Never cease

ปักใจ ที่ต้องไป ปักกิ่ง…๑

ปักใจ ที่ต้องไป ปักกิ่ง…๑

“ ปักกิ่งขนมหวานกรอบ ชอบจริงๆ .” ท่อนนี้เป็นเพลงโฆษณาขนมสมัยเด็กๆ ไม่ต้องทายอายุกันหรอกครับ เพราะถ้าใครจำเพลงนี้ได้ ก็อายุไล่ๆกันนั้นแหละครับ เอาเป็นว่าส่วนใหญ่รู้จัก ปักกิ่ง กันตั้งแต่เด็กๆ แต่รู้จักแค่ว่า มันอร่อยใช้ได้ทีเดียว อ้าวว..พูดใหม่ก็ได้ อร่อยได้หลายที เดี๋ยวมีคนแปลความหมายผิด ทั้งที่ปักกิ่งคือความหมายแท้จริงของโลกทางซีกตะวันออก ที่แฝงด้วยเสน่ห์มายาวนาน



ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน จะใกล้หรือไกล ถ้าอยากจะรู้จักอารยะธรรมของตะวันออก ก็ต้องที่ปักกิ่งที่เดียว ที่เป็นต้นตำหรับวัฒนธรรมตะวันออกอย่างแท้จริง ด้วยวิถีความเป็นอยู่อันมีประวัติศาสตร์ยาวนาน มันจึงเป็นจุดหมายของหลายๆคนที่อยากค้นหา ซึ่งจริงๆแล้วจีนกับไทยก็ใกล้ชิดกันมาก ด้วยเมืองไทยมีสัดส่วนคนไทยเชื้อชาติจีนแทบจะทุกหัวระแหงในพื้นที่ เราจึงคุ้นกับจีนมากกว่าใครในโลกนี้กะมัง

มันจึงคงไม่แปลกที่จะสัญญาใจกับตัวเองเหมือนกันว่า ชาตินี้ ยังไงก็ต้องมาปักกิ่ง จะด้วยอะไรก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าคนเอเชียก็น่าจะไปรู้จักกับพี่ใหญ่แห่งทวีป จึงเป็นที่มาของการรอเวลาที่เหมาะสม ราคาโปรแกรมทัวร์ที่สมเหตุสมผล ซึ่งก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรที่จะมา แต่ยังไงก็ปักใจจะมา และแล้ววันนั้นก็มาถึง ด้วยความไม่ตั้งใจ กับทัวร์ที่ต่ำกว่าสองหมื่น บินทีจี แต่ไม่ได้สะสมไมล์ ด้วยโปรแกรมมาตรฐานทัวร์ปักกิ่งทั่วไป มันจึงมีความน่าสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ




ก่อนมาก็ต้องไปแลกเงินหยวนที่ร้านชื่อโคตรรวยแถวราชดำริได้มา ๕.๑ บาทต่อหยวน เรื่องจะแลกเท่าไร ขอให้กะให้พอเหมาะเพราะเวลากลับมาจะแลกเงินที่เหลือจากสกุลหยวนเป็นบาท มันขาดทุนกันเป็นหยวนละเป็นบาท ดังนั้นต้องวางแผนกันนิดหน่อย ซึ่งจริงๆไปกับทัวร์ไม่ค่อยได้ใช้อะไรเท่าไร เว้นแต่จะไปซื้อของก๊อปพวกกระเป๋า นาฬิกา

ซึ่งจากประสบการณ์ที่มีโอกาสช๊อปที่ตลาดตงเหมินที่เซิ้นเจิ้นทุกเสาร์อาทิตย์ในเวลาหนึ่งเดือนที่ไปทำงาน หลังจากกลับมาใช้ที่บ้านเรา ไม่ถึงสามเดือนเสียหายไปเกือบหมด กระเป๋าก็หูขาด ซิปแตก มีอันเป็นไปต่างๆนานา
ยิ่งกับนาฬิกาเรียกได้ว่า เป็นนาฬิกาที่กตัญญูต่อเวลาเมืองจีนอย่างยิ่ง คือ เอาใช้เมืองไทยไฉนมันยังเดินไวไปเป็นเวลาเมืองจีนได้ บางเรือนก็เดินๆหยุด ๆ บางเรือนก็เดินช้า เอาแค่จับมาเดินเทียบกันสองเรือนก็ยังเดินเร็วช้าต่างกัน บางเรือนก็เดินดี แต่เม็ดมะยมหล่นหายไปไหนฟ่ะ ไม่สบ’รมณ์เลย

