป็นงานของห้างที่ตามธรรมดาจะต้องทำอยู่แล้ว เช่นการซื้อวัตถุดิบ การขายสินค้า การผลิตสินค้า การขนส่งสินค้า การให้บริการ ฯลฯ 2. การกระทำอันเกี่ยวเนื่องกับวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วน กล่าวคือกิจการที่จำเป็นจะต้องทำในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วน เช่น การจ้างคนมาดูแล การซื้อหรือเช่าอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในห้างหุ้นส่วน การกู้ยืมเงินเพื่อเป็นเป็นทุน การบำรุงรักษาอาคารสถานที่หรืออุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น *** คำอธิบายนี้ ใช้กับ มาตรา 1050 ด้วย มาตรา 1026 ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาลงหุ้น สิ่งที่จะนำมาลงหุ้นได้นั้น จะเป็นเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงาน ก็ได้
มาตรา 1028 เป็นหลักในการคำนวณหาค่าแรง ในกรณีที่ผู้เป็นหุ้นส่วนได้ลงหุ้นด้วยแรงงานแต่เพียงอย่างเดียว ตามในมาตรา 1026 วรรคสอง โดยวิธีการคำนวณนั้นจะต้องนำจำนวนเงินลงหุ้นทั้งหมดของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน (และในกรณีที่มีการลงหุ้นเป็นทรัพย์สินอยู่ด้วยก็ให้ตีราคาของทรัพย์สินนั้นเป็นเงินเสียก่อน แล้วจึงนำเอามารวมเข้าด้วย) แล้วจึงหาค่าเฉลี่ย ตามสูตรดังนี้
.
จำนวนผู้เป็นหุ้นส่วน ค่าเฉลี่ย = --------------------------------- จำนวนเงินลงหุ้นทั้งหมด จำนวนผู้เป็นหุ้นส่วนที่ว่าในสูตรนี้ หมายเฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนที่ลงหุ้นด้วยเงินหรือทรัพย์สินเท่านั้น ส่วนค่าเฉลี่ยที่หาออกมาได้ก็คือมูลค่าของค่าแรงงานนั่นเอง... ค่าแรงงาน ตามนัยยะของมาตรานี้ถือเป็นทุนสมมุติที่จะนำมาเป็นตัวตั้งในการคำนวณหาค่ากำไรหรือขาดทุนกันเท่านั้น มิใช่ค่าเงินกันจริงๆ ดังนั้นหากมีการเลิกห้าง ผู้ลงหุ้นด้วยแรงงานจะมาขอทุนสมมุตินี้คืนไม่ได้ มาตรา 1031 ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดไม่ยอมส่งมอบส่วนลงหุ้นของตน ต้องส่งคำบอกกล่าวเป็นจดหมายจดทะเบียนไปรษณีย์ไปยังผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้น บอกกล่าวให้ส่งมอบส่วนลงหุ้นมาภายในเวลาอันสมควร มิเช่นนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆจะลงความเห็นพร้อมกันหรือจะโหวตโดยเสียงข้างมาก เอาผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นออกเสียก็ได้ มาตรานี้เป็นวิธีถอดเอาผู้เป็นหุ้นส่วนที่ไม่ยอมเอาส่วนลงหุ้นของตนมาลงหุ้นออก วิธีการก็เป็นไปตามตัวบทเลย ส่งโนติส (notice) หรือที่ภาษาทางการเขาเรียกว่า หนังสือบอกกล่าวทวงถาม ไปทวงผู้เป็นหุ้นส่วนก่อน หากยังไม่ยอมนำส่วนลงหุ้นมาส่ง ภายในเวลาอันสมควร ก็เชิญออก หรือโหวตออกกันได้เลย มาตรา 1033 ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนมิได้ตกลงกันไว้ในการจัดการงานของห้าง ให้ถือว่าผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิในการจัดการได้หมดทุกคน แต่จะเข้าทำสัญญาใดๆ ซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งทักท้วงนั้นไม่ได้ ให้ถือเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการกันทุกคน ในมาตรานี้สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องดูก็คือ การทักท้วง - ในการทักท้วงนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดวิธีการเอาไว้ ดังนั้นจะทักท้วงด้วยวาจา หรือทำเป็นหนังสือก็ย่อมได้ อีกอย่างการทักท้วงตามมาตรานี้จะไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างต่อบุคคลภายนอกเพื่อปัดความรับผิดในหนี้สินได้ นั่นหมายความว่าบุคคลภายนอก ในฐานะเจ้าหนี้ เขาย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องผู้เป็นหุ้นส่วนทุกๆคนได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผู้เป็นหุ้นส่วนเฉพาะคนที่ได้ทักท้วงเอาไว้นั้น สามารถรับเอาช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้เดิมที่เป็นบุคคลภายนอก มาไล่เบี้ยเอากับผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆได้ เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า... สัญญาใดใครเป็นห่วงทักท้วงได้ แต่จะใช้ยันคนนอกไม่เป็นผล เขามีสิทธิที่จะฟ้องได้ทุกคน แต่ว่าตนรับช่วงไว้ไล่เบี้ยเอา ในกรณีที่หุ้นส่วนแต่ละคนมีความเห็นไม่ตรงกันจนหาข้อยุติไม่ได้ ให้ใช้หลักเสียงข้างมาก โดยหุ้นส่วน 1คน มี 1เสียง โดยไม่ต้องดูว่าใครจะถือหุ้นมากน้อยเพียงใดก็ตาม (มาตรา 1034) มาตรา1035 - ถ้าได้ตกลงกันไว้ว่าจะให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหลายคนจัดการห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนผู้จัดการแต่ละคนจะจัดการห้างหุ้นส่วนนั้นก็ได้ แต่หุ้นส่วนผู้จัดการคนหนึ่งคนใดจะทำการอันใดซึ่งหุ้นส่วนผู้จัดการอีกคน หนึ่งทักท้วงนั้นไม่ได้ กล่าวคือ ถึงแม้จะได้ตกลงกันเอาไว้แล้วในห้างหุ้นส่วนก็ตาม ว่าจะให้ใครเป็นผู้จัดการ มีหน้าที่อะไร ทว่าผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนก็ยังมีสิทธิที่จะจัดการได้อยู่ทุกคน และยังสามารถเข้าไปก่ายในหน้าที่งานของหุ้นส่วนผู้จัดการได้ด้วย แต่จะทำการอันที่ซึ่งหุ้นส่วนผู้จัดการที่มีหน้าที่ของเขานั้นๆ ทักท้วงนั้นไม่ได้ - สิทธิทักท้วงนี้ ถือเป็นสิทธิเฉพาะของหุ้นส่วนผู้จัดการเท่านั้น - หุ้นส่วนธรรมดาไม่มีสิทธิทักท้วง แม้จะได้ทักท้วง ก็จะอ้างเอาการทักท้วงขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไม่ได้ มาตรา 1038 ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วน ประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทำเพื่อประโยชน์ตน หรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆ ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆ ชอบที่จะเรียกเอาผลกำไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหายเพราะ เหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทำการฝ่าฝืน มาตรานี้เป็นเรื่องข้อต้องห้ามของผู้ที่เป็นหุ้นส่วน ซึ่งสำคัญมากๆ เพราะออกสอบบ่อยๆ ดังนั้นกระผมจะขอซักฟอกมาตรานี้เอาแบบให้ได้กระจ่างกันลย (จัดแบบยาวๆสักหน่อย) ห้ามใคร ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน ทำไมถึงห้าม ? เพราะความลับในทางการค้าถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ นั่นคือหากปล่อยให้ความลับทางนโยบายหรือความลับทางผลิตภัณฑ์สินค้ารั่วไหลไปเสียแล้ว อาจถูกคู่แข่งทางธุรกิจนำเอาความลับดังกล่าวไปทำการอันเป็นปรปักษ์จนอาจทำให้ห้างได้รับความเสียหายได้ สมดังคำกล่าวที่ว่า สงครามธุรกิจแม้ไม่เห็นเลือด แต่เหี้ยมโหดกว่า ดังนั้น ความลับในทางการค้าจึงถือเป็นเรื่องความเป็นความตายของห้างฯกันเลยทีเดียว เมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนมีสิทธิที่จะล่วงรู้ความลับของห้างได้ทุกคน และก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนๆจะไม่นำเอาความลับของห้างฯไปทำการแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวอย่างไม่สุจริต จนอาจทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับห้างหุ้นส่วน ถ้าจะสรุปมาตรานี้แบบลวกๆคือเพื่อป้องกันการหักหลังกันเองในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน ห้ามทำอะไร ? - ประกอบกิจการ ซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วน (1) สภาพดุจเดียวกัน คือ สภาพที่คล้ายๆกัน หรือเหมือนกัน หรือมีลักษณะไปในทางเดียวกัน หลวงศรีปรีชาธรรมปาฐก อธิบายว่า ขนมจีนน้ำยากับขนมจีนน้ำพริกมีสภาพดุจเดียวกัน แต่ต่างชนิดกัน ดังนั้นหากห้างหุ้นส่วนประกอบกิจการขายน้ำยา ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งจะไปเปิดร้านขายขนมจีนน้ำพริกแข่งคงไม่ได้ เพราะกิจการมีสภาพดุจเดียวกัน (2) เป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วน กล่าวคือต้องพิจารณาถึง กาลเทศะ สถานที่ และกลุ่มลูกค้า อย่างใดอย่างหนึ่งว่ากิจการที่ทำกันอยู่นั้น ทำให้ผลประโยชน์เกิดการขัดกันกับห้างหุ้นส่วนเดิมหรือไม่ หากกระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของห้างหุ้นส่วนเดิมแล้วย่อมถือว่าเป็นการแข่งขันกัน.. ดังนั้นแม้จะประกอบกิจการที่มีสภาพดุจเดียวกัน แต่หากมีการแบ่งเขตกัน แบ่งท้องที่กัน และไม่แย่งลูกค้ากัน ก็ถือว่าไม่ได้แข่งขันกัน *** อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน แม้จะถูกจำกัดสิทธิกระทำการตามมาตรานี้ แต่ก็ยังมีสิทธิที่จะไปร่วมลงหุ้นกับคนอื่นๆได้ แม้ว่ากิจการที่ร่วมลงหุ้นด้วยกันนั้น จะเป็นกิจการอันมีสภาพดุจเดียวกันและเป็นการแข่งขันกันกับห้างหุ้นส่วนเดิมก็ตาม เพราะสาระสำคัญของข้อห้ามตามมาตรานี้คือ จะต้องเป็นผู้ดำเนินกิจการนั้นๆด้วยตนเอง ดังนั้น หากมิได้ดำเนินกิจการด้วยตนเอง ก็ไม่ได้ห้าม.... ผลของการฝ่าฝืน ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทำการฝ่าฝืน มาตรานี้ - ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆ ชอบที่จะเรียกเอาผลกำไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด - หรือ เรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหายเพราะ เหตุนั้น อายุความในการฟ้องเรียก - 1ปี นับแต่วันทำการฝ่าฝืน ตัวอย่างคำถาม (ข้อสอบภาค S/51 และอีกหลายๆภาคก็จะมาแนวๆนี้) แดง ดำ และขาว ตกลงเข้าหุ้นส่วนกันโดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน มีดำเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนนี้มีวัตถุประสงค์รับจ้างตกแต่งภายในอาคารดำเนินกิจการมาได้สามปีเศษ แล้วมีกำไรดีทุกปี ต่อมาเขียวซึ่งเป็นเพื่อนของแดงได้มาชักชวนแดงให้ร่วมลงหุ้นเปิดร้านรับจ้างตกแต่งภายในเช่นเดียวกัน โดยให้แดงลงหุ้นเป็นเงินหนึ่งล้านบาท ส่วนเขียว จะเป็นผู้ลงแรงดำเนินกิจการทั้งหมดและถ้ามีกำไรก็จะแบ่งกำไรเท่าๆกัน เมื่อหนี้สินก็จะร่วมกันรับผิดชอบ แดงก็ตกลงร่วมหุ้นกับเขียว ดำเนินกิจการมาได้หนึ่งปี ดำและขาวทราบเรื่องว่า แดงร่วมหุ้นกับเขียวเปิดกิจการแข่งกันกับห้างฯ จึงต้องการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแดง ทั้งสองคนจึงมาปรึกษาท่านว่า ในกรณีดังกล่าว ดำและขาว จะเรียกค่าเสียหายจากแดงได้หรือไม่ ให้ท่านแนะนำบุคคลทั้งสอง แนวคำตอบ ในกรณีเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนนั้น มาตรา 1038 ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใด คนหนึ่ง ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการค้าขายแข่งกับห้างหากกรณีผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งฝ่าฝืนไปประกอบกิจการที่มีลักษณะค้าขายแข่งกับห้าง ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นสามารถเรียกเอาผลกำไร ทั้งหมดหรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นหุ้นส่วนนั้นได้ และถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งไปร่วมลงทุนกับผู้อื่นโดยมิใช่เป็นผู้ดำเนินกิจการในห้างหุ้นส่วนใหญ่ แม้ห้างหุ้นส่วนอันใหม่จะมีลักษณะเป็นการค้าขายแข่งกับห้างก็ตาม ไม่ถือว่าเป็นการค้าขายแข่งกับห้าง จากข้อเท็จจริงตามปัญหาพิจารณาได้ว่า การที่นายแดง ดำ และขาว ตกลงเข้าหุ้นกันโดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน มีวัตถุประสงค์รับจ้างตกแต่งภายในอาคารต่อมาปรากฏว่า นายแดงได้ร่วมไปลงทุนกับนายเขียวเปิดร้านตกแต่งภายในเช่นเดียวกัน โดยแดงลงหุ้น 1 ล้านบาทส่วนเขียวจะเป็นผู้ลงแรงดำเนินกิจการทั้งหมด และถ้ามีกำไรจะแบ่งเท่าๆกัน กรณีตามปัญหานั้น ไม่ถือว่านายแดงประกอบกิจการซึ่งมีลักษณะค้าขายแข่งกับห้างเพราะเนื่องจากนายแดงมิได้เข้าไปดำเนินกิจการในห้างอันใหม่ที่แดงร่วมลงหุ้นกับนายเขียวแต่อย่างใด ดังนั้น ดำและขาวไม่สามารถเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 1038 ได้ มาตรา 1049 - ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใดๆแก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขาย ซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่ การถือเอาประโยชน์จากบุคคลภายนอก ศาสตราจารย์ทวี เจริญพิทักษ์ ได้ให้หมายความว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนอาจที่จะใช้สิทธิในฐานะผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง และทำในนามของห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนนั้น บังคับให้เป็นไปตามสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกมีภาระผูกพันในอันที่จะใช้หนี้ให้แก่ห้างหุ้นส่วน แต่หาได้เลยไปถึงว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดจะบังคับให้บุคคลภายนอกชำระหนี้มาให้แก่ตัวผู้เป็นหุ้นส่วนเองนั้นหามิได้
(งงมั๊ยครับ!! ถ้ายังงง อ่านอีกสักสองรอบ) สรุปคือ
- ถือเอาประโยชน์ฯเป็นการที่ผู้เป็นหุ้นส่วน ใช้สิทธิของห้างที่มีต่อบุคคลภายนอก บังคับบุคคลภายนอกให้ทำตามสัญญา - การถือเอาประโยชน์ ต้องทำในนามของห้าง เพื่อประโยชน์ของห้าง - แต่จะถือเอาประโยชน์นั้นไว้เป็นประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ (*หมายเหตุ - คำว่าถือเอาประโยชน์แก่บุคคลภายนอกมีในมาตรา 1065 ด้วย เป็นกรณีที่ตรงข้ามกับมาตรานี้) ฎีกา 7721/2543 - จำเลยร่วมกับ ส. และ ม. เป็นหุ้นส่วนกันในสัญญาห้างหุ้นส่วนสามัญอันมิได้จดทะเบียน ดำเนินธุรกิจในกิจการรับถมดิน แต่จำเลยเพียงผู้เดียวที่ทำสัญญาเป็นผู้รับจ้างถมดิน ส. และ ม. มิได้เป็นคู่สัญญาร่วมกับจำเลย จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน แม้บุคคลทั้งสองจะเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยก็ตาม แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1049 ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่ ส. และ ม. จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้ว่าจ้างชำระค่าว่าจ้างถมดินตามสัญญาว่าจ้างถมดิน สิทธิเรียกร้องค่าจ้างถมดินตามสัญญานี้ จึงเป็นของจำเลยร่วมแต่เพียงผู้เดียว (*ข้อสอบ ภาค 1/54) มาตรา 1050 - การใดๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่ง