|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
I’m a Cyborg, But That’s Okay
“บ้าชัดๆ”
(* ชื่อนักแสดง, ตัวละคร, ผู้กำกับ และอื่นๆที่ถอดมาจากภาษาอังกฤษอาจไม่ตรงกับเสียงในภาษาเกาหลี ขออภัย ณ.ทีนี้ครับ)
เมื่อคืนระหว่างที่กำลังประคองสติตัวเองไม่ให้หลับเพราะลีลาอันน่าทอดถอนใจของทีมแมวน้อยอังกฤษ ผมก็พบว่าตัวเองโดนใบสั่ง... เขียนแบบนี้ใครจะพาลนึกไปว่าผมไปขับรถฝ่าไฟแดงที่แยกไหน ซึ่งที่จริงก็เปล่า ผมเพียงแค่ได้การบ้านมาว่า ช่วยไปดูหนังแล้วมาวิจารณ์ให้หน่อย
ในฐานะนักวิจารณ์อิสระที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้กับใคร (ยกเว้นช่างตัดผม) ผมไตร่ตรองอยู่สักครู่... แล้วก็วางแผนนัดพบตัวเองที่โรงภาพยนตร์แสนคลาสสิคอย่างลิโดในวันนี้ทันที
I’m a Cyborg, But That’s Okay จั่วหัวไว้ว่าเป็นครั้งแรกบนจอเงินของซูเปอร์สตาร์เอเชียคนปัจจุบัน เรน (หรือ บี หรือ จอง จีฮุน) ที่โดดลงมารับบทแปลกๆในหนังโรแมนติค-คอเมดี้ที่มีพล็อตเรื่องน่าสนใจ ภายใต้การกำกับของ ปาร์ค จังวุค ทั้งนี้หนังยังได้ดาราสาว อิม ซูจอง มาเป็นนางเอกของเรื่อง
โดยย่อแล้ว I’m A Cyborg เล่าเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง แน่นอนถ้ามันมีแค่นั้นจะแตกต่างอะไรกันหนังแนวเดียวกันเป็นพันๆเรื่องก่อนหน้านี้... แต่ถ้าหากหนุ่มสาวคู่ที่ว่าอยู่ในโรงพยาบาลประสาทในฐานะผู้ป่วยล่ะมันจะดูน่าสนใจขึ้นมาบ้างหรือเปล่า
สารภาพว่าตอนที่เห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ลอยเด่นอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ผมไม่ได้มองมันมากไปกว่าหนังของเรน ซึ่งหมายถึงหนังที่มีเรนนำแสดง... ขนาดตอนที่ยื่นเงินแลกตั๋วไปแล้วยังคิดอยู่เลยว่า วันนี้จะคุ้มไหม
คุ้มไม่คุ้มไว้จะบอกกันช่วงท้าย หากแต่ใครและใครที่คิดเหมือนผมว่า หนังของเรนมันจะมีแค่เรนแล้วล่ะก็... ขอบอกเลยว่า มันมีมากกว่านั้นเยอะ
I’m a Cyborg เปิดตัวหนังด้วยพฤติกรรมแปลกๆของ ยงกูน (และน่าจะรวมถึงแม่ของเธอด้วย) เพียงไม่เกิน 5 นาทีหลังจากไตเติ้ลชื่อเรื่อง เราก็หมดสิ้นลังเลว่าเธอเป็นคนไม่ธรรมดา... ที่จริงควรจะเรียกว่าไม่ปกติมากกว่าและบทเท้าความสั้นๆตอนต้นเรื่องก็ทำให้เรารู้ว่า ทำไมเธอถึงถูกส่งมาโรงพยาบาลแห่งนี้
ในขณะที่สิ่งแวดล้อมใหม่ของเธอนั้นออกจะครึกครื้นอยู่ไม่น้อย เพราะเพื่อนใหม่แต่ล่ะคนสุดแสนจะแนวแตกต่างกันไป ยงกูนกลับไม่ค่อยจะโอภาปราศรัยกับใครเท่าใดนัก เธอค้นพบว่าตัวเองเป็น ไซบอร์ค... (ค้นพบเหรอ?) เอาเป็นว่าเธอเชื่อว่าตัวเองเป็น ไซบอร์ค ก็แล้วกัน
และเพราะอย่างนั้นเธอก็จึง... คุยกับตู้ขายน้ำอัตโนมัติ... ยกหูโทรศัพท์แล้วพูดกับมัน... ซ่อนตัวในนาฬิกาติดผนัง ฟังคำสั่งทางวิทยุ และชาร์จไฟจากแบตเตอรี่แทนที่จะกินอาหาร
หนังใช้เวลาไม่นานที่จะทำให้พระกับนางได้พบกันและก็กลายเป็นความสนใจซึ่งกันและกัน เรนเปิดตัวในฐานะ อิลซอน ชายสวมหน้ากากผู้ที่บอกว่าตัวเองสามารถขโมยของได้ทุกอย่างแม้กระทั่งนิสัยหรือความสามารถของคนอื่น... อิลซอนสะดุดใจกับพฤติกรรมแปลกๆของข้างต้นของยงกูน แต่ยังไงก็ตามเขาก็คิดว่าเธอบ้า ... (แล้วตัวแกเองล่ะ)