ยิ่งเอาไปให้ช่างใส่เม็ดมะยมใหม่ ราคาก็เกือบเท่าราคาตัวเรือนเลย แถมโดนช่างเหน็บซะอีกว่า ทำไมมันก๊อปเกรดต่ำอย่างนี้ อ้าว…สวย .. ก็ตอนซื้อแม่ค้ามันยังบอกว่า ก๊อปเกรด super A …Okล่ะ ซะงั้น


เวลาไปซื้อ มันก็ได้แค่ประสบการณ์ความมันส์ในการต่อราคา ยิ่งคุณผู้หญิงเวลาต่อได้ราคาที่ต้องการแล้ว มันเหมือนมีพลัง อำนาจลึกลับให้เธอมีความสุขได้ทั้งวัน เสมือนได้ปลดปล่อยอารมณ์ว่า แกหลอกฉานไม่ได้ คริ คริ นี่คือเสน่ห์เมืองจีน ที่ระยะหลังผมขยาดไม่กล้าซื้อของเองตามลำพัง เพราะต่อราคากระจุ๋มกระจิ๋มเกินไป ซื้อทีไรโดนด่าทุกที ฮ่า ฮา แต่ตอนเวลาเอาไปใช้ ใช้ม่ายดี บางทีก็ไม่กล้าเอาไปใช้ ยิ่งมานั่งคิดๆดีๆไปแล้ว มันก็เหมือนทำผิดกฎหมาย ยิ่งเอาไปใช้ในยุโรป โดนซิวแน่ๆ เงินที่เอาไปซื้อของก๊อปเนี้ยเก็บรวมๆกันไปซื้อของจริงใช้ได้ดีๆนานๆ ดีกว่า อันนี้ก็แล้วแต่อารมณ์ใคร อารมณ์มัน แค่หลังๆรู้สึกอย่างนี้ ใช่ไม่ใช่ ไร้คำตอบเพราะมันเงินของเรา..





เงินของจีน แรกๆมาก็งง อะไรฟ่ะ RMB แล้วหยวนล่ะ ก็เอาง่ายๆสกุลเงินจีนเค้าเรียกเงินเหยินหมินปี้ (RMB:Renminbi) คำแปลมันคือ เงินของประชาชน แต่ในภาคปฏิบัติเวลาใช้เงินสกุลนี้ มีหน่วยเรียกว่า หยวน เป็นหน่วยใหญ่สุดของสกุล รองลองมาคือหน่วยที่เรียกว่า เจี่ยว โดย หนึ่งหน่วยหยวน เท่ากับ สิบเจี่ยว แต่เวลาไปเข้าตลาด ถ้าใครไปทะลึ่งถามราคาของกับแม่ค้าเป็นภาษาจีนว่า ตั้ว เส้า เฉียน? เค้าจะไม่บอกว่ากี่เท่าไรหยวน ในคำตอบของแม่ค้า แต่จะมีคำว่า ไคว้ มาแทนเป็นภาษาพูด ซึ่งคำว่า ไคว้ กับ หยวน คือหน่วยเดียวกัน เช่น ราคาห้าหยวน แกก็จะบอกว่า อู่ ไคว้ ไม่ใช่ อู่ หยวน จะได้ไม่งงไปกันใหญ่ แต่จริงๆซื้อของเมืองจีน ไม่ต้องไปพูดหรอก กดราคาบนเครื่องคิดเลขเร็วกว่าเยอะ เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทองก็ตรงนี้ล่ะ…