ได้จัดทำไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้นๆ ด้วย และจะต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้น เพราะจัดการไปเช่นนั้น การใดใด คำสามพยางค์นี้มีความหมายอย่างลึกลับ แบ่งได้เป็น 2 การ คือ การทำสัญญา(นิติกรรม) และ การทำละเมิด(นิติเหตุ) กล่าวคือ การกระทำอันเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ทั้งหลาย ซึ่งได้ทำไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วน ในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของ ห้างหุ้นส่วน คำนี้ดูคำอธิบายในมาตรา 1025 (*หมายเหตุ เวลาออกสอบ มักจะมาคู่กัน) ตัวอย่างคำถาม นายใบตอง นายใบเตย และนายกระทกรก เข้าหุ้นกันตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญสามสหายนรกแตก ดำเนินกิจการโรงฆ่าสัตว์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บเงินจากผู้นำหมูเข้าไปเชือด ในโรงฆ่าสัตว์ โดยห้างหุ้นส่วนดังกล่าวได้ตั้งให้นายกระทกรก เป็นผู้จัดการ ต่อมานายกระทกรกได้ไปซื้อเชื่อลูกหมูของนายพริกหยวกมา 1 ตัว แล้วนำมาฆ่าเสียเอง ทั้งยังไม่ชำระหนี้ค่าลูกหมูให้นายพริกหยวก นายพริกหยวกได้ทวงถามให้นายกระทกรกชำระหนี้ นายกระทกรกก็เพิกเฉย ดังนี้นายพริกหยวก จะฟ้องให้นายใบตอง นายใบเตย และนายกระทกรก รับผิดในหนี้ดังกล่าวร่วมกันได้หรือไม่ ? แนวคำตอบ จากกรณีตามปัญหา นายใบตอง นายใบเตย และนายกระทกรก ได้เข้าหุ้นส่วนกันตั้งโรงฆ่าสัตว์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บเงินจากผู้นำหมูเข้าไปฆ่านั้น การที่นายกระทกรก หุ้นส่วนผู้จัดการไปซื้อเชื่อลูกหมูของนายพริกหยวกมาฆ่าเสียเองนั้น ถือเป็นการกระทำการค้าขายนอกวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วน ดังนั้น นายใบตอง และนายใบเตย จึงไม่ต้องรับผิดต่อนายพริกหยวก ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก นายพริกหยวกจึงจะฟ้องให้นายใบตอง นายใบเตย รับผิดในหนี้ดังกล่าวร่วมด้วยหาได้ไม่ ส่วนนายกระทกรกต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ในการชำระหนี้ให้นายพริกหยวก มาตรา 1051 - ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้ว ยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป
สิ่งสำคัญที่ต้องในมาตรานี้ดูคือ - หนี้ ดูวันก่อหนี้เป็นหลัก โดยไม่ต้องดูว่าหนี้ถึงกำหนดชำระเมื่อใด หากหนี้เกิดเมื่อกูอยู่กูรับผิด หนี้ยังติดตัวกูไปให้ผวา หากหนี้เกิดหลังกูออกก็บอกลา เจ้าหนี้จ๋า.. กูลาล่วงอย่าทวงกู - อายุความ ในการฟ้องร้องของเจ้าหนี้ ใช้อายุความตามมาตรา 193 โดยพิจารณาตามบ่อเกิดแห่งหนี้เป็นกรณีๆไป (*เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอายุความอยู่ในวิชานิติกรรม) ฎีกา 482/2485 ทำสัญญาเช่าในฐานะเป็นหุ้นส่วน แม้สัญญานั้นจะถึงกำหนดชำระเมื่อออกจากหุ้นส่วนแล้วก็ยังต้องรับผิด ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดเป็นส่วนตัว ศาลบังคับให้จำเลยรับผิดในฐานะเป็นหุ้นส่วนได้ มาตรา 1052 บุคคลผู้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วน ย่อมต้องรับผิดในหนี้ใดๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย ชัดเจนตามตัวบท - มาตรานี้ใช้บังคับทั้ง หหสม. ที่จดทะเบียน และไม่จดทะเบียน มาตรา 1053 - ห้างหุ้นส่วนซึ่งมิได้จดทะเบียนนั้น ถึงแม้จะมีข้อจำกัดอำนาจของหุ้นส่วนคนหนึ่งในการที่จะผูกพันผู้เป็นหุ้นส่วน คนอื่นๆ ท่านว่าข้อจำกัดเช่นนั้นก็หามีผลถึงบุคคลภายนอกไม่ มาตรานี้ใช้เฉพาะกับห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเท่านั้น เป็นเรื่องของการจำกัดอำนาจระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันเอง กล่าวคือข้อจำกัดภายในดังกล่าวนั้น จะไม่มีผลผูกพันกับบุคคลภายนอก เนื่องจากบุคลลภายนอกเขาอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงข้อจำกัดเช่นนั้น เพราะไม่ได้มีการจดทะเบียนกันให้ปรากฏไว้ เว้นเสียแต่ว่า บุคคลภายนอกจะได้รับรู้ถึงข้อจำกัดเช่นว่านั้นอยู่ก่อนแล้ว ในขณะที่ทำนิติกรรมกันกับห้างหุ้นส่วน เช่นนี้ย่อมต้องผูกพันกับข้อจำกัดดังกล่าวนั้น ต่อผู้เป็นหุ้นส่วนคนที่ทำนิติกรรมด้วยนั้น เป็นการส่วนตัว (*ใช้หลักการกระทำที่สุจริต ตาม มาตรา 5) มาตรา 1054 บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วน ด้วยวาจา ,ด้วยลายลักษณ์อักษร ,ด้วยกิริยา ,ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน หรือรู้แล้วไม่คัดค้าน ปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วน บุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วน เสมือนเป็นหุ้นส่วน ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดตายไปแล้ว และห้างหุ้นส่วนนั้นยังคงค้าต่อไปในชื่อเดิมของห้าง ท่านว่าเหตุเพียงที่คงใช้ชื่อเดิมนั้น หรือใช้ชื่อของหุ้นส่วนผู้ตายควบอยู่ด้วย หาทำให้ความรับผิดมีแก่กองทรัพย์มรดกของผู้ตายเพื่อหนี้ใดๆ อันห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นภายหลังมรณะนั้นไม่ สิ่งสำคัญในมาตรานี้ที่ต้องวินิจฉัย คือ 1. บุคคล เป็นหุ้นส่วน หรือบุคคลภายนอกก็ได้ 2. การแสดงตน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงตนด้วยวาจา บอกกล่าว คุยโวโอ้อวด หรือด้วยลายลักษณ์อักษร เขียนจดหมาย ติดป้ายประกาศ ฯลฯ ,หรือด้วยกิริยา เช่นเขาถาม แล้วผงกหัวรับ ฯลฯ , หรือด้วยความยินยอมให้เขาใช้ชื่อตน เป็นชื่อของห้างหุ้นส่วน หรือจะไม่ยินยอม แต่รู้แล้วก็ไม่คัดค้าน ปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วน ดังกล่าวมานี้ ย่อมรับผลตามมาตรานี้ทั้งสิ้น... 3. ชื่อ การใช้ชื่อคนเป็นชื่อห้างอันจะทำให้เจ้าของชื่อต้องรับผิดตามมาตรานี้นั้น ศาสตราจารย์โสภณ รัตนากร ได้ให้ความเห็นว่า จะต้องเป็นชื่อที่บ่งเฉพาะ หรือเป็นที่รู้กันได้ว่าหมายถึงใครโดยเฉพาะเจาะจง เช่นมีทั้งชื่อและนามสกุล หรือมีพฤติการณ์อื่นใดประกอบ ทำให้เข้าใจได้ว่าชื่อนั้นหมายถึงผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ ฎีกา 803/2509 - จำเลยที่2 ได้นำผ้ามาเย็บเป็นเสื้อกางเกงที่บนชั้นสอง ของร้านจำเลยที่1 แล้วจำเลยที่2 นำไปขายที่ต่างจังหวัด ได้ความเพียงเท่านี้ยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่1 ได้แสดงตนเป็นหุ้นกับจำเลยที่2 ด้วยกิริยา 4. ความรับผิด กฎหมายเขียนว่าต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนเป็นหุ้นส่วน ดังนั้นเมื่อได้ชดใช้หนี้ให้บุคคลภายนอกซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เจ้าของชื่อก็ย่อมมีสิทธิที่จะรับเอาช่วงสิทธิของเจ้าหนี้เดิมมาไล่เบี้ยเอากับผู้เป็นหุ้นส่วนที่แท้จริงได้ ส่วนในวรรคสอง สรุปง่ายๆ หนี้ตามวรรคหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังตายกองมรดกไม่ต้องรับผิด แต่ถ้าเกิดก่อนตายกองมรดกก็ยังต้องรับผิดอยู่
Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2555 |
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2555 15:30:52 น. |
|
1 comments
|
Counter : 17856 Pageviews. |
|
|