หนังดำเนินไปในทิศทางตามสูตรของแนวโรแมนติก-คอเมดี้อย่างไม่ไขว้เขวและมีทุกอย่างที่มันควรจะมี ความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งคู่พัฒนาไปตามเหตุการณ์ต่างๆอย่างมีจังหวะจะโคนขณะที่บทบาทสมบทของตัวละครอื่นๆช่วยเป็นทั้งแรงผลักดันและเครื่องชูรสชั้นดี
อย่างที่บอกว่ายงกูนคิดว่าตัวเธอเป็นไซบอร์ค เธอจึงปฏิเสธที่จะกินอาหารแบบคนธรรมดาแต่ดูเหมือนร่างกายของเธอจะไม่เออออห่อหมกด้วยสักเท่าไหร่ ร่างกายของยงกูนจะอยู่ไม่ไหวหากไม่ได้รับอาหาร ขณะที่เวลากำลังกระชั้นเข้ามาอิลซอนจะใช้ความรักของเขาช่วยเหลือเธอเอาไว้ได้หรือไม่... ต้องดูกันเองแล้วครับ
บอกตรงๆเลยว่า ผมค่อนข้างหวาดหวั่นที่ต้องมาวิพากษ์ผลงานของศิลปินที่มีแฟนคลับล้นเมืองอย่างเรน เพราะคราวก่อนๆผมก็เคยโดนกระทืบแดดิ้นโทษฐานไปจวกแฮร์รี่ พอตเตอร์กับวอร์ ออฟ เดอะ เวิลด์มาแล้วซึ่งก็ทำให้ค่อนข้างเข็ดพอสมควร (ถ้าเอาข้อเขียนที่ว่ามาลงในปัจจุบันคงโดนข้อหา เกรียน แน่ๆ)
ขณะที่หนังกำลังเดินไป – เดินไป ราวๆ 15 นาทีแรกผมเริ่มสงสัยว่านี่ผมกำลังดูหนังอะไรอยู่ พอพ้นครึ่งชั่วโมงผมก็สรุปได้ว่านี่มันหนังคนบ้า – บ้าชัดๆ – บ้าที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันผมก็ชักสงสัยว่า ปาร์ค จังวุคหมกอะไรไว้ในบทหนังที่แยบยลของเขา
หนังใช้เวลาครึ่งแรกบอกถึงความรักที่ก่อตัวขึ้นระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวที่มีอาการทางจิตและใช้อีกไม่น้อยที่จะบอกว่า ทำไม... อะไรคือสิ่งที่ต้อนพวกเขาเข้าสู่มุมอับและปฏิเสธความจริงในโลกนี้ ทั้งยงกูน ทั้งอิลซอน และอาจรวมใครและใครที่ต้องมารักษาตัวที่นี่ล้วนเป็นคนที่มีบาดแผลทั้งนั้น
ผมต้องชมว่าจังวุคทำหนังได้คมคายและเล่าเรื่องได้หลากอารมณ์ จังหวะต่อเชื่อมของเหตุการณ์ต่างๆนั้นก็ไม่ทำให้คนดูสะดุด จังวุคนำเสนอหลายๆฉากในสายตาของคนที่ไม่ปกติซึ่งพวกเขาก็มีโลกของตนเอง เราจะเห็นว่ายงกูนในสายตาของตัวเธอเองเป็นอย่างไร จนพาลคิดไปว่าเธออาจะเป็นไซบอร์คจริงๆก็ได้ (จะบ้ารึ)
จังวุคนำเสนอหนังของเขาอย่างเอาบ้าเข้าว่าจริงๆครับ มีหลายฉากที่เราต้องอมยิ้มกับความน่ารักจากพฤติกรรมแปลกๆของพวกผู้ป่วย มีฉากดราม่าที่สะเทือนอารมณ์กล้อมแกล้ม มีความโรแมนติคและฉากเซ็กซี่ให้พอหัวใจชุ่มชื่น... และบางทีฉากแอคชั่นเลือดสาดสั้นๆก็ทำให้เราทึ่งได้เหมือนกัน
ในส่วนของภาพและการตัดต่อถือว่าไม่ขาดตกบกพร่อง หนังทำได้ตามมาตรฐานของเรื่องอื่นๆในเดียวกันและออกจะพิเศษด้วยเอฟเฟคเล็กๆกับมุขเรียกรอยยิ้มทั้งหลาย ส่วนดนตรีประกอบถือว่าค่อนข้างเด่น แม้ตัวเรนจะโชวเสียงร้องในหนังแค่สั้นๆ แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆที่ขับในฉากนั้นเด่นขึ้นมาทีเดียว