จากกรุงเทพไปปักกิ่ง ใช้เวลาบินไปสี่ชั่วโมงสิบนาที เห็นกัปตันว่าไว้อย่างงั้น ที่ปักกิ่งกับปลายเหมันต์ต้นเดือนพฤษภาคม เข้าฤดูใบไม้ผลิที่มากับอากาศอันอบอุ่นที่ ยี่สิบองศานิดๆในตอนเช้าจนอุณหภูมิที่สูงขึ้นถึงยี่สิบองศาเซลเซียสปลายๆในตอนบ่าย เป็นอากาศที่สบายมากกับชุดลำลอง เสื้อแขนสั้น ปักกิ่งยามนี้ เป็นเหมือน สินค้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับโลกไปแล้วด้วยการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปีที่แล้ว เป็นการส่งสัญญาณบอกคนทั้งโลกว่า ปักกิ่ง เป็นเมืองระดับโลกอย่างสมบูรณ์ แม้จะล่าช้ากว่าโซล โตเกียว นับยี่สิบถึงสี่สิบปีที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก แต่สำหรับปักกิ่งก็น่าจะถือเป็นจุดเริ่มดีๆหลายอย่างในเมืองจีนต่อไป



ถ้าเราเรียนมาว่าบ้านเรามีรูปร่างของประเทศเป็นลักษณะรูปขวานทอง ที่ประเทศจีนเค้าก็มีการเปรียบเทียบเปรียบเปรยไว้เช่นกัน จีนเค้าจะมีลักษณะรูปร่างของประเทศเป็นรูปไก่ มีหัวไก่หันไปทางทิศตะวันออก ดูรูปแล้วก็จะบางอ้อเลย…มันใช่เลย ไก่ เอก อิ เอ้ก เอ้ก นี่แหละ

ปักกิ่งก็จะอยู่ตรงจุดสีแดงที่ คอไก่ ประมาณนั้น คนฝรั่งเค้าจะเรียก เป่ยจิ่ง (Beijing) ซึ่งถ้าว่าตามคำแปล เป่ยจิ่ง ก็จะหมายถึง เมืองหลวงทางเหนือ โดยแยกคำ เป่ย คือเหนือ จิ่งคือเมืองหลวง งั้นก็แสดงว่ามีเมืองหลวงทางทิศใต้ ซึ่งก็มีจริงๆแถมเป็นเมืองหลวงก่อนเป่ยจิ่งด้วย เมืองนั้นก็คือ หนานจิ่ง (Nanjing) ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า หนานคือทิศใต้




มาเที่ยวเมืองจีนช่วงวันแรงงานแบบนี้ สุดยอดครับ มองไปทางไหนก็เห็นแต่หัวคน ทะลักทะล้นจริงๆแบบจีนเที่ยวจีน เอาเป็นว่าพร้อมเหยียบตีนกันได้ตลอดเวลา แต่คนจีนเค้าจะต่างจากคนไทย คนเกาหลีน่ะ เวลาเค้าทะเลาะกัน คนจีนมันยืนด่ากันจนไฟแลบ น้ำหูน้ำลายกระดอนกระเด็นไปทั่ว ๓๖๐ องศากายมันเลย แต่มันไม่กล้าต่อยกัน ถ้าใครต่อยก่อน ซวย..ติดคุก แต่กับคนเกาหลี มันไม่มีโหมโรงหรอก เค้าใส่กันเลย ตุบตั๊บ แต่ไม่ตาย อ่อนมาก สู้คนไทยไม่ได้ อย่าว่าแค่เหยียบตีนเลย แค่มองหน้า มันผู้นั้นมีตะกั่วฝังใน เสียแล้ว …

วันนี้ไปดูหอ บวงสรวงฟ้าเทียนถานกันก่อน คนจีนเค้าถือเลข ๙ เป็นเลขที่ใหญ่ที่สุด สำคัญและมงคลไม่แพ้คนไทย ด้วยสมมุติว่าไปถามไกด์ชาวจีนว่าได้เงินเดือนดีไหม ? ถ้าเค้าตอบว่า ก็ได้ ๙๐๐ หยวน ในเชิงเปรียบเทียบไม่ใช่เค้าได้เงินเดือน ๔๕๐๐ น่ะ แต่เค้ากำลังบอกเราว่า ได้พอสมควร มากพอ

มาเที่ยวเมืองจีนนี้ เวลาฟังไกด์เคาอธิบายอะไร ถ้ายืนหลังๆกลุ่ม รับรองได้ ไม่ค่อยได้ยินหรอกทั้งที่ไกด์ก็มีเครื่องขยายเสียงอันเล็กติดตัวมา ด้วยเหตุที่ จากประโยคนี้เลย “ คนไทยทะเลาะกันยังเสียงดัง สู้คนจีนคุยกันบ่ได้ ” จริงไม่จริง ต้องลอง…มาฟัง ..ตกใจไปอีกแบบ




กลับมาเที่ยวต่อ ที่ประตูวังของฮ่องเต้ สังเกตง่ายๆจะมีปุ่มสีทองเป็นแถว แถวละ ๙ ปุ่มและมี ๙ แถวรวมเป็น ๘๑ ปุ่มต่อประตูหนึ่งบาน ตรงนี้คือการแสดงความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้ด้วยตัวเลขที่ใหญ่ที่สุด แต่หากนับปุ่มสีทองได้แค่ ๗๒ แสดงว่าเป็นอาณาเขตขององค์ชาย

เลข๙ กับฮ่องเต้เป็นสิ่งควบคู่กัน เช่น มังกรที่หลังคาพระราชวัง ก็ต้องมี ๙ ตัว หรือ ที่แท่นบูชาฟ้าดิน ในบริเวณหอฟ้าเทียนถาน นั้นซึ่งถือเป็นจุดเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ ถ้าในความเชื่อชาวญี่ปุ่นก็เป็นโทริ ตรงแท่นบูชาที่เป็นหินทรงกลม ตั้งอยู่จุดศูนย์กลางนั้น ก็จะมีวงกลมวงในที่ติดกับแท่น จะประกอบด้วยหินอ่อน ๙ ชิ้น และวงกลมถัดมา ก็จะมี ๑๘ ชิ้น ไปจนวงกลมสุดท้ายคือ วงกลมที่ ๙ จะมีหินอ่อนทำเป็นวงกลมอีก ๘๑ ชิ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องราวของเลขฮ่องเต้โดยแท้ นั้นคือ เลข ๙






เดินต่อไปอีกก็เป็นอาคารทรงกลม หลังคาจั่วเหมือนหมวกจีน ที่ว่ากันเป็น อาคารบูชาสวรรค์ ที่เชื่อว่าตรงนี้เป็นจุดศูนย์กลางจักรวาล ด้วยมีการสร้างให้อาคารอยู่บนจุดศุนย์กลางที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเป็นวงกลม ตรงนี้ให้เดินมายืนตรงกลางหน้าอาคาร บูชาสวรรค์ ยืนบนหินก้อนที่ ๑-๓ แล้วตบมือจะได้เสียงสะท้อนที่ดีที่สุดในบริเวณนี้





ที่จุดสุดท้ายคือ หอฟ้าเทียนถาน บนแท่นหินอ่อนที่สูงสามชั้น ถ้าพูดแบบชาวบ้าน ก็ต้องบอกว่า สวยสง่าสมฐานะฮ่องเต้ ที่สุด ด้วยความเชื่อที่ว่าฮ่องแต้คือโอรสจากสวรรค์ ดังนั้นเวลาจะทำอะไรก็ต้องถามสวรรค์ จะไปถามที่วัง ที่ห้องนอนก็คงไม่ใช่ ก็จึงต้องสร้างสถานที่ ที่เหมาะสม ก็คือ ที่นี่

โครงสร้างที่สร้างหอฟ้าเทียนถานก็สื่อความหมายให้เห็นตามความเชื่อ โดยเวลาเข้าไปมองข้างใน จะเห็นเสาวงแรกที่เป็นโครงสร้างหอ ๑๒ ต้น สื่อถึง ในเวลา ๑ ปีมี ๑๒ เดือน ถัดมาคือวงที่สอง มีเสาอีก ๑๒ ต้น หมายถือ ในหนึ่งวันมี ๑๒ ชั่วยาม และสุดท้ายตรงกลางหอมีเสาสีแดงอีก ๔ ต้น แสดงถึงใน หนึ่งปีมี ๔ ฤดูกาล แค่โครงสร้างยังหาความหมายดีๆ ต้องบอกว่า คิดมาได้ไง ภูมิปัญหาดีแท้