ในส่วนของนักแสดงแล้ว... เอ่อ... สำหรับเรนนั้นคงต้องบอกว่า ขนาดเป็นคนป่วยทางจิตก็ยังหล่อปิ๊งชวนให้กรี๊ดเหมือนเดิม แต่ในทางแสดงแล้วผลงานเรื่องแรกของเขาคงต้องบอกว่า เอาสอบผ่านก็พอ... ก็คงไม่ผิดหากจะยกความดีความชอบให้เขาที่ทำให้หนังนั้นดูน่ารักน่าชังขึ้น พลังซูเปอร์สตาร์ในตัวหนุ่มคนนี้เปล่งออกมาไม่มากไม่น้อยอยู่ในระดับที่สามารถรักษาบทของตัวเองได้ดี
แต่ขณะที่เรนประคองตัวไปตามบท อิม ซูจองนั้นกลายมาเป็นตัวละครหลักของหนังจากทั้งบทและพลังนักแสดงในตัวเธอ ทั้งหน้า ทั้งแววตา ทั้งท่าทางและการแสดงออก เดินสวนกันข้างนอกจอผมจะนึกว่าเธอเป็นคนป่วยจริงๆด้วยซ้ำ ซูจองนั้นโดดเด่นเหลือเกินตลอดทั้งเรื่องและทำให้ยงกูนของเธอดูน่าเอ็นดูและน่าเห็นใจไปพร้อมๆกัน
I’m a Cyborg เป็นมากกว่าหนังโรแมนติกธรรมดาแน่นอนเพราะความลึกของบทและการนำเสนอ ในเสียงหัวเราะที่เป็นเปลือกนั้นซ่อนสาสน์จากผู้กำกับไว้ข้างใน บางที... ในสายตาผมนั่นอาจจะเป็น การปล่อยวาง ยอมรับและไว้ใจ
ทั้งอิลซอนและยงกูนนั้นมีปมในใจซึ่งทำให้เขาพวกเขาป่วย ยงกูนไม่ยอมปล่อยวางเรื่องของยายตัวเอง ในใจเธอยังเจ็บแค้นทั้งแม่และพวกพยาบาลที่พาตัวยายเธอไปการฝังจิตฝังใจนั่นเองที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวด ในขณะเดียวกันคนรอบข้างก็ไม่ยอมรับเธอ... แม้เธอจะบอกว่าเธอเป็นไซบอร์ค (เอ่อ มันก็ไม่ใช่จะยอมรับกันง่ายๆอ่ะนะ) และสุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่วางใจการรักษา ไม่วางใจว่าหากกินอาหารลงไปแล้วตัวเธอจะพังหรือเปล่า
แม้หนังจะไม่ได้สรุปให้เราถึงขั้นนั้น แต่การเริ่มต้นเปิดใจให้กันและกันระหว่างคนทั้งคู่คงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสิ่งดีๆที่จะตามมา เฉกสายรุ้งที่ทอแสงหลังจากพายุฝนผ่านพ้นไป... ระหว่างทางที่เดินทบทวนว่าผมได้อะไรจากหนังเรื่องบ้าง ผมก็เผลอนึกไปถึงเพลงดังเพลงหนึ่ง....
Desperado, why don’ you come to your senses? Come down from your fences, open the gates. It may be raining, but there’s a rainbow above you. You’re better let somebody love you…. Before it’s too late.
ในคนใกล้จะบ้าไปดูหนังคนบ้าก็เลยชักจะไม่แน่ใจว่า ตัวเองบ้าหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆหนังรักแนวๆของเรนสอบผ่านอย่างสวยหรูพร้อมกับแง่คิดที่น่าสนใจเลยทีเดียว เอาว่าบ้าก็บ้าวะ ในคะแนนแบบบ้าๆไปเลย 3 ดาวกับอีกเสี้ยวหนึ่ง อย่างที่ว่า มันมีอะไรมากกว่าหนังที่มีฝนนะเรื่องนี้
ดูหนังให้สนุกนะครับ
Create Date : 29 มีนาคม 2550 |
|
5 comments |
Last Update : 29 มีนาคม 2550 22:15:11 น. |
Counter : 762 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: tempura IP: 222.254.113.116 30 มีนาคม 2550 21:34:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: quin toki IP: 58.9.122.83 5 เมษายน 2550 1:26:27 น. |
|
|
|
| |
|
|
นับถือผู้กำกับปาร์ค จังวุค จริงๆ
(แต่แอบไม่ชอบใจวิธีการโปรโมทของค่ายหนังเอาเสียเลย เกือบทำให้เราซึ่งไม่ชอบหนังรักติงต๊องไม่ยอมไปดูแน่ะ)