ที่เที่ยวที่ต้องไปในปักกิ่ง คงไม่พ้นจัตุรัสเทียนอันเหมิน แต่ช่วงนี้แปลกสำหรับคนต่างถิ่นอย่างเราตรงที่ ปกติถ้านึกถึงเทียนอันเหมิน ภาพท่านประธานเหมาเจ๋อตงที่ติดตรงข้ามจัตุรัส ก็จะลอยเข้ามาในความคิด ซึ่งอันนี้ เห็นกันเป็นปกติสากล แต่ที่ว่าแปลกคือ วันนี้รูปใครมาติดประจันหน้าท่านเหมาเนี่ย รูปภาพนี้ตั้งอยู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เลย



ท่านผู้นี้ก็คือ ดร.ซุนยัดเซ็น นี่เอง รูปนี้จะเอาออกมาติดปีนึง ๒-๓ ครั้งในวันสำคัญๆ แสดงถึงคนจีนยังเคารพท่านผู้นี้เสมอ ผู้ที่นำชาวจีนยุติบทบาทราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน ด้วยการจัดตั้งระบบปกครองชาวจีนแบบใหม่

ก่อนที่ท่านประธานเหมาจะได้รับอำนาจเบ็ดเสร็จในการขับไล่ เจียงไคเช๊ค ไปยังไต้หวัน ซึ่งเจียงไคเช๊ค เนี่ย ชาวจีนแดง แผ่นดินใหญ่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจส่วนหนึ่งคงมาจาก การขนสมบัติของฮ่องเต้ในพระราชวังกู้กงไปยังไต้หวัน ซะจนหมด คิดๆแล้ว มาเที่ยวปักกิ่งในวังกู้กงหรือวังต้องห้ามเนี่ย มันก็แค่ดูโครงสร้างอาคาร สถาปัตยกรรม แต่ของมีค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ที่เป็นสมบัติของชาติ มันไปอยู่ที่เกาะไต้หวันซะแล้ว แสบจริงแท้

ถึงตรงนี้ หรือว่า ต้องตามไปดูที่ไต้หวันต่อ ถึงจะต่อภาพเมืองจีนได้ครบ น่าสนใจเหมือนกันน่ะ.. กู้กงที่ไต้หวัน..




ว่ากันว่ารูปของท่านประธานเหมาที่ติดที่จัตุรัสเทียนอันเหมินนี้ มีเสน่ห์ไม่น้อยแก่ผู้ช่างสังเกต เพราะเวลาผ่านรูปเหมาเจ๋อตง ไม่ว่าจะมาจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย ให้มองตาท่านเหมา ก่อนผ่าน จนผ่านหน้ารูป และผ่านไปแล้ว ซักระยะ

สิ่งที่เกิดขึ้น จะประหนึ่งว่าท่านประธานเหมายังมองตามเราอยู่ จนชาวจีนใส่ความเชื่อตรงนี้ว่า ท่านเหมาจะคอยเป็นห่วงเป็นใยประชาชนทุกคน ด้วยสายตาที่เอื้ออาทรห่วงใยนี้ เสมอ

... ดีเหมือนกัน แฮะ ไปปารีสก็ไปจ้องหน้าโมนาลิซ่า แต่ถ้ามาปักกิ่ง มามองตาท่านประธานเหมา ซะดีๆ




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2552
1 comments
Last Update : 11 พฤษภาคม 2552 12:24:36 น.
Counter : 3785 Pageviews.

 

ภาพสวย และ บรรยายได้สนุกมากค่ะ ^^

 

โดย: อยากให้เมืองไทยมีหิมะตก@ห้องสยาม IP: 58.10.80.139 19 มกราคม 2553 15:49:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


the fivedog
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




การได้อยู่กับคนที่เรารัก ก็ดีพอแล้ว
แต่การได้เดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน มันสุดยอดมากกับชีวิตคู่ ของคนธรรมดาคนหนึ่ง

คนที่เชื่อมั่นในการให้ การแชร์สิ่งดีๆให้แก่กันและกัน เพื่อสังคมดีๆ ที่น่าอยู่ต่อไป
New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
11 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add the fivedog's